30 ธันวาคม 2551

ในหลวงทรงพระสรวล ฟ้ายิ้ม พระจันทร์ยิ้ม ทุกคนในชาติมีความสุข


ภาพเวที นปช. หน้ารัฐสภาวันนี้ (29 ธ.ค.) "ภาพนี้คุณคิดว่าผิดตรงไหน อย่าคิดเอาเองว่าผิด และบอกว่าเป็นมุมมองของคน หากคนที่มองมีอคติก็จะมองว่าภาพดังกล่าวเป็นการหมิ่นเบื้องสูง แต่หากไม่มีอคติก็จะมองว่าเป็นการเชิดชูสถาบัน" พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.ในฐานะ รองโฆษก บช.น.ถามสื่อมวลชน



ภาพเวทีหลังจากนำพระบรมฉายาลักษณ์ออกไปแล้ว



มาเช็กชื่อ"แก๊งไข่แม้ว"หนีคดีข้ามปีกัน! กลายเป็นดินพอกหางหมูดองเค็มข้ามปีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คดีแรกที่สามัญชนคนธรรมดาได้กล่าวจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูง ตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงอาฆาตมาดร้ายพระหากษัตริย์ และพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ให้ดำเนินคดีต่อจักรภพ เพ็ญแขรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

วีระ มุสิกพงษ์ กรณีปราศรัยที่ท้องสนามหลวง เข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

สุชาติ นาคบางไทรแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กรณีกล่าวปราศรัยที่เวทีกลุ่มเสื้อแดงท้องสนามหลวง

ส่วนเพื่อน "ดา ตอร์ปิโด" พวกแก๊งจงรักภักดีต่อ "น.ช.แม้ว" แต่หมิ่นองค์รัชทายาท และถูกตำรวจออกหมายจับพร้อมจับกุมขังคุกรอศาลพิจารณาคดีอยู่ขณะนี้จนเวลาข้ามปี

อีกคดีคือบุญยืน ประเสริฐยิ่งแกนนำกลุ่มประชาธิปไตยก้าวหน้า ขึ้นปราศรัยที่เวทีท้องสนามหลวง ซึ่งในการปราศรัยได้มีบางช่วงกล่าวพาดพิงถึงองค์รัชทายาท เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง


http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic.php?id=765883
http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic.php?id=765780
http://www.badict.2hell.com/

ฟังสุขุม นวลสถุลให้สัมภาษณ์ทาง NBT แล้วอ่อนใจเป็นถึงอดีตอธิการบดีพูดออกมาได้อย่างไงว่า "ม๊อบเสื้อเหลืองมีพฤติกรรมรุนแรงกว่าม๊อบเสื้อแดงที่หน้าสภาในวันนี้" ให้สัมภาษณ์เรื่องให้ร้ายคนอื่นนี่เก่งนัก สัมภาษณ์โดนใจเสร็จก็ไปรับเงินได้เลย จิรายุทธ ห่วงทรัพย์ NBT มันก็ยัง มันพูดทาง NBT ว่า"พันธมิตร สร้างความวุ่นวายทำบ้านเมืองเดือดร้อน"

กลุ่มเสื้อแดงจาบจ้วงกระทบชิ่งสถาบันฯ ไม่หยุด ไทยโพสต์แฉวิสา คัญทัพ แนวร่วม นปช.ที่กล่าวบนเวทีตอนหนึ่งก่อนเล่นดนตรีว่านายกฯ คนใหม่ใส่เสื้อเบอร์ 27 ไปนั่งเชียร์อยู่แถวหน้า ปรากฏว่านักฟุตบอลไทยเตะแพ้เวียดนามไปอย่างเฉียดฉิวสองต่อหนึ่ง เพราะเวียดนามวางแผนดีเล่นได้เข้าขามากกว่า แต่ขุนศึกฝ่ายค้านกลับบอกว่าบอลไทยดวงไม่ดีเพราะมีนายกฯ ดวงซวยไปช่วยเชียร์อยู่ข้างสนาม จึงฝ่าด่านแข้งเหล็กของเวียดนามไม่ได้ สาเหตุที่แท้จริงนั้นนักฟุตบอลทีมชาติไทยใส่เสื้อเหลืองลงแข่งขันก็เพราะเป็นสีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ได้หมายความถึงพันธมิตรฯ แต่อย่างใด นอกจากนี้ ในการแข่งขันฟุตบอล เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2008 รอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 ธ.ค. ที่ผ่านมาทีมชาติเวียดนามก็ไม่ได้ใส่เสื้อสีแดงด้วย แต่ใส่ชุดสีขาว ก่อนหน้านี้สุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ลั่นพูดไม่ได้ว่าใครอยู่เบื้องหลังดัน “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯ เพราะถ้าพูดอาจติดคุกก็หมิ่นเหม่ว่าจะกระทบต่อสถาบันเบื้องสูง

ม๊อบเติมเงินกลุ่มเสื้อแดงไร้แม่ยกจัดของขวัญปีใหม่จากใจคนไร้แผ่นดินที่อยู่ แอบไปสอดแนมพวกเสื้อแดงที่สนามหลวงจำนวนคนก็ถือว่าไม่น้อย แต่ไม่เยอะเท่าพันธมิตร เดินผ่านกลุ่มคนที่อยู่ละแวกนั้นคิดว่าน่าจะประกอบอาชีพไม่สุจริตเท่าไหร่นั่งกินเบียร์อยู่ทั้งหญิงและชายเก้าคนสิบคนบ่นเสียลั่นว่า นึกว่าจะได้ห้าร้อย แต่กลับได้แค่สามร้อยแล้วก็ซดเบียร์โฮกตกดึกบ่นหิวระงม พอย้ายมาหน้ารัฐสภาแกนนำหัวขวดหาพ่อยกแม่ยกไม่ได้ก็เลยต้องเหมาของกินรถเข็นเลี้ยงเอาหน้ารอดแถมบ่นเรื่องอากาศหนาว ต้องมีร้องเพลงกล่อม ไข่แม้วดำฝันกดดันสามารถทำให้มาร์คให้ยุบสภาได้ เทพเทือกยีนยันตำรวจจะไม่ใช้อาวุธ-แก๊สน้ำตาสลายกลุ่มเสื้อแดงที่ปิดล้อมรัฐสภาอย่างแน่นอน แย้มหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น พร้อมเลื่อนวันแถลงนโยบายออกไปโดยไม่มีกำหนด ด้านชินวรณ์วิปรัฐบาลย้ำชัดพรรคร่วมรัฐบาลพร้อมร่วมประชุมทันที หากตร.-ประธานสภาฯยืนยันความปลอดภัย

อีเพ็ญเอ้ย ....ต้องระวังหน้าเป็นฝ้านะโดนแดดจัดๆ แกนนำบนเวทีตัวอ้วนๆทั้งนั้น กลับบ้านกันได้แล้ว กูว่าแล้ว...ดีแต่กูไม่มานะงานนี้ ถ้าเป็นไอ้พวกเสื้อเหลืองมันชุมนุมเหมือนคราวที่แล้วก็พอได้อาศัยมันกินมั่ง แต่นี่พวกเสื้อเหลืองมันเลิกชุมนุมเวลากูหิวขึ้นมามีแต่ซื้อลูกเดียว เงินมันก็หักหัวคิวแล้วมันจะไปเหลืออะไร ไอ้ที่บอกไปเหมาร้านค้าหาบเร่แผงลอยรอบๆที่ชุมนุมมันจะกินกันได้ซักกี่คนขายหน้าชิบหาย พันธมิตรเสื้อเหลืองมันชุมนุมเป็นเดือน ๆ หลายเดือนไม่เห็นมีข่าวผู้ชุมนุมบ่นหิวเลยวะ ได้ยินก็แต่ ..พ่อแม่พี่น้องเอ๊ย...อาหารตอนนี้ของดก่อนเพราะมีมากจนกินไม่ทัน ฝนก็ตกแดดก็ร้อน ไม่เห็นมีเสียงบ่นเลย

นี่อะไรดันบ่นเสียดังเชียว นี่แหละน้าที่เขาบอก มาด้วยเงิน กับ มาด้วยใจมันผิดกัน เฮ้อ..ถ้าพวกเสื้อเหลืองพันธมิตรอยู่เดินไปหามันหน่อย ทั้งได้กิน ทั้งได้ส่งขึ้นรถกลับบ้านไปแล้ว โง่..นักก็ทนเอาเถอะวะ ถึงได้เงินก็ไม่เอาแล้ว พ่อแม่พี่น้องเอ๊ยยยยยยยย....


หมากตานี้ของประชาธิปัตย์ ยังกุมความได้เปรียบหากมองไปที่การแถลงนโยบายเป็นธงของชัยชนะในสมรภูมิย่อยแห่งนี้ อย่างน้อยที่สุดประชาธิปัตย์ได้พยายามรื้อฟื้นมาตรฐานการจัดการมวลชนที่อยู่ภายใต้ธรรมาภิบาลและการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เอาไว้ จัดการเป็นขั้นตอน เริ่มจากใช้น้ำเย็น แจกใบปลิว เจรจา ตักเตือน .... เป็นลำดับขั้นไปโดยหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงกับประชาชนไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นเสื้อสีใดก็ตาม หากหนักข้อขึ้นในช่วงปีใหม่ ก็ยังขอพึ่งอำนาจศาลแพ่งดั่งที่รัฐบาลที่แล้วเคยใช้ ขอเปิดทางประตูเกูรัฐสภาสักประตูเพื่อให้รถผ่านเกูออกสะดวก ยังมีทางหนีทีไล่ ทั้งรุก-ถอยอีกมากมายให้เล่น ตอนนี้แค่เพียงนั่งในห้องแอร์จิบน้ำชารอเวลาเท่านั้น ส่วนวันนี้มันอยากปิดก็ปิดไป เลื่อนไปเรื่อย ๆ เงินหมด ก็ไม่มาเอง ตราบใดที่รัฐบาลยังทำงานได้ อย่าไปสนใจ หรือไม่ก็นำนโยบายลงพิมพ์ตามสื่อต่าง ๆ ก็จบ ไม่ต้องใช้แก๊สน้ำตาหมดอายุหรอก เดี๋ยวม๊อปมันก็ย่อยสลายเองไปตามธรรมชาติ

30 ธ.ค.นายกฯ ที่สง่างาม ไม่เพียงแค่ด้านหลักการและยังสง่างามด้านจิตใจอีกด้วย ไม่ได้คำนึงถึงการรักษาหน้าตัวเองแต่กลับรักษาประเทศด้วยการนำส.ส.ปชป.ขึ้นรถตู้ตร.มุ่งหน้าสู่รัฐสภา แต่เสื้อแดงยังคงปิดล้อมทางเข้าออกทุกประตู แม้ว่า ตร.จะพยายามผลัดดันผู้ชุมนุมเปิดทางถึง 3 ครั้งแต่ยังไม่สำเร็จได้ย้ายสถานที่มารวมตัวที่กระทรวงต่างประเทศแล้วเพื่อจะได้เแถลงนโยบายวันนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันการย้ายสถานที่แถลงนโยบายจากรัฐสภามาที่กระทรวงการต่างประเทศไม่ผิดทั้งข้อ กม.และข้อบังคับ การย้ายสถานที่แถลงนโยบายรัฐบาลมาเป็นที่กระทรวงการต่างประเทศในวันนี้ถือเป็นอำนาจของประธานรัฐสภาที่จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนมากที่สุด นายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่านโยบายของรัฐบาลจะมีแนวทาง 4 ประการ คือ 1.ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และสร้างความสามัคคี 2.สร้างความปรองดอง ทำให้เกิดภรากดรภาพเกิดขึ้นในชาติ 3.ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และ 4.พัฒนาประชาะปไตยให้มั่นคง และบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค ย้ำว่ารัฐบาลจะใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ทั้งในส่วนเร่งด่วนให้เห็นผลภายใน 1 ปีและในระยะยาว แกนนำเสื้อแดงหัวขวดมีฉุนชัย ชอบชิต จวกทำผิดข้อบังคับย้ายสถานที่แถลงนโยบาย ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีประเทศ เล็งยื่นศาลรธน.สอบรบ.ทำผิดกม.หรือไม่ แม้หัวขวดจะฉุนขาดแต่ก็ให้ม็อบเสื้อแดงปิดล้อมบัวแก้วยอมสลายตัวเปิดทางให้ ส.ส.-ส.ว.ออกไปแล้วหลังประลองกำลังปะทะ ตร.5 นาที แรมโบ้อีสานสุภรณ์ อัตถาวงศ์หนึ่งใน 111 ซาก ทรท.แกนนำบนเวที ประกาศชัยชนะกากๆของพวกมันเด็กแถวบ้านยังเล่นกันสร้างสรรกว่านี้อีก โถทำนายกฯ เสียหน้าได้ต้องย้ายสถานที่แถลงนโยบาย พร้อมขอให้เสื้อแดงสลายตัวกลับรัฐสภาตามเดิม โอ๋ ๆๆๆๆ ไม่ต้องเสียใจไปนะ ไม่โยเยนะเด็กเลว ไหนบอกว่าชนะแล้วไงได้ทำรัฐบาลเสียหน้าแล้วมาร้องโยเยทำไม อย่าลืมเอาผลงานไปทวงเงินกับนายเอ็งด้วยล่ะพวกเป็นกลาง เสื้อขาว และนักวิชาการทั้งหลายอยู่ไหนพวกท่านดาหน้ากันออกมาวิจารณ์มากมายตอนพันธมิตรไม่ให้รัฐบาลสมชายแถลงนโยบายเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญและปลดองคมนตรี ตอนนี้ช่วยออกมาอีกทีได้ไหม พฤติกรรมของพรรคเพื่อไทยและม็อบเสื้อแดงจึงไม่ต่างอะไรจากอันธพาลการเมืองที่ออกมาอาละวาดทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการโดยเฉพาะเพื่อนายใหญ่ที่บงการอยู่หลังฉากดังนั้นพรรคเพื่อไทยและม็อบเสื้อแดงต้องยุติการปล้นความสุขของคนทั้งประเทศที่อยากเห็นบ้านเมืองสงบเรียบร้อยและเดินไปข้างหน้าเสียที เพราะเป็นการเคลื่อนไหวที่สวนกระแสความต้องการของคนส่วนใหญ่และไร้ความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง

สำหรับ นช.แม้ว.."มันจบจริงๆแล้วครับนาย!!!"

27 ธันวาคม 2551

ปลูกต้นไม้ใหม่

การเมืองภาคประชาชนหรือการเมืองนอกสภาสู้รบปรบมือกันไปสุดท้ายทำให้มาจบลงด้วยการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่มีนักการเมืองชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศอยู่ดี กลับมาสู่วังวนของการช่วงชิงอำนาจ และ ช่วงชิงคะแนนนิยมทางการเมืองภายในสภาอยู่ดี ประชาธิปัตย์ไม่ได้มีเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวดังนั้นการได้เป็นรัฐบาลในครั้งนี้ต้องอาศัยโอกาสจังหวะล้มของพรรครัฐบาลเดิมโดยพึ่งเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลเดิมส่วนหนึ่ง ภาพของนักการเมืองที่ซื่อสัตย์สุจริตที่อภิสิทธิ์เก็บหอมรอบริบมาโดยตลอดก็มาช่วยให้เขานั้นได้รับการยอมรับจากภาคประชาชน นักธุรกิจเอกชน ตลอดจนได้รับการยอมรับจากฝ่ายทหาร หรือ แม้แต่สถาบันสูงสุดของประเทศที่เขาเองก็ประกาศออกมาชัดเจนแล้วว่าจะปกป้องไม่ให้ใครดึงมาเล่น เป็นเกมการเมืองได้อีกต่อไป แต่ก็พอจะหลับตาข้างหนึ่งได้กรณีประชาธิปัตย์ยอมจับมือกับนายเนวิน ชิดชอบ จัดตั้งรัฐบาล เพราะการเมืองอยู่ในภาวะไม่ปกติและวิกฤตอย่างยิ่งแม้ว่าการตั้งมาร์ค 1 ที่ผ่านมา เมื่อปรากฏชื่อผู้ที่เป็นรัฐมนตรีก็มีเสียง "ยี้" ออกมาเกือบจะกลบเสียงสดุดีตัวนายกรัฐมนตรี เพราะบุคคลหลายคนที่ได้รับแต่งตั้งนอกจากปราศจากผลงานหรือความเชื่อมั่นแล้ว ยังมีเสียงกล่าวว่า บางคนมีประวัติในเรื่องอาชีพที่สังคมไม่ยอมรับ และบางคมมีการกล่าวอ้างว่าเป็นนายทุน ประสานกับเสียงร้องไห้โหยหวน และ เสียงชอกช้ำของผู้พลาดหวังทั้งหลายแหล่ออกมาก็ตามที

ที่ผ่านมา..ชะตาชีวิตของพรรคประชาธิปัตย์คงจะเป็นอย่างที่เขาว่า คือเข้ามาเก็บกวาด ล้างชามและทำความสะอาดสิ่งที่คนอื่นทำเลอะเทอะไว้ แล้วจากนั้นคนอื่นก็เข้ามาเสวยสุขต่อยอดเอาหน้า ในเมื่อทักษิณเองก็ไม่กล้ากลับมาพิสูจน์ตัวเองในศาลและรู้ไว้ด้วยว่าเกมที่ทักษิณจะเล่นต่อไปคือการกดดันนอกสภา อภิสิทธิ์เองก็ไม่เคยแสดงทีท่าว่าจะอ่อนข้อให้ทักษิณเลย..ไม่ว่าตั้งแต่สมัยทักษิณเป็นรัฐบาลหรือมาถึงสมัยนอมินี่ทักษิณทั้งสมัครและสมชาย ตรงข้ามอภิสิทธิ์กลับมีลูกเล่นหรือทีเด็ดทีขาดในการโต้กลับหรือการประจานระบอบทักษิณอย่างเป็นขั้นเป็นตอนค่อยเป็นค่อยไป จนระบอบทักษิณค่อยๆเสื่อมสภาพไปด้วยตัวของมันเอง .. ในขณะเดียวกันอำนาจรัฐในมือเขาที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าเขาเล่นเป็น ต่อไปเราจะต้องจับตาศึกใน-ศึกนอกรุมเร้ามาร์ค 1 จนอ่วม ! ทั้งการเมือง-ศก.-ความมั่นคง-ยุติขัดแย้งเสื้อแดง-เหลือง ภาคธุรกิจเตือนอภิสิทธิ์ให้บริหาร "ผลประโยชน์"ของชาติก่อนกลุ่มการเมือง ชี้เสียงพรรครัฐบาล "ปริ่มน้ำ"-พรรคร่วมตีรวน ส่อทำเกมในสภาฯวุ่น หมอดูเผยอภิสิทธิ์ต้องใช้ความหนักแน่น อดทนบริหารประเทศ เตือนเดือนส.ค.มีสิทธิ์ตกเก้าอี้ ส่วนเนวินสิ้นบารมีปี 52 ด้วยว่าคนรอบข้างอภิสิทธิ์ทำพิษ ด้าน "ทักษิณ"ดวงชะตาถึงฆาต-ต้องระวังถูกลอบทำร้าย

อภิสิทธิ์ต้องดำเนินแนวทางตามสิ่งที่แถลงไว้ในวันรับโปรดเกล้าและกฏเหล็ก 9 ข้อเพื่อให้คณะรัฐมนตรีนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัดโดยสาระสำคัญของกฏเหล็ก 9 ประการก็คือการมุ่งทำงาน โดยยึดผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองและประชาชนเป็นที่ตั้งเพื่อทำให้ประเทศกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีความสุข ประเทศชาติรอดพ้นจากความล่มจม รัฐมนตรีทุกคนต้องซื่อสัตย์สุจริตโปร่งใส พร้อมถูกตรวจสอบ และต้องทำงานด้วยความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ นอกจากนี้ให้รัฐมนตรีทุกคนมุ่งทำงานสร้างผลงานให้ปรากฏลูกเดียวช่วยกันกดดันรัฐมนตรีที่ทำงานไม่ได้เรื่อง หรือทุจริต เพื่อเป็นเกราะกำบังหรือสร้างความชอบธรรมในการที่คุณอภิสิทธิ์จะต้องไปควบคุมหรือกำราบบุคคลเหล่านี้

จากกรณี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณน้องพล.อ.ประวิตรอย่างไม่เหมาะสมในการย้ายกลับเข้ารับตำแหน่งผบ.ตร.น่าจะเป็นบททดสอบแรกๆของอภิสิทธิ์ ทั้งจากการที่พัชรวาทมีรายชื่อเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภาจนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตกับการถูกสอบกรณีทุจริตบริษัท เอ็น เอส มีเดีย แอสโซซิเอทส์ จำกัดที่เกาะสายอำนาจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณมาโดยตลอดจนปัจจุบันรับงานในช่อง 5 กองทัพบกอยู่หลายช่วงเวลา เอ็นเอสมีเดียได้รับงานโครงการดำเนินการจัดจ้างโฆษณาและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปทั้งหมดส่วนในเรื่องการจัดการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างบริษัทผู้รับงานกับผู้อนุมัติงบประมาณในแต่ละโครงการก็มีอัตราตายตัวแบบวัดครึ่งกรรมการครึ่ง ตำรวจไทยส่วนใหญ่มักจะวนเวียนอยู่กับการคอร์รับชั่น ของเถื่อน ของผิดกฎหมาย คุมบ่อน คุมซ่อง รีดไถและขายความยุติธรรมไม่เคยมีสมัยไหนใครเป็นนายกที่กล้าทำความสะอาดกล้าเปลี่ยนโครงสร้างตำรวจเลย

นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการรถเมล์ 4 พันคันว่า เมื่อมีพิรุธ หรือไม่ถูกต้องก็สามารถแก้ไขได้ แต่ถ้าโครงการนี้ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ เรื่องนี้ไม่ว่ากลุ่มเพื่อนเนวินหรือใครจะมาผลักดัน ถ้าทำแล้วเกิดประโยชน์ก็คงต้องทำ แต่ถ้าผิดในข้อกฎหมายหรือระเบียบใครก็คงไม่กล้าทำ เพราะทุกฝ่ายก็จับตาตรวจสอบอยู่ เมื่อถามว่า แต่โครงการนี้ทางพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยมาตลอด นายโสภณกล่าวว่า ร่วมรัฐบาลกันแล้วอันไหนดีก็ทำต่อไม่ดีก็แก้ไข ส่วน นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาด ไทย ถูกผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ยืนยันมาตลอดว่าจะเดินหน้าตรวจสอบ แต่พอเป็นรัฐบาลร่วมกันทำไมท่าทีเปลี่ยนไป ไม่เกรงจะถูกสังคมประณามหรือ รมช.มหาดไทยกล่าวว่า ทุกโครงการไม่ว่าโครงการไหนต้องตั้งอยู่บนความถูกต้อง

การเมืองใหม่เป็นอย่างนี้นี่เองที่ก้าวเริ่มจากพลเมืองเข้มแข็งไปสู่ชุมชนเข้มแข็ง สังคมเข้มแข็ง และประเทศชาติเข้มแข็ง วรจรประชาธิปไตยแบบนี้ทำให้กระบวนการตรวจสอบคึกคัก

25 ธันวาคม 2551

กษิต ภิรมย์

ระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา สื่อมวลชนไทยทั้ง โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ต่างพึ่งพิงและอาศัยอยู่กับทุนนิยมสามานย์ที่ครองอำนาจรัฐเสียจนเคยตัว เป็นความเคยตัวของ “สื่อ” ที่ชีวิตวนเวียนอยู่กับการประจบสอพลอนายทุน-ผู้มีอำนาจ ที่ไม่เพียงใช้อำนาจรัฐและอำนาจเงินเข้าบีบ แต่ยังกระโดดลงมาสร้าง “สื่อเทียม” และยึดครอง “สื่อรัฐ” เป็นสมบัติของตนเอง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ อิทธิพลของกลุ่มทุนสามานย์ดังกล่าวมากมายมหาศาลถึงขนาดที่ว่าครั้งหนึ่งสื่อมวลชนไทยจำนวนไม่น้อยเคยวาดฝันว่านายทุนคนนี้จะครองประเทศไทยอยู่ถึง 20 ปี ทว่าระยะเวลา 20 ปีที่เคยวาดฝันไว้ก็สั้นกว่าที่ใครหลายคนคิด … ตลอดระยะเวลา 8-9 เดือนที่ผ่านมา ช่องเอ็นบีทีปฏิบัติตนเป็นเครื่องมือของ “ระบอบทักษิณ” อย่างสมบูรณ์แบบ โดยใช้วิธีการบิดเบือนข่าวสารแต่อาศัยคำว่า “ข่าว” บังหน้า ตีข่าวเล็กให้เป็นข่าวใหญ่ ย่อข่าวใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก เพื่อมุ่งตอบสนองผลประโยชน์ทางการเมืองของตน และทำลายศัตรูทางการเมืองอย่างไม่แยแสถึงเงินภาษีของประชาชนที่ใช้ก่อตั้งและหล่อเลี้ยงสถานี นอกจากนี้ยังมีรายการที่จงใจสร้างขึ้นเพื่อโจมตีศัตรูทางการเมืองของพรรคพลังประชาชนโดยเฉพาะพันธมิตร นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งที่เราเห็นได้ชัดที่สุดก็คือรายการความจริงวันนี้ซึ่งมีความพยายามในการนำเสนอเนื้อหาที่ทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันต่างๆ ในบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง เช่น สตง. ป.ป.ช. สถาบันตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ธรรมชาติของสื่อมวลชนไทยนั้นจริงๆ แล้วก็แค่มักจะสำคัญตัวผิด ยิ่งสื่อที่อยู่ใกล้ชิดหรือสนิทสนมกับนักการเมือง-ผู้มีอำนาจมากก็ยิ่งสำคัญตัวเองผิดมากและจนกระทั้งนึกว่าตัวเองเป็นผู้มีอำนาจเสียเอง

กษิต ภิรมย์อดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศเพียบพร้อมทุกด้านทั้งชาติตระกูลและการศึกษาและการทำงาน
กษิต ภิรมย์มีความรู้ความสามารถ หลังการรับราชการในกระทรวงการต่างประเทศนับว่าโดดเด่นชนิดที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง
กษิต ภิรมย์เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยในรัสเซีย อินโดนีเซีย เยอรมันนี ญิปุ่น และสหรัฐอเมริกาก่อนเกษียณอายุราชการในตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี
กษิต ภิรมย์เข้าร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่สมัยรัฐบาลชวน 1 และในยุคที่อภิสิทธิ์เป็นผู้นำฝ่ายค้านเขาก็เป็นรองนายกฯเงา
กษิต ภิรมย์หาญกล้าทัดทานอำนาจการเมืองในเรื่องที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน
กษิต ภิรมย์ได้ทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองที่มีสำนึกรับผิดชอบและตื่นตัวต่อเรื่องราวของบ้านเมืองมีเจตนาและความตั้งใจดี
กษิต ภิรมย์รักและเป็นห่วงชาติบ้านเมืองที่กำลังตกต่ำลงมากด้วยน้ำมือของคนไทยด้วยกันที่ขายชาติขายแผ่นดินเพื่อแลกกับผลประโยชนส่วนตัว
กษิต ภิรมย์เป็นคนที่รู้จัก กาละเทศะและเป็นสุภาพบุรษเสมอ
กษิต ภิรมย์เป็นพลเมืองที่มีสำนึกต่อบ้านเมือง ควรได้รับการสดุดีมากกว่าถูกกล่าวหา
กษิต ภิรมย์รู้เท่าทันและหาญกล้าที่จะรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติมากกว่าจะไปช่วยรักษาผลประโยชน์ส่วนตัวให้ทักษิณ
กษิต ภิรมย์จะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดีขึ้น ประชาคมโลกจะไม่ตกอยู่ภายใต้อวิชชาที่บริษัทล็อบบี้ยิสต์ภายใต้การว่าจ้างของทักษิณให้บิดเบือนและใส่ร้ายประเทศไทยไว้
กษิต ภิรมย์มีข้อมูลด้านต่างประเทศอยู่เต็มมือว่าทักษิณได้ทำร้าย ทำลายประเทศตัวเอง ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปหาประโยชน์ส่วนตัวอย่างไรบ้างและยังต้องมีผลสะเทือนต่อการหลบหนีคดีในต่างประเทศ
กษิต ภิรมย์จะมีบทบาทอย่างมากในการจัดการกับอดีตนายกทักษิณบนเวทีโลก

กษิต ภิรมย์วอนทุกฝ่ายอย่าตัดตอนมองการปิดสนามบินพันธมิตรเป็นคนทำ ย้ำไม่ใช่เรื่องสนุก ชี้ต้นเหตุมาจาก รบ.ทรราช บิดเบือนความจริง แถมยกปราสาทพระวิหารให้เขมร กลับยกเป็นวีรกรรม ดังที่การทำงานของผู้สื่อข่าวต่างประเทศของเดลิเทเลกราฟเป็นการทำให้กระดาษของเดลิเทเลกราฟเปื้อนหมึกจริง ๆ ช่างคล้าย ๆ กับหนังสือพิมพ์บางฉบับของไทยเลยพยายามจะบิดเบือนบริบทของเรื่องท่านทูตที่มันตัดตอนเอาแต่เฉพาะคำพูดติดตลกของท่านกษิตเรื่องการไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรที่เรียบร้อยดีปราศจากความรุนแรง ผู้ชุมนุมสนุกสนานและอาหารอร่อยด้วย

เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าการชุมนุมเป็นไปในทางสันติ ไม่มีความรุนแรง เป็นก้าวหน้าในเรื่องของประชาธิปไตยในไทย ทำให้ประชาชนตื่นตัวเรื่องการเมืองมากขึ้นและเกลียดการคอร์รัปชั่นของรัฐบาล ตลอดจนถูกทำร้ายเข่นฆ่ารายวันอย่างไร้มนุษยธรรม ประชาชนกลุ่มนี้ได้แสดงออกให้นานาชาติรู้แล้วว่า รัฐบาลที่ผ่านๆมานี้เป็นรัฐบาลขายชาติ เข่นฆ่าประชาชนรายวันและหมดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศต่อไปเท่านั้นเอง คาดกันว่าคนที่เล่นข่าวพวกนี้ก็เลยกังวลว่าทักษิณจะสูญเสียผลประโยชน์ทำให้ในวันนี้กษิต ภิรมย์ต้องตกเป็นเป้าการเมืองของบริวารระบอบทักษิณมากที่สุดไม่ใช่เพราะว่าเป็น "ปมด้อย" หรือ "จุดอ่อน" ของรัฐบาลชุดนี้แต่น่าจะเป็นเพราะ "ความเจ็บแค้นส่วนตัวของทักษิณ" หรือ "หวาดกลัวในความเด่นดีของรัฐมนตรีคนนี้" มากกว่า

สนามบินสวรรณภูมิก็เป็นอีกแห่งที่สร้างความอัปยศอดสูให้กับคนไทยทั้งชาติ ที่เราทำการเมืองภาคประชาชนยึดแค่ทางเข้าสนามบิน..เราไม่ได้ยึดสนามบิน โกดัง ลานบิน หลายท่านก็พูดเกินไป การกระทำของเราชาวพันธมิตรถือว่าถูกต้องแล้วเพราะต้องการหยุดการกระทำที่ที่รัฐบาล ทักษิณ-สมัคร-สมชาย-กระทำการต่อๆ กัน มันเสียหายหลายแสนล้าน มากกว่าการปิดสนามบินหลายร้อยเท่า..คนไทยที่ต้องเดือดร้อนไปตลอดชีวิตหากเราเจอรัฐทรราชปกครองแผ่นดิน เพราะเรามีรัฐบาลที่คิดแต่จะกอบโกย โกงบ้านโกงเมือง ทำลายสถาบันทุกสถาบัน ไม่เว้นแม้แต่สถาบันครอบครัวตัวเอง หากเราหยุดการกระทำของทรราชได้ ประเทศไทยเราจะกลับมาอยู่กันอย่างสงบสุข ทุกคนมีสันติสุขถ้วนหน้าการที่นักท่องเที่ยวเจอปัญหานิดหน่อยไม่กี่วัน คุณที่บอกว่าจะเดินทางไปต่างประเทศแล้วไม่ได้ไป ทำให้คุณเดือดร้อน คนไทยที่ทำส่งออกตายทั้งเป็น ฝรั่งที่เขาออกมาโวยวายว่าเดือดร้อนก็ไม่ใช่จะไม่เคยเจอที่บ้านเขากัน ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวกระจายกันไปตามแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ต้อนรับกันไม่หวาดไม่ไหว มือเป็นระวิง การส่งออก นำเข้าก็ได้รับผลกระทบใช่แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นเพราะการชุมนุมต้องไม่ลืมว่าการที่อมเริกาประสบปัญหาทางเศรษฐกิจนั้นเป็นปมหลักที่ให้ตัวเลขที่เคยงามของการส่งออกนั้นลดลงเป็นหลักต่างหาก สนามบินถูกปิดลงเองโดยผู้มีอำนาจของการท่าฯอย่างไม่เป็นขั้นเป็นตอน การลงโทษคนสั่งปิดก็เพียงแค่การตักเตือนจากคณะกรรมการบริหารการท่าฯเพราะเขามีสายสัมพันธ์กับผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เป็นพิธีกรรายการความเท็จวันนี้

23 ธันวาคม 2551

มันยังไม่เลิกจองเวร

เดลินิวส์-ข่าวสด ไม่เลิกจองเวรพันธมิตรฯ มั่วข้อมูลกล่าวหาควักพระเนตร พระพรหม ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ทั้งๆ ที่ความจริง กรมศิลป์-ลอยเลื่อนยืนยันว่า เป็นแค่เป็นการปิดทองคำเปลวเท่านั้น ชี้ชัด บิดเบือนข้อมูลมาตั้งแต่กล่าวหาศิลปิน พธม.กำระเบิดทั้งๆ ที่เจ้าตัวปางตาย-แค่กำกุญแจ หลายครั้งที่หนังสือพิมพ์ทั้ง 2 ฉบับ ถือว่าเป็นสื่อที่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงหลายประการโดยในครั้งนี้ที่หน้า 1 ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับเมื่อวันเสาร์ ที่ผ่านมา ได้มีพาดหัวข่าวใหญ่ว่า “ทำคุณไสยทั่วทำเนียบฯ ควักเนตร ท้าวมหาพรหมไทยคู่ฟ้า” ซึ่งถือว่าเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน และเป็นการสร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน ในวันเดียวกันหนังสือพิมพ์ข่าวสด ก็พาดหัวว่า “ผงะคุณไสย “พธม.” เต็มทำเนียบ ปิดเนตรพระพรหม” แม้ว่าในหัวข่าวจะไม่ได้ระบุว่ามีการควักพระเนตรท้าวมหาพรหมก็ตาม แต่ในเนื้อข่าวกลับเขียนว่าพบที่ดวงตาท้าวมหาพรหม ซึ่งมีอยู่ทั้ง 4 หน้า ถูกควักออกไปเหลือแต่รูโบ๋ นักวิชาการช่างศิลป์หรือประติมากรควรจะได้ออกมาให้ข้อมูลทางศิลปะให้สื่อมวลชนและประชาชนเข้าใจว่าการปั้นรูปเหมือนโดยเฉพาะดวงตา ช่างเขาจะคว้านดวงตาให้มีลักษณะกลมลึกเพื่อเกิดแสงเงาดูเหมือนดวงตาจริงนี่คือวิธีทางการช่างไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นการควักลูกตา การนำเสนอข่าวดังกล่าวของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และข่าวสดถูกสื่อโทรทัศน์หลายช่องได้นำไปอ่านออกอากาศและสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนทั่วไป ทั้งๆ ที่ความจริงเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากรและนายลอยเลื่อน บุนนาครองเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกมายืนยันแล้วว่า จากการสำรวจองค์พระพรหมนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่ได้มีการควักพระเนตรอะไรออกไป เพียงแต่เป็นการเอาแผ่นทองคำเปลวไปปิดเท่านั้น

เหตุการณ์เช้าตรู่ของวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ใครจะคาดคิดว่าประชาชนที่เรียกร้องต่อสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณเพียงเพื่อคนคนเดียว! ภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลัง อาวุธหนัก และแก๊สน้ำตาเข้าสลายฝูงชนที่เข้าร่วมชุมนุมอยู่ เป็นเหตุให้มีประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บสาหัส นอกจากนั้นยังมีประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมเสียชีวิตด้วย สิ่งที่ประชาชนทั่วไปได้เห็นและรับรู้ก็คือ รัฐบาล นายตำรวจใหญ่ สื่อมวลชนบางค่ายและคนที่มีอคติต่อพันธมิตรฯ กลับมองและบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างไม่รู้สึกละอายแก่ใจ “ผู้ชุมนุมพกระเบิดมาเอง” “คนขาขาดคือขอทานพิการอยู่แล้ว” “แก๊สน้ำตาไม่ได้ทำให้คนเสียชีวิต” และอีกหลายต่อหลายกรณีที่ถูกแต่งเติมออกมาจากสมองของคนบาปพวกนี้ ชาวบล็อกของเว็บไซต์ต่างๆก็ส่วนหนึ่งก็เป็นแหล่งรวมข้อมูลของผู้อยู่ในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาฯ หรือร่วมชุมนุมกับพันธมิตรมาอย่างต่อเนื่องพวกเขาเขียนบันทึกจากความเป็นจริงที่เห็นและสัมผัส หลายเรื่องสะท้อนอารมณ์ความรู้สึก คุณค่าความเป็นมนุษย์ การให้ความเคารพ คำสดุดีแด่วีรชนและเรื่องราวมากมายที่กลั่นกรองมาจากประสบการณ์จริงยกตัวอย่างเช่น “…เราเห็นกับตาว่าคนที่แต่งกายแบบตำรวจ ทำร้ายประชาชนบาดเจ็บ มีผู้หญิงตาย 1 คน มีคนขาขาด มีคนแขนขาด เราพยายามโทร.ตามหาเพื่อนๆน้องๆ ที่เป็นทหารด้วยกัน และคุมกำลัง ขอร้องให้ออกไปช่วยประชาชน…” เมื่อรวมกันหลายๆ คนหลายๆ เรื่อง ผู้อ่านก็จะต่อภาพรวมได้ตามทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น นี่จึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรมองข้าม และอาจจะทรงคุณค่าเสียยิ่งกว่าข้อมูลจากสื่อเสียด้วยซ้ำ หลังจากนั้นเป็นเวลาสองเดือนเศษนับจากวันที่ 7 ตุลาคม 2551 กว่าที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะสรุป และส่งผลการสอบสวนเรื่อง “ความรุนแรงและการสูญเสียจากกรณีการสลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 7 ตุลาคม 2551” ภาพการสลายการชุมนุมเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ได้รับอันตรายสาหัส ฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้กับคณะกรรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

คนทั่วไปที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ก็คงเห็นแต่ยอดภูเขาน้ำแข็งว่าคนพวกนี้(พันธมิตร) ทำเรื่องวุ่นวาย แต่สิ่งที่พวกนักการเมืองชั่วทำกันไว้ ไม่เคยมองเห็นสื่อสัญดานจิ้งจกอย่าง NBT ที่เป็นของรัฐก็พูดจาข้างเดียวไม่เคยนำคนที่เป็นกลางจริงๆมาพูดเลย มีแต่คนของอดีตรัฐบาลทั้งนั้นทั้งๆที่ปัญหาวันนี้อยู่ที่คนคนเดียวเพราะมันคนเดียว “การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น เป็นสิ่งที่ชาวต่างประเทศควรจะดีใจ เพราะถือว่าเป็นครั้งแรกที่ประชาชนคนธรรมดา มีอำนาจเต็มที่ในการต่อต้านการคอร์รัปชัน และการที่สังคมต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้ ก็จำเป็นต้องมีราคาที่ต้องจ่าย” รมว.ต่างประเทศคนใหม่ นายกษิต ภิรมย์อดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศได้กล่าวไว้เมื่อมีชาวต่างประเทศตั้งคำถามโดยกล่าวหาว่า กลุ่มพันธมิตรมีการว่าจ้าง “การ์ด” ติดอาวุธต่างๆ ทั้งไม้พลอง ปืน และ ระเบิด นายกษิตก็ได้กล่าววิพากษ์ว่าเป็นคำถามที่ชักจูงให้รู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรนั้นมีการใช้ความรุนแรง ทั้งๆ ที่ผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการชุมนุม 193 วันนั้นเป็นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพันธมิตรทั้งหมด นอกจากนี้นายกษิตยังตอบกลับไปด้วยว่า “คนอื่นหาว่าเรามีอาวุธ แต่ภรรยาผมก็ไปร่วมชุมนุมทุกเย็น แล้วเธอพกอาวุธอะไรไปน่ะเหรอ ก็อาหารกับยาน่ะซิ!”

22 ธันวาคม 2551

การเมืองเก่า

การเมืองเก่าไม่ได้แก้ปัญหาและรับใช้ประชาชน แต่เข้ามาเพื่อรับใช้นายทุนและแสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง ทำงานไม่เท่าไรก็มีร่ำรวยแบบก้าวกระโดด แค่เพียงการนำ ปตท.เข้าตลาดหลักทรัพย์ทำให้ประเทศไทยสูญเสียเม็ดเงินกว่าหนึ่งล้านล้านบาทเพราะระบอบทักษิณ ทำให้ประชาชนมีค่าครองชีพสูงอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เพื่อขูดเลือดเนื้อให้คนกลุ่มหนึ่งร่ำรวยเท่านั้น ปัจจุบันสังคมไทยกลายเป็นสังคมประหลาด ทั้งๆที่ระบอบเนวินเป็นระบอบที่มีเครือข่ายมากมายในภาคอีสานซึ่งเป็นระบอบที่ไม่ดีเลยเป็นเรื่องประหลาดที่แม้แต่ระบอบทักษิณก็เอาเนวินไม่อยู่ยิ่งในยามที่ทักษิณตกต่ำเนวินกลับแข็งขึ้นและหันมาซบอกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเข้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้งทั้งๆที่เชื่อได้ยากว่าเนวินจะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็นคนดีได้เคยดูดเลือดจนทักษิณอิบอ๋ายมาแล้ว นายเนวิน ชิดชอบเป็นหมัดตัวหนึ่งทางการเมืองที่กระโดดออกจากตัว “ทักษิณ” ที่พี่น้องร่วมขับไล่มาโดยตลอดและเป็นบุคคลที่ต้องจับตาให้มากที่สุด แต่เวลานี้คนไทยกลับบอกว่าโปรดให้โอกาสพวกเขาและมัน รัฐบาลในปัจจุบันนั้นแม้ว่าจะไม่ปฎิเสธที่จะยอมรับแต่เราหลายๆคนไม่พอใจที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์อ้างว่าถ้าไม่มีกลุ่มเพื่อนเนวินก็ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลในวันนี้ แต่ถึงรัฐบาลใหม่เป็น ปชป. เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแต่ก็ยังอยู่ในระบบการเมืองเก่าและรมต.ไม้ประดับหลายๆคนที่เป็นเห็บเหาทางการเมือง

แม้ว่าเราจะได้รัฐบาลที่ไม่ค่อยสมใจอยากเท่าใดนักแต่จะทำอย่างไรได้เล่าเพราะหมากกระดานนี้ไม่ใช่เริ่มต้นกระดานใหม่ๆ แต่เป็นหมากที่เล่นคากระดานกันอยู่มีตัวหมากอยู่เท่าไหนก็เล่นได้เท่านั้นแต่นี้ไปจะเล่นได้ดีแค่ไหนหรือจะต้องล้มกระดานกันไปเลย การเมืองจะเปลี่ยนขั้วอย่างไรพรรคไหนจะเป็นรัฐบาลก็ได้แต่ขอไม่ให้ไม่มีพฤติกรรมซ้ำรอยการเมืองเก่าโดยเฉพาะหลังการแถลงนโยบายไปแล้ว คณะบริหารมักจะไม่ฟังเสียงของประชาชนแต่ใช้อำนาจปู้ยี่ปู้ยำประเทศเพราะฉะนั้นกระบวนการภาคประชาชนจึงต้องหลอมรวมด้วยภูมิปัญญาที่มีอยู่และความเข้าใจเพื่อผลักดันให้ข้ามพ้นการเมืองเส็งเคร็งที่เน้นที่การโกงชาติแบบหน้าด้านๆ การโกงภาษีประชาชน และยังโลภโมโทสันกับครอบงำสื่อ หรือปล่อยลูกน้องและพวกโกงเอาๆ คิดทำแต่ประโยน์ส่วนตน แถมยังสร้างค่นิยมผิดๆ ค่านิยมเสื่อมๆให้ประชาชนทุกระดับด้วย ทั้งๆที่เรายังมีพ่อหลวงคอยอุ้มชูและเตือนสติ สิ่งที่ท่านสั่งสอนตักเตือนก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องถูกต้องควรกระทำทั้งสิ้น หากพวกนักการเมืองยังไม่ลดละเลิก ยังไม่สำเหนียกบ้างและเห็นแก่ตัวน้อยลงบ้าง ใครจะมาเป็นรัฐบาลเราก็มีสิทธิขับไล่ได้ ถ้าไม่ทำประโยชน์ให้กับประเทศเพื่อเปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถเข้ามา ทำงานให้ประชาชนแทน ถ้านักการเมืองทำงานเพื่อประชาชนแล้วไม่มีใครเลยที่จะร่ำรวยแต่จะอยู่อย่างสมถะ มีความประพฤติที่เป็นแบบอย่าง ดังตัวอย่างที่เห็น อาทิ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นต้น สิ่งที่ประชาชนต้องการคือการเมืองใหม่คือการมีผู้บริหารรัฐบาลเป็นลูกจ้างที่รับใช้ประชาชน ไม่ใช่เลือกมาเป็นเจ้านายและเหยียบย่ำประชาชนเพื่อก้าวสู่ที่สูง ผู้คนในบ้านในเมืองเราคงเป็นสุขมาก ดังนั้นชาวไทยทุกคนต้องสร้างความรัก สามัคคีต่อกัน และจัดเวทีให้ความรู้ทางการเมืองเพื่อรู้เท่าทันเกมนักการเมืองต่อไป ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันให้ประเทศอยู่ได้ และให้การต่อสู้ ตรวจสอบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องอยู่ในทุกลมหายใจเข้าออก

20 ธันวาคม 2551

เบอร์

คุณสนธิ...คุณมีสิทธิอะไรมาทำลายความฝันของผม?
โดย : แก้วสรร อติโพธิ
เมื่อ : 12/12/2008 12:09 AM 10 ธันวาคม 2551
บ้านคลองขวาง


เมื่อคืนผมเข้านอนกว่าเที่ยงคืนลูกชาย 2 คนพร้อมหลานชาย อีก 3 กำลังช่วยกัน ทำ ป้ายชูหาเสียงใช้เวลาเดินแจกบัตร ผมเข้านอนด้วยรอยยิ้ม..ชื่นใจที่แม้ไม่มีเงินจ้างใครก็มีความรักความร่วมมือของพี่น้องลูกหลานเพื่อนฝูงที่เชื่อว่าผมและขวัญจะสามารถทำงานให้บ้านเมืองได้และน่าจะได้รับความไว้วางใจจากคนกรุงเทพ รุ่งเช้าโทรศัพท์จากเพื่อนอาจารย์รามคำแหงรายงานมาเป็นครั้งที่
2 ว่าแกนนำพันธมิตรในรามคำแหงยังคงเคลื่อนไหวสั่งการไปยังข่ายสีเหลืองในกรุงเทพฯ อย่าเลือกแก้วสรร!! เพราะคุณเห็นว่าผมเปลี่ยนไปแล้วและไปคบกับคนฉวยโอกาสเช่นแอ๊ด คาราบาว ผมปิดโทรศัพท์..มองเหม่อไปเห็นลูกชายยังทำงานไม่ได้นอนทั้งที่ไม่ค่อยสบาย..น้ำตาผมเอ่อ..ผมอยากมองไปในดวงตาของคุณแล้วถามคุณว่า..คุณมีสิทธิอะไรมาทำลายความฝันของผมพี่น้องพรรคพวกและลูกหลานอย่างนี้คุณเห็นใครดีก็บอกไปสิครับว่าให้เลือกประชาธิปัตย์เพราะทีมปชป. เขามี คุณ ประพันธ์ คูณมีเป็นว่าที่รองผู้ว่าฯบอกไปเลยครับไม่ต้องเกรงใจ คุณสนธิ...ทำไมคุณต้องสร้างและใช้การเมืองภาคประชาชนบนความเกลียดชังอย่างนี้ด้วย ใครเกลียด แอ๊ด คาราบาวก็ขอให้เกลียดแก้วสรรด้วยเพราะมันไปคบ แอ๊ดนี่หรือคือการเมืองใหม่ของคุณ! ด้วยพลังของความเกลียดชัง คุณและพวกที่สมคบกันจะยอมให้พลังประชาชนชนะผู้ว่า กทม.ไม่ได้ แก้วสรรจะมาสมัครแข่งกับประชาธิปัตย์จนตัดเสียงพันธมิตรกันเองอย่างนี้ไม่ได้ต้องทำลายมันในฐานะที่มันเปลี่ยนไปมันเป็นเช่นนักรบที่ไถลไปเด็ดดอกไม้ข้างทาง เมื่อมันเซ่อไปคบแอ๊ด คาราบาวเราก็ต้องป้ายร้ายมันทันทีว่า ทรยศ..ไปเสียแล้ว! คุณสนธิ...คุณเห็นคุณอภิสิทธิ์กอดกับเนวินจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลแล้วคุณว่าเขาทรยศไหม? คุณต้องตอบว่าไม่เพราะมิได้เป็นพวกกันมาก่อนและที่เรียก กันว่าพันธมิตรเพื่อประชาธิปัตย์นั้นเป็นการป้ายร้าย

ถ้าคุณตอบอย่างนี้ผมก็ขอถามคุณว่าแล้วผมเป็นสาวกคุณแต่เมื่อใด? จริงอยู่ผมเคยร่วมเคลื่อนไหวขึ้นเวทีพันธมิตรเป็นวิทยากรและออกหนังสือ "หยุดระบอบทักษิณ" แต่ผมก็ทำด้วยอิสระร่วมคิดอ่านกับพี่น้องในครอบครัวเท่านั้นมิได้ขึ้นตรงต่อผู้ใดหน้าไหนทั้งสิ้นรวมทั้งคุณด้วย ผมรับเป็น คตส.ลุยคดียึดทรัพย์ตั้งแต่พันธมิตรฯยังไม่ตั้งขบวนเสียด้วยซ้ำและก็ตรวจสอบไต่สวนไปตามหลักฐานไม่ใช่ด้วยความจงเกลียดจงชังทักษิณเหมือนคุณ คุณสนธิ...ผมกับลูกและพวกมีสิทธิไหมครับที่จะฝันจะสร้างการเมืองแห่งความรักแห่งความร่วมมือมุ่งมั่นขึ้นมาเพื่อเยียวยาแก้ไขบ้านเมือง พอกันทีกับพรรคการเมืองแบบเก่าและความแตกแยกเป็นเหลืองเป็นแดงผมลงสมัครอิสระ อิสระจากนายทุนอุดหนุน อิสระจากความเกลียดชัง ด้วยมุ่งมั่นฝันว่ากรุงเทพจะได้การเมืองที่ทำงานได้เป็นเมืองแรกแล้วขยายต่อไปยังถิ่นต่างๆโดยไม่ต้องปฏิรูปรัฐธรรมนูญหรือใช้สภา 70:30 เหมือนที่เสนอมาตามวิชารัฐศาสตร์เชิงคณิตศาสตร์ของคุณ คงป่วยการที่ผมจะชวนคุณร่วมเดินทางในแนวความคิดนี้เพราะคุณอ่อนแอเจ็บป่วยเกินไปในทางจิตใจ แน่นอน..คุณก็มีสิทธิที่จะคิดเห็นว่าผมเป็นอย่างไรก็ได้เหมือนกันแต่สิทธิที่จะกระทำถึงขั้นอาศัยความเป็นหัวหน้าขบวนการเปล่งบัญชาสั่งการ กำหนดให้ใครดีเลวเอาตามที่คุณเห็นแล้วสั่งกำลังพันธมิตรให้ร่วมกันใช้กฎหมู่ ทำลายอิสระของผม ทำลายทางเลือกของคนกรุงเทพนั้น ผมว่ามันทำให้คุณกลายเป็นทักษิณฯ 2 ไปเสียแล้ว มันน่าเศร้าจริงๆที่บ้านเมืองของผมและลูกต้องพังเพราะมีคนอย่างคุณกับทักษิณแย่งกันเป็นเผด็จการจนชิบหายอย่างทุกวันนี้ จดหมายนี้...ผมเชื่อว่าคงไม่ได้รับการตอบโต้อะไรจากคุณผ่านทางสื่อใดๆเพราะการเมืองแห่งความเกลียดชังได้ทำให้คุณโดดเดี่ยวตนเองโดยสมบูรณ์แล้วฝากความรักความระลึกถึงเพื่อนพี่น้องในพันธมิตรทั้งหลายด้วย หากผีแห่งความเกลียดชังที่สิงอยู่ออกจากตัวคุณเมื่อใด..เราคงได้กอดคอร่วมงานกันอีก

... แก้วสรร อติโพธิ


ข้อความข้างบนเป็นเสียงครวญจากอาจารย์แก้วสรร อติโพธิ

อาจารย์แก้วสรรที่แสดง "จุดยืน" และ "จุดขาย" ที่ชัดเจน เป็นของตัวเองอย่างนี้อาจะมองว่าเป็นข้อได้เปรียบได้ระบุในอีกหลายๆกรรมหลายๆวาระเกี่ยวกับเรื่องสาเหตุที่อาจารย์แก้วสรร อติโพธิได้แอ๊ด มาช่วยงานเพราะเป็นญาติกันและแม้จะมีเสียงไม่พอใจในตัวของแอ๊ด คาราบาว แต่ทั้งอาจารย์และแอ๊ดก็ยังยืนยันจะทำงานร่วมกันอยู่ ส่วนกระแสว่าแอ๊ดเป็นพวกเดียวกับทักษิณนั้นใครจะชอบหรือไม่ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล หากม.ร.ว สุขุมพันธุ์มีทีมงานเป็นคุณประพันธ์ คูณมีอดีตสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ที่เก่งกฎหมายก็ให้เปิดตัวจะได้รู้ว่ามีคนเก่งทำงานด้วยจะได้รู้ว่านายสนธิส่งตัวมาให้

วันก่อนคุยกันเพื่อนว่าคราวนี้จะเลือกอาจารย์แก้วสรรเพราะ ม.ร.ว สุขุมพันธ์ดูหน่อมแน้มเกินไป อาจารย์แก้วสรรก็ต้องไม่ลืมว่าเรื่องคุณประพันธ์กับหม่อมสุขุมพันธ์นั้นก็คงเห็นเรื่องส่วนตัวเช่นกัน และนอกจากนั้นแอ๊ดก็ยังพูดจากระทบกระแทกพันธมิตรก่อนที่อาจารย์แก้วสรรเปิดตัวสมัครผู้ว่าฯกทม.ไ ม่กี่วัน นอกเหนือจากที่พันธมิตรส่วนใหญ่เห็นธาตุแท้ของแอ๊ดบาวคนนี้ว่าไม่ได้ยืนข้างประชาชนเหมือนเพลงที่แต่ง แล้วก็คงต้องไม่ลืมว่าแอ๊ดไม่เคยมีอุดมการณ์อะไรในหัวเลยถ้าแอ๊ดคิดเป็นคงไม่เลียเฉลิมทางช่อง 9 เพียงเพื่อขอวันตีไก่เพิ่ม

อาจารย์คงมั่นใจตัวเองว่าคะแนนได้หรือคิดอาศัยเสียงเด็กช่างกลฯ ถึงได้ชวนเจ้าของบ่อนไก่กับน้ำเชื่อมใส่ขวดขายมาเป็นทีมทำงาน พันธมิตรได้ตัวช่วยแล้วหลังจากกังวลเสียงแตกหนึ่งเสียงของที่ลังเลบัดนี้ตัดสินใจแล้วเบอร์ 2

19 ธันวาคม 2551

บททดสอบสำคัญ

พ.ศ.2551 เป็นช่วงปีที่ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตการเมืองที่รุนแรงมากอีกครั้งหนึ่งผนวกกับวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฉุดให้โลกต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยที่พึ่งการส่งออกไปสหรัฐฯ และบรรยากาศการลงทุนเสียไปเพราะปัญหาการเมือง เรามีหลายๆปัญหาหลายๆเงื่อนไขการเมืองถูกขจัดไปด้วยหลักนิติธรรมทำให้พันธมิตรยุติการเคลื่อนไหวแต่กลุ่มสนับสนุนระบอบทักษิณคือตัวทักษิณเองและนปช.ก็คงยังหาเหตุสร้างเงื่อนไขสนองความต้องการของทักษิณซึ่งในกลุ่ม นปช.เองก็ประกอบด้วยกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยและหนึ่งในนั้นเป็นพวกอนาธิปไตยคตินิยมหรือกลุ่มซ้ายในซ้ายของอดีตพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่พยายามจะสร้างความสับสนวุ่นวายจนให้ถึงขั้นกลียุคเป็นสงครามกลางเมืองย่อยระหว่างคนไทยสองกลุ่มพันธมิตรและนปช.เป็นการกดดันทหารเพื่อให้ทหารเข้ามาแก้ไขก็จะทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลงทันที และทหารก็กลับเป็นจำเลยสังคมอีกวาระ อย่างไรก็ดีการจัดตั้งรัฐบาลที่ย่ำแย่ไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ความมืดสุดๆ ความชั่วสุดๆ ความเลวทรามต่ำช้าสุดๆ ความทุกข์เข็ญลำเค็ญสุดๆ เกิดขึ้นมาแล้วสองสมัย ประชาธิปัติย์และคุณอภิสิทธิ์เป็นทางเลือกที่นุ่มนวลที่สุดเวลานี้ดังนั้นทหารที่ไม่อยากปฏิวัติเลยต้องเลือกที่จะหนุนประชาธิปัติย์โดยมีอุบายเอาเนวินมาเป็นพวกเพื่อสยบการเคลื่อนไหวของเสื้อแดง พวกกลุ่มเสื้อแดงนี้หวังจะให้เกิดภาวะอนาธิปไตยและจะทำการล้มล้างสถาบันซึ่งกำหนดชี้ขาดให้สังคมไทยเป็น “ทุนนิยมกึ่งเมืองขึ้นที่ศักดินาดำรงอยู่” ในขณะที่ทักษิณต้องการสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นมา ก่อให้เกิดความยากจนข้นแค้น โกลาหล วุ่วาย หาคนสั่วๆมาบริหารประเทศเพื่อที่จะให้กลุ่มคนที่ยังได้ข่าวสารที่ถูกบิดเบือนมาเรียกร้องกับมาสนับสนุนการกลับมาของเขา โดยกลุ่มซ้ายในซ้ายในสมัยนั้นต้องการให้มีการปลดแอกประเทศเป็นกึ่งเมืองขึ้นและให้มีการนำเข้ากำลังต่างชาติเข้าร่วมงานและขจัดศักดินาที่คอยขวางทางทั้งนี้ก็เพราะเป็นเงื่อนไขที่คนพวกนี้จะได้สนับสนุนทุนนิยมได้เต็มที่ ความสำเร็จของนโยบาย 66/2523 ประชาชนได้ออกจากป่าใช้ชีวิตปกติ ทำให้กลุ่มซ้ายในซ้ายขาดกำลังทำให้พวกมันต้องออกจากป่ามาด้วยแต่ยังคงมีความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง พวกมันพยายามจะวร้างสงครามกลางเมืองเพื่อให้พวกมันสามารถล้มล้างระบบศักดินาได้สำเร็จ เงื่อนไขสำคัญที่รัฐบาลนอมินีทั้งสองชุดที่ทักษิณจัดตั้งคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ซึ่งนักการเมืองหลายคนที่ฉ้อฉล ขี้โกง ไม่ชอบ และจะทำให้ทักษิณรอดพ้นจากคดีทุจริตคดโกงแผ่นดินและกล้ากลับมาบ้านเกิดได้

การต่อสู้ของพวกเราพันธมิตร การเสียชีวิต เสียเลือดเนื้อ เสียอวัยวะของพี่น้องของเรา เราไม่คิดว่าสูญเปล่าเพราะเราได้จุดไฟของความตื่นตัวซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง มีความตื่นตัวอย่างผู้รู้ ของประชาชนจำนวนมากที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เราเป็นมวลชนที่ตืนแล้วและสว่างจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นพรรคการเมืองแต่จะดำรงเป็นเครือข่ายอยู่ตลอดและพร้อมตรวจสอบและจัดการเฉพาะกิจ-เฉพาะคนได้ตลอดเวลา เราตื่นตัวอยู่ตลอดและมีความสำนึกทางการเมืองสูงขึ้น เราต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดอยากให้ประชาธิปัติย์คิดว่าจะต้องทำหน้าที่ในสภาในฐานะนักการเมืองที่ต้องทำงานให้ประชาชนและประเทศชาติ..ถึงแม้ประชาธิปัติย์ที่ถือว่าเป็นพรรคการเมืองดีที่สุดขณะนี้เข้ามาบริหารเราก็จะใช้การเมืองภาคประชาชน ตรวจสอบต่อไป.. ให้โอกาส ให้ความร่วมมือ แต่ตรวจสอบอย่างเข้มข้นและสร้างสรรค์ ด้วยเอกลักษณ์ของคนไทยอย่างไรก็ต้องบอกว่า ให้โอกาสเขาก่อน ให้เขาลองผิดลองถูก คนดีเอาคนชั่วมีคดีอาญามาร่วมวงมามีอำนาจด้วยกันมันไม่น่าจะเป็นไปได้ดี แค่เริ่มต้นเนวินขอคุมคมนาคมและมหาดไทยเท่านี้ก็ดูภาพออกได้แล้วว่าคนพวกนี้ต้องการอะไร วันเวลาไม่ได้ช่วยให้คนชั่วโดยสันดานหายชั่วได้แน่นอน กระทั่งนายชวน หลีกภัยประธานสภาที่ปรึกษาพรรคได้แสดงความไม่พอใจรายชื่อตัวแทนของกลุ่มทุนบางคนซึ่งพรรคก็มีคนวางตัวได้อยู่ เพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลเทพเทือกยอมทุกอย่างแม้แต่การไม่รับเป็น รมว.มหาดไทยเพื่อให้จัดสรรเก้าอี้ได้ตามโควตของพรรคการเมืองต่างๆจนดูเหมือนประชาธิปัติย์จะไร้อำนาจต่อรองอยู่ในสภาพตกเป็นเบี้ยล่าง นักการเมืองทั้งหลายได้ลองผิดลองถูกอยู่เรื่อย ๆ เป็นเวลา 76 ปีแล้วประเทศนี้และครั้งนี้ก็เช่นกันเรายังจะต้องให้พวกเขาได้ลองกันต่อไปแต่หากประชาธิปัตย์เล่นละครตบตาประชาชนอย่ากลัวเลยว่าเขาจะจับไม่ได้ พรรคประชาธิปัติย์นี้ก็แปลกเช่นเวลาไปอี๋อ๋อกับทหารกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรแต่กลับมากลัวจะถูกครหาว่าใกล้ชิดพันธมิตรแถมแสดงท่าทีจะกีดกันนักการต่างประเทศชั้นนำของพรรคเช่น อดีตทูตวอชิงตัน กษิต ภิรมย์ และ ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ทั้งประชาธิปัติย์และอภิสิทธิ์จะต้องกล้าตอบตนเองว่าถ้าไม่มีพันธมิตรทางประชาธิปัตย์จะมีวันได้ตั้งรัฐบาลหรือ หากประชาธิปัติย์จะอยากเป็นนายกรัฐมนตรีในระบบเก่าๆน้ำเน่าเดิมๆ ประชาธิปัติย์ก็สามารถเลือกเดินตามความคิดเดิมๆ ของแก๊งนักเลือกตั้งที่มีอยู่แล้วในพรรคพร้อมกับการหนุนช่วยของเนวินก็ไม่เป็นไร ประชาชนก็คงไม่มีทางเลือกต้องแสวงหาหนทางออกจากวังวนนี้ใหม่ต่อไป แม้กระทั่งทางสภาหอการค้าที่อภิสิทธิ์ไปเยี่ยมก็บอกว่าเห็นโผ ครม. แล้วรู้สึกผิดหวังอย่างตรงไปตรงมา ประชาธิปัตย์จึงยังไม่ควรจะดีอกดีใจออกนอกหน้าเมื่อได้โอกาสเป็นรัฐบาลต้องมีสามัญสำนึกให้เหมาะสมกับกาลเทศะอะไรที่ต้องรีบแก้ไขก็ให้รีบทำเพื่อสร้างความเชื่อถือเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นได้โดยเร็วที่สุดเช่นสะสางกระบวนการความไม่ชอบมาพากลในรัฐบาลชุดก่อน ทั้งเรื่องการทำเอฟทีเอกับต่างประเทศที่ทำให้ไทยเสียประโยชน์หรือแม้แต่เดินหน้าชี้แจงให้ต่างประเทศเข้าใจในการกระทำต่างของทักษิณ ในสถานการณ์เช่นนี้มีทางเลือกให้ประชาธิปัติย์แค่ 2 ทางเท่านั้นคืออยู่กับคำอวยพรหรือคำสาปแช่งการจัดตั้งครั้งนี้จะได้รับบททดสอบสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์อย่างสำคัญ

17 ธันวาคม 2551

สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราก็มิใช่เป็นเพียงแต่สัญลักษณ์หากแต่มีความหมายเพื่อคนทั้งประเทศ

สัจธรรมทางการเมืองที่ว่า สำหรับนักการเมืองแล้วไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรมีแต่ผลประโยชน์เท่านั้น เมื่อข่าวปรากฏออกมาว่าทางพรรคประชาธิปัตย์ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อนเนวิน จึงทำให้คอการเมืองประหลาดใจ ยิ่งภาพที่อภิสิทธิ์จับมือกับเนวินด้วยแล้วยิ่งเพิ่มความฉงนสนเท่ห์มากยิ่งขึ้น แค่นี้ก็เรียกเสียงโห่ เสียงตำหนิจากกองเชียร์และมีแนวโน้มจะเป็นเป้าของก้อนอิฐจากทั้งฝ่ายเสื้อแดง และ เสื้อเหลืองบางส่วน ในการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้แรงกดดันรอบด้านท่ามกลาง“วิ่งยื้อยุดฉุดกระชาก-แก่งแย่ง” พร้อมกับ “กลยุทธ์ทุ่มซื้อตัวส.ส.” อย่างเข้มข้นรุนแรงมากยิ่ง การแบ่งโควตารัฐมนตรีให้แก่พรรคและกลุ่มการเมืองที่มาเข้าร่วมเป็นรัฐบาลอาจจะเป็นแรงกระเพื่อมถ้าจัดสรรไม่ลงตัวเป็นระยะๆตั้งแต่แรกไปเรื่อยๆตามประสา"คน" และประชาธิปัตย์จะเป็นหนี้บุญคุณของพรรคและกลุ่มการเมือง ถ้าสามารถบริหารจัดการประเทศได้ดีในทุกแง่มุมโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองก็จะเป็นโอกาส แต่ถ้าตรงกันข้ามก็เป็นวิกฤตในทันทีเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต การลุกฮือเล็ก ๆของ ‘เสื้อแดงไร้หัว’ ที่หน้ารัฐสภาฯ เมื่อลงคะแนนเลือกนายกฯ คนที่ 27 เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม การที่ต้องเข้ามาบริหารประเทศชาติของรัฐบาลใหม่เป็นทุกขลาภอย่างมากกับ “วิกฤตเศรษฐกิจ” ทั้งจาก “ภายนอก” และ “ภายใน” เอง รัฐบาลจะต้องฟื้นฟู สร้างความเชื่อมั่น กอบกู้ภาพลักษณ์ พร้อมทั้งกำหนดมาตรการต่างๆ ในการตั้งรับกับ “พายุเศรษฐกิจ” ที่ถึงขั้นถดถอย และทรุดในที่สุด

แทบจะในทันทีที่มีการพลิกขั้วทางการเมืองได้เกิดปรากฏการณ์ของข้าราชการเปลี่ยนสีแบบฉับพลันอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการบางส่วนได้เริ่มปฏิบัติตามข้อเรียกร้องบางส่วนของพันธมิตรฯ ฉ. 29/2551 เมื่อ 12 ธค. 51 มีการเริ่มปฏิบัติตามข้อเรียกร้องโดยที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่ทันจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีเลยด้วยซ้ำไป!
- - - วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ในช่วงเวลาประมาณ 12.00 น. แกนนำพันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 29/2551 มีข้อเรียกร้องให้ปลดข้าราชการหลายคนที่รับใช้ระบอบทักษิณ รวมถึงอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมเสนอให้ถอดรายการความจริงวันนี้ และปฏิรูปสื่อทั้งระบบ
- - - ช่วงเย็นวันเดียวกัน นายสุริยงค์ หุณฑสาร รักษาการผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง11) ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าได้ถอดรายการความจริงวันนี้ออกแล้วและได้จัดรายการอื่นมาแทนเพราะมีประโยชน์มากกว่า ทั้งๆ ที่รายการความจริงวันนี้เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลที่ทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม โดยไม่มีใครทำอะไรได้ มา 6 เดือนกว่า
- - - วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551 นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้เปิดเผยว่า ได้มีหนังสืออย่างเป็นทางการถึงบรรณาธิการนิตรสาร ดิ อิโคโนมิสต์กรมสารนิเทศ เพื่อประท้วงเนื้อหาในนิตยสารดังกล่าวฉบับวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ภายหลังจากที่สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีได้ออกอากาศการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ของนิตยสารดังกล่าวในเช้าวันเดียวกัน
- - - วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 กระทรวงการต่างประเทศได้ยกเลิกหนังสือเดินทางทูตของทักษิณแล้วและเตรียมส่งให้กฤษฎีกาตีความต่อในกรณียกเลิกหนังสือเดินทางอื่นๆ ของทักษิณซึ่งเป็นตามข้อเรียกร้องส่วนหนึ่งในแถลงการณ์พันธมิตรฯ ฉบับที่ 29/2551 ลงวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551 และเป็นไปตามที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ ได้มีหนังสือทวงถามและขอให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่ของตัวเองในการเพิกถอนหนังสือเดินทางทุกประเภทของทักษิณเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สิ่งที่ข้าราชการควรจะทำได้และไม่ได้ทำนั้นมีอยู่มากมายในเวลาที่นักการเมืองในระบอบทักษิณปกครองประเทศ และในเวลาที่เกิดสุญญากาศหรือการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง เป็นที่น่ายินดีว่าข้าราชการเหล่านี้ก็สามารถปรับเปลี่ยนท่าทีต่อระบอบทักษิณได้อย่างรวดเร็วสมรภูมิอำนาจรัฐ ได้พลิกขั้วทางการเมืองแล้ว ข้าราชการเริ่มเปลี่ยนสีฉับพลัน หลังจากนี้อีกไม่นานข้าราชการที่เป็นทาสรับใช้ระบอบทักษิณก็จะต้องเตรียมถูกโยกย้าย และถูกลงโทษไปเป็นจำนวนมาก สื่อต่างๆเองก็กำลังเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนโดยฉับพลัน ทั้งทางโทรทัศน์และวิทยุของรัฐ นักวิชาการที่อิงแอบสนับสนุนระบอบทักษิณจำนวนมากถูกจับได้ไล่ทันและกำลังหมดความชอบธรรมลงเรื่อยๆ

1) ในทางการเมือง Change! Change! Change! ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงเราคนไทยพวกเสื้อสีใดก็ตามก็ต้องยอมรับ หากจะแข็งขืนก็จะเป็นการปฏิเสธในสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้แต่สิ่งสำคัญของการเปลี่ยนแปลงก็คือพวกเราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด เราประชาชนคงต้องการ “การเมืองใหม่” เพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลง เนื้อหาของการเมืองใหม่คือการที่ประเทศไทยต้องการแก้ไขปัญหาธุรกิจการเมืองให้ลดน้อยหรือหมดไปจากระบบการเมืองนั่นเอง เราล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอดหลังการใช้การปกครองระบอบนี้ระบบประชาธิปไตยทุนนิยมที่ใช้เงินซื้อทุกอย่างแม้กระทั่งจิตวิญญาณของผู้คนก็เอาทุกอย่างเป็นแค่สัญลักษณ์ เป็นพัฒนาชาติด้วยความอยุติธรรมทำลายระบบคุณค่าของคุณธรรมและความหมายดั้งเดิมที่บรรพบุรุษของพวกเราได้เคยยึดถือกันมาช้านานจนหมดสิ้นด้วยระบบทุน-หนะ-ทำ เราต้องยอมรับว่า “ความสกปรก” ของการเมืองไทยที่ผ่านมา เกิดจาก “เงิน-ทุน” แทบทั้งหมด นักการเมืองเลวบางคนบางกลุ่มที่หวังกอบโกยเพื่อประโยชน์สุขของตนเองและพวกพ้องมากกว่าชาติและประชาชนเป็นวงจรอุบาทว์ โดยมีเราประชาชนที่ไม่สามารถดำเนินการใดๆได้แต่ประการใด นอกจากนั่งมองตาปริบๆดูพวกนักการเมืองปู้ยี่ปู้ยำประเทศชาติจนบอบช้ำ ซ้ำเติมเราจนจมดิน เราชอกช้ำกับ “ปัญหาธุรกิจการเมือง” มาช้านานจนบางคนซึมซับยอบรับว่าทุจริตประพฤติมิชอบ และ พวกมากลากไป! เป็นเรื่องปรกติไปเสียได้ ระบบการเมืองที่เย้ายวนใจเพราะสามารถที่จะแสวงหาผลประโยชน์ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำไม่ต้องกังวลกับการผิดกฎหมายเพราะตนเองเป็นผู้ออกกฎหมายจะผิดได้อย่างไรโดยเผด็จการรัฐสภาทักษิณจึงเป็นรูปแบบที่เป็นรูปธรรมที่ประเทศไทยเผชิญในช่วงที่ทักษิณเรืองอำนาจและได้กลายมาเป็นต้นเหตุของวิกฤตปัญหาบ้านเมืองมาจนถึงปัจจุบัน สื่อสารมวลชนจึงเป็นเงื่อนไขที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาธุรกิจการเมืองเพราะข้อมูลที่ได้รับจะมีผลต่อการตัดสินใจของคน การปฏิรูปสื่อให้มีวิจารณญาณจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพราะความเป็นกลางมิได้หมายความว่าจะต้องมีเวลาหรือเนื้อข่าวเท่ากันและลอยตัวออกจากประเด็นปัญหาหากแต่ต้องเสนอในสาเหตุของปัญหามิใช่เอาแต่ผลมานำเสนอเช่นการเสนอข่าวความเสียหายจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิจึงเป็นตัวอย่างที่ดีว่าสื่อส่วนใหญ่ในขณะนี้มีวิจารณญาณมากน้อยเพียงใด ทำไมจึงมีคนจำนวนมาก ยอมไปตากแดด นอนบนพื้นถนนแทนที่จะนอนอยู่กับบ้าน ใครเป็นคนสั่ง “ปิด” สนามบิน ทำไมจึงต้อง “ปิด” การเดินทางผู้โดยสารขาเข้าและขาออกทั้งที่มีเครื่องบินบินอยู่บนอากาศ และทำไมต้อง “ปิด” การขนส่งสินค้าทั้งขาเข้าและขาออก ทำไม “ไม่เปิด” สนามบินที่ใกล้เคียงเป็นสนามบินสำรองในทันที ใครเคยอ่านพบคำตอบจากคำถามข้างต้นจากสื่อส่วนใหญ่ที่จอมปลอมเหล่านั้นบ้าง?

2) ในด้านเศรษฐกิจ การถดถอยในเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆจากปัญหาการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้กู้ต่ำกว่ามาตรฐานอาจส่งผลกระทบในระยะสั้นให้กับประเทศไทย เศรษฐกิจไทยมีปัญหาที่ได้เริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดทำให้ชะลอตัวบ้าง ครั้งนี้เรารู้ตัวล่วงหน้าแต่สำคัญว่าจะรับมืออย่างไร การเปลี่ยนแปลงของเราน่าจะหาคนที่เป็น “คนดี” มาร่วมงานได้ง่ายมากขึ้น ในระยะสั้นเราก็ควรจะหยุดคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญสักครู่แล้วหันมาสนใจเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลักก่อนจะดีไหม สิ่งที่น่าจะจัดทำเป็นวาระของประเทศเพื่อการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวเป็นอย่างเป็นรูปธรรม สังคมไทย ณ วันนี้มาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะเดินไปในทิศทางใดแต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมเราจะมี ทุน ปืน และเจ้าที่สามารถเดินเคียงคู่กันไปสู่ความสำเร็จและเราจะสลายขบวนการ “ล้มทุน ล้มปืน ล้มเจ้า”
ที่เป็นต้นตอของปัญหาอันเนื่องมาจากระบอบทักษิณได้

3) ในทางสังคมการใช้ความรุนแรงจากระบอบทักษิณจะต้องเผชิญหน้ากับอำนาจรัฐ ทหาร ตำรวจ และอำนาจสื่อที่เปลี่ยนมือ
ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าระบอบทักษิณกำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จะต้องรับใช้โอกาสนี้ขย่มวิกฤตระบอบทักษิณให้พังทลายสำเร็จ

รัฐบาลชุดใหม่ต้องไม่ลืมว่าได้เข้าสู่อำนาจเพราะมีประชาชนที่เสียสละชุมนุมมานานถึง 193 วัน ด้วยความอดทน มุ่งมั่น สละกำลังทรัพย์ แรงกาย แรงใจ แม้กระทั่งสูญเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก จนทำให้เกิดการยุบพรรคและเปลี่ยนขั้วทางการเมือง หลังจากนี้ประเทศไทยเริ่มเคลื่อนตัวออกจากระบอบทักษิณหลังจากที่หยุดจมปลักมากว่า 7 ปี และอาจเป็นการผ่านเลยไปโดยไม่มีวันหวนกลับมาอีกลาก่อนทักษิณและยินดีต้อนรับอภิสิทธิ์ เราได้เดินทางมาไกลในแบบไทยๆผสมผสานระหว่างประชาธิปไตย ทุน และสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแบบฉบับของเราเอง คำว่าประชาธิปไตยต้องมีจิตสำนึกมิใช่มีแต่เพียงการอ้างสัญลักษณ์บางอย่าง เช่น การเลือกตั้งไม่ได้บอกว่าเรามีประชาธิปไตยแล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราก็มิใช่เป็นเพียงแต่สัญลักษณ์หากแต่มีความหมายเพื่อคนทั้งประเทศอย่างที่นักวิชาการบางส่วนที่สายตาคับแคบที่ไม่รู้ดีรู้ชั่วหรือจากสื่อต่างประเทศที่อาจไม่เข้าใจ แต่ถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยังไม่ตระหนักถึงปัญหาวิกฤตของบ้านเมือง ไม่สนใจข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ไม่ปฏิรูปสื่อ ไม่ปฏิรูปรัฐตำรวจแล้ว ก็อย่าไปหวังว่าจะไปสร้างการเมืองใหม่ได้เลย แม้แต่วิกฤตที่รออยู่ข้างหน้าก็จะข้ามผ่านไปไม่ได้อย่างแน่นอน

15 ธันวาคม 2551

ทั้งนักวิชาการ สื่อไทยและสื่อเทศ, อีเพ็ญ, และทาสระบอบทักษิณตนอื่นๆรวมทั้งทักษิณ

พวกเราชาวไทยทุกคนก็จะบอกกันว่ารักในหลวง อยากจะถามต่อว่าแล้วคนที่บอกว่ารักพระองค์ท่านนั้น เคยคิดหรือคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์ท่านหรือไม่ หรือเคยคำนึงถึงพระราชดำริของพระองค์ท่านบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะบุคคลที่ทำงานทางด้านการเมืองทุกคน ได้คิดกันหรือไม่ว่าพระองค์จะทรงรู้สึกเช่นไรกับปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ ประชาชนของพระองค์บาดเจ็บ ล้มตายไปมากมาย เกิดความแตกแยก เพียงเพราะคน ๆ เดียว การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เห็นผลดีที่สุดนั้นคือการปกครองที่มีผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนคนส่วนใหญ่ของสังคม ไม่ใช่ว่าประชาธิปไตยทำให้คนมีเสรีภาพจะทำอะไรก็ได้ตามใจเป็นไทยแท้และก็เพียงแค่หยอดบัตรเลือกตั้งแล้วก็แล้วกันพ้นคูหาเลือกตั้งก็จบ

ในเมื่อให้นักการเมืองแบบพังประชาชนมีโอกาสมาบริหารประเทศ 2 ครั้งแล้วแต่กลับไม่ได้มีนโยบายอะไรที่ช่วยเหลือประชาชนเลยซักนิดเดียว เอาคนที่หย่อนสมรรถภาพมาดำรงตำแหน่ง มีแต่จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้คนคอรัปชั่นพ้นผิด ฆ่าคนเป็นผักปลา ปากเขาพร่ำรักในหลวงเพียงลมแต่ในใจคิดทำลายราชบัลลังก์ตลอดเวลา เป็นถึงสส.ฝ่ายรัฐบาลแต่กลับเป็นแกนนำเสื้อแดงระดมคนมาดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์แต่อ้างว่ามาชุมนุมเพื่ประชาธิปไตย ในเมื่อให้โอกาสมา 2 ครั้งแล้ว คงไม่มีครั้งที่ 3 อีกต่อไป เล่นเอาเงินภาษีของคนไทยไปแจกให้คนเหนือ คนอีสานมาตลอดจนรากหญ้าใน 2 ภาคนี้จนเสียผู้เสียคนไปแล้ว ให้โอกาสคนอื่นได้แล้วทั้งที่เค้ายังไม่เคยทำผลงานก็กลับไปต่อต้านเค้าไม่ลองให้เค้าได้พิสูจน์ฝีมือนี่หรอน้ำใจคนไทย มาบอกว่าเพื่อไทยเป็นหัวใจของคนอีสาน แล้วคนภาคอื่นจะทิ้งไว้ไหน มาบอกให้เลือกตั้งใหม่ ยอมรับเลยว่าสู้เพื่อไทยที่มีนักโทษหนีคุกสองสามคนบงการอยู่ไม่ได้เพราะอะไรก็น่าจะรู้ดี เล่นเอาเงินงบประมาณไปซื้อเสียง ส่วนมากเป็นภาคไหน ก็เหนือ อีสานไงหัดใจกว้างกันบ้าง คนที่เค้าไม่มีจะกินจะตายอยู่แล้วเห็นใจคนอื่นบ้าง ถ้าเค้าไม่ดีก็เปลี่ยนใหม่ อย่ามาต่อต้านแบบถูกจูงจมูกเลย พวกเสื้อแดงสำเหนียกตัวได้แล้ว

นักวิชาการเสื้อแดงอย่าง
o นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
o นางผาสุก พงษ์ไพจิตรอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
o นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
o นายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
o และคนอื่นๆ อีกมากมายหยันรัฐบาลมาร์ค 1 จะไร้เสถียรภาพ-โทษ รัฐธรรมนูญ50 ต้นตอปัญหาสับ “อภิชน” ทวนเข็มนาฬิกา ทำการเมืองอ่อนแอ แนะแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิกมาตราที่เป็นอำมาตยธิปไตยปกครองโดยอภิชน

นักวิชาการจะต้องอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองอย่างมีมิติ ลุ่มลึก รอบด้าน ไตร่ตรองโดยอาศัยหลักคุณธรรม เชื่อมโยงเหตุปัจจัยต่างๆ เพื่อเกิดความเข้าใจมากขึ้นต่อเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ และข้อประพฤติปฏิบัติของสังคมอันเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด นักวิชาการทั้งหลายโปรดไตร่ตรองว่าท่านคิดท่านพูดเพื่อประเทศชาติหรือเพื่อตัวท่านเอง ถ้าผู้ใดยังจะแสดงความคิดเห็นให้สังคมไทยแตกแยกต่อไปกรุณาช่วยถอดหัวโขนทางตำแหน่ง ทางวิชาการออกให้หมด หากพูดโดยไม่มองพื้นฐานของประเทศไทยในวันนี้เป็นการวิจารณ์ที่ไม่อยู่บนจุดอ้างอิงที่มีเหตุผลน่าเชื่อถือ รังแต่จะทำให้คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์หลงเชื่อถือ และไม่มีหน้าที่ชี้นำคนพวกนั้นถึงแม้ว่าโดยหลักวิชาจะสามารถทำให้เชื่อหรือมองเห็นได้เช่นนั้น

พวกนักวิชาการหลายๆคนไม่เคยเห็นประเด็นศึกษาว่าในประเทศไทยนี้มีอะไรที่ควรจะกำหนดให้เป็นประเด็นศึกษาบ้าง และ ไม่ได้คำนึงถึงพันธกิจแท้ที่มีต่อสังคมที่ตนเองเกิดและดำรงอยู่ ไม่เอาสถาบันกษัตริย์ กำลังต้องการแก้รัฐธรรมนูญในหมวดพระราชอำนาจ โดยต้องการลดพระราชอำนาจ มุ่งหมายเพียงทำลายอะไรที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามระบอบทักษิณ หรือ ที่ทำให้ระบอบทักษิณเสียประโยชน์ นักวิชาการสีเทาพวกนี้ไม่เคยแตะพ่อเหนือหัวทักษิณเลย จะให้เราเคาะราคาให้คนพวกนี้ใด้อย่างไรเราควรจะลองให้พวกนี้ทิ้งเรื่องรัฐธรรมนูญ ปี 50 เอาไว้ก่อนแล้วมาพูดถึง “เพ็ญ” ปากดีเหน็บพันธมิตรฯ รับจ้าง “คนอยู่เหนือ”, คดีดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ต่อบุคคลที่รับใช้ระบอบทักษิณอย่างนายจักรภพ เพ็ญแข หรือนายวีระ มุสิกพงศ์ เว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุชุมชนที่เหิมเกริมอย่างหนักตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา, ทักษิณที่จาบจ้วงพระองค์ท่าน ด้วยวาจาอย่าง มือที่มองไม่เห็น ชนชั้นสูง ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ศาล ด้วยการกระทำ อย่างการโฟนอิน ทักษิณที่ขายชาติยกอธิปไตยชายแดนไทยให้เขมรและน้ำมัน ทักษิณที่หนีภาษีและหนีคดี เงินที่ทักษิณไปซื้อ แมนซิ แอมเพอริช กับ วินมาร์ค ดีกว่าเอาเท้าราน้ำ นักวิชาการอย่างนี้อย่างที่ขาดคุณธรรมจริยธรรมหรืออย่างที่มีแต่ในจิตสำนึกมีแต่น้ำเงินสกปรกจากทรราช ที่กำลังทำตัวมือไม่พายเอาเท้าราน้ำนั้นก็ไม่ควรได้รับความไว้วางใจจากสังคมอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกท่านยังคงประสานเสียงตรงกันว่า "เรารักทักษิณ เพราะเงินของทักษิณสอนให้เรารักระบอบทักษิณและไม่เอาประชาชน".. เสียงจากนักวิชาการเหล่านี้เป็นเสียงกับท่วงทำนองเดียวกันกับที่สื่อต่างๆนำเสนอ ทั้ง สื่อไทยและสื่อเทศ, อีเพ็ญ, และทาสระบอบทักษิณตนอื่นๆรวมทั้งทักษิณเองด้วย

การต่อต้านแบบสุดโต่งของนักวิชาการเหล่านี้เริ่มตั้งแต่การวิพากษ์วิจารณ์การบอยคอตของฝ่ายค้านที่ไม่ส่งคนลงเลือกตั้งก่อนทรท.ถูกยุบ / การออกมารณรงค์ให้คนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 50 และ สนับสนุนให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ 50 อืนๆอีกมากมาย นักวิชาการเหล่านี้เชื่อว่าต้นตอปัญหาคือรัฐธรรมนูญ50 ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันผ่านการลงประชามติโดยเสียงส่วนใหญ่แต่ก็บอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตย พิลึกจริงๆ คนทำผิดดันโทษ รัฐธรรมนูญ ปัญหาอยู่ที่คนต่างหาก ถ้ายังมีนักการเมืองไทยที่โกงกิน ชั่วชาติส่วนมากทำผิดกฎหมายแล้วบอกรัฐธรรมนูญไม่ถูกอย่างนั้นอย่างนี้ก็แก้ให้ฆ่าคนแล้วถูกกฎหมายเลย รัฐธรรมนูญฉบับไหนๆก็ใช้ไม่ได้นักวิชาการเหล่านี้คงจะต้องเขียนรัฐธรรมนูญเองกระมังจึงจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด

หลังมติโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ผ่านไป โดยผู้ถูกเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เอาชนะ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ตัวแทนจากฝั่งกลุ่มอำนาจเดิมไปด้วยคะแนน 235 ต่อ 198 เสียงท่ามกลางความคาดหวังของภาคเอกชน และประชาชนต่อการ ‘เปลี่ยน’ ครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดทั้งชีวิตส่วนตัว และการบริหารงานในตำแหน่งผู้นำรัฐบาล หลังจากดูงานและเห็นตัวอย่างในวงการเมืองในฐานะผู้นำฝ่ายค้านมานาน หากระบอบทักษิณยังมีความพยายามเฮือกสุดท้าย หรือ หากนักการเมืองทั้งคณะหรือบางส่วนยังดันทุรังสักแต่จะเป็นรัฐมนตรีเพื่อเกียรติประวัติของวงศ์ตระกูล เข้ามาถอนทุนกอบโกย ปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจ ถึงเวลานั้น นายอภิสิทธิ์คงตอบได้เองว่า เมื่อตนเป็นนายกฯ แล้วบ้านเมืองจะดีขึ้นหรือไม่?

13 ธันวาคม 2551

ใคร่ได้ใคร่มี ใ น พระบรมฉายาลักษณ์



คนในระบอบทักษิณนั้นไม่เคยสู้ด้วยการพูดความจริง คนพวกนี้ปฏิบัติการตะแบง"พูดซ้ายเป็นขวา พูดปลาเป็นนก" ชอบบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร โกหกคนไทยด้วยความเชื่อที่ว่า ความคิดของตนเป็นสิ่งถูกต้องและชอบธรรมอยู่ฝ่ายเดียว จะทำอะไรก็ได้ตามใจตนเองเมื่อมีอำนาจปกครอง ก็คิดเหิมเกริมคบคิดกันว่าตนเองนั้นสมควรปกครองประเทศไทยไว้ในอุ้งมือของพวกตนแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียคนเดียว ใช่ในการต่อสู้ทางการเมืองมันไม่ผิดหรอกที่จะคิดแบบนี้หรือสังคมอื่น แต่ที่นี่ประเทศไทย เพียงแค่ทักษิณมันเข้ามาเล่นการเมืองไม่กีปี ตัวมันและตระกูลรวบตัวมันรวยเอา รวยเอาแต่ไม่คิดจะควักเนื้อแทนคุณแผ่นดินแถมยังเอาเงินภาษีของพวกเราที่ต้องทำทุกอย่างอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มาโปรยทานให้รากหญ้าเพียงไม่กี่ คนๆหนึ่งก็ได้กันไปไม่เท่าไหร่ พวกเขาก็ขายจิตและวิญญาณและถวายชีวิตให้มันได้ อีเพ็ญ จักภพ เพ็ญขแขได้ทุนหลวงไปเรียนเมืองนอกเมืองนากลับมาไม่รู้คุณแผ่นดิน พาผัวกลับมากกเป็นเดือนๆหลายปีเลยทีเดียว ระหว่างนั้นก็ทำหน้าเศร้า เล่าความเท็จให้ผัวเข้าใจราชวงศ์ไทยผิดไปจากความเป็นจริง ผัวก็เทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับกรุงเทพฯแล้วทะลึ่งเอาบทความไปลงในสื่อสากลอันเป็นที่ทำงานของตน นอกจากนั้นยังมีหน้าไปคุยกับคนในวงการฑูต วงการสื่อนี้คือฝีมือกู(กับผัว)

อีเพ็ญ หัวหมู่ทะลวงฟันกับพวกนปช. เช่นวีระ มุสาพงษ์ต้องคดีหมิ่นซ้าซาก หมอโหวงเหวงผู้ลืมการแพทย์ที่ร่ำเรียนมา สามเกลอหัวขวดในรายการความเท็จวันนี้ เป็นต้น ไปจ้วงจาบองคมนตรีคณะที่ปรึกษาของพ่อ ลากรถไปปราศัยต่อป๋าเสียๆหายๆถึงหน้าบ้านท่าน เอาเศษเดนสังคมไปทำร้ายทำลายบ้านป๋า การตีทั่ง (ป่า) กระทนโกลน (คนที่อยู่เหนือ) ไม่ได้มีเพียงแค่นี้ อาจมอาจารย์ในม.ดังๆหลายแห่งแลกการอบรมคนรุ่นใหม่ให้"ไม่ยืนไม่ใช่อาชญกร" มากมายได้เศษเงินเศษตำแหน่ง สื่อต่างๆทั้งไทยและเทศรับค่าขนมจ้างเขียนบทความกระทบกระแทก จาบจ้วงล่วงละเมิด เช่น

click to read these four topics ...

“สุชาติ นาคบางไทร” หนีหัวซุนคดีหมิ่นเบื้องสูง
รับจ้าง"คนอยู่เหนือ"
22 สค.ทางกระทรวงต่างประเทศปฏิเสธคำกล่าวอ้างของฟอร์บส์ว่าพ่อเป็นราชวงศ์ผู้มีพระราชทรัพย์มากที่สุดของโลก
13 ธันวาคมกระทรวงต่างประเทศทำหนังสือประท้วง “ดิ อีโคโนมิสต์” หลังเผยแพร่เนื้อหาพาดพิงสถาบันกษัตริย์ไทยบิดเบือนความจริง

อีเพ็ญเปิดฉากวาทกรรมจาบจ้วงเบื้องสูงมาเป็นปีๆชัดๆตั้งแต่หลังรัฐประหารล่าสุด กว่าพวกตำรวจจะรู้ ตำรวจน้ำดีที่ยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้างก็แจ้งความจับตั้งแต่ยังไม่เลือกตั้ง จน อีเพ็ญ เข้ารับตำแหน่งในรํฐบาล แล้วก็ลาออกไปแล้ว ตำรวจน้ำดีคนนั้นก็ถูกส่งเข้ากรุในฤดูโยกย้ายต่อมา ใครเห็นบ้างว่าอีเพ็ญโดนดำเนินคดีอย่างไรและคนที่ร้องทุกข์โดนกระทำอย่างไร การใช้คนนั้นคนนี้จาบจ้วงราชวงศ์ปรากฏอยู่โดยทั่วไปและมักจะเป็นคนเดือนตุลาที่เรียกว่าซ้ายอกหักพวกมันกำลังดิ้นพล่าน เฮือกสุดท้าย มันกำลังก่อสงครามประชาชน ถ้าเรานิ่งมากพอเท่าใด ความชอบธรรมเราจะมีมากเท่านั้น พยายามอัดเสียงมันไว้ช่วยกันเผยแพร่ว่าพวกเสื้อแดงมันทำลายสถาบัน ให้ความรู้แก่ชาวบ้านได้ตาสว่าง

คนพวกนี้ทุกวันนี้ก็ยังพึ่งพระราชบารมี พระบรมโพธิสมภารของพ่ออยู่เช่นคุณพ่อของอีเพ็ญเคยไปนอนป่วยที่รพ.ภูมิพลได้ทำการฉีดสีสวนหัวใจด้วยนอนรพ.อยู่หลายวันอีเพ็ญเองก็เคยไปเยี่ยมที่รพ.ภูมิพล เช่นไรก็ตามทีถ้ายังมีความกตัญญูรู้คุณบุพการีอันเป็นสิ่งซึ่งมนุษย์มนาปกติควรมีก็คงจะไม่ตกเป็นทาสกิเลสตัณหาได้ถึงเพียงนี้ เพียงพระบารมีแค่ชื่อรพ.ยังช่วยเหลือคุณพ่อได้ มิควรยิ่งที่จะผยองพองตน ที่สำคัญที่สุดคนพวกนี้ยังพกพา โลภโมโทสันกระสันใคร่ได้ใคร่มีพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ในครอบครองมากมายไม่รู้จักจบจักสิ้นไม่ว่าจะสีน้ำตาลสีเขียวสีแดงสีม่วงและสีเทา

10 ธันวาคม 2551

คนไทยทั้งประเทศกำลังเฝ้ารอความหวังจากรัฐบาลชุดใหม่

ด้วยวัยเพียง 44 ปีของนักการเมืองหนุ่มอนาคตไกลลลลลลลลล....มากๆๆๆๆๆๆอย่างคุณอภิสิทธิ์ถือได้ว่าเป็นนักการเมืองที่มีต้นทุนสูงที่สุดคนหนึ่งในแวดวงการเมืองไทยในเวลานี้ ทั้งหน้าตา ภาพลักษณ์ การศึกษา ประวัติครอบครัว ประวัติส่วนตัว ประสบการณ์ทางการเมือง กลับเก็บอาการยอมรับการจัดตั้งรัฐบาลที่มีความเสี่ยงสูงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอนาคอนดาทางการเมือง, แผนหักหลังคล้ายๆกรณีสมัครหลังถูกตัดสินเรื่องการทับซ้อนของผลประโยชน์ทางการเมืองกับรายการทีวีชิมไปยัดห่าไปหรือแผนการสอดไส้แก้รัฐธรรมนูญเข้าทางพรรคพังประชาชนด้วยการรวมกลุ่มก้อนสส.ที่มีรอยด่างดวงบ้านแตกสาแหรกขาดจากการตัดสินยุบพรรคทั้งสองครั้งอย่างเนวิน ชิดชอบ และอดีตพรรคร่วมรัฐบาลพังประชาชนมาปนเปื้อนบ้างก็ตาม แม้ว่าประชาชนชาวไทยก็ยังพอจะกล้ำกลืนฝืนทนกับ “ความอัปลักษณ์” หน้านี้ของการเมืองไทยไปได้ เพราะอย่างน้อยทุกคนก็คาดหวังเอาไว้ว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ในนามอภิสิทธิ์ น่าจะดูได้มากกว่ารัฐบาลเพื่อไทยชื่ออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น “เสนาะ-ประชา-เฉลิม-เชษฐา” นั้นหากไม่เป็นสิ่งตกค้างทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็ต้องถือว่าเป็นชื่อที่ประชาชนทั่วไปไม่รู้จักก็เป็นเพียงชื่อที่ไร้เครดิต-ไร้บารมีในฐานะผู้นำประเทศ ผิดกับชื่อ “อภิสิทธิ์” ที่ตอนนี้ผู้คนทุกภาคส่วนให้การยอมรับไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ ทหาร ต่างประเทศ สื่อมวลชน ประชาชน เลขาพรรคประชาธิปัตย์รับว่าขณะนี้ตัวเลขยังไม่นิ่งต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ทางโน้นทั้งดูด ทั้งดึง พลังมหาศาล ราคาก็ขึ้นเรื่อยแต่จะไม่เป็นปัญหาอะไร

ขณะที่การเมืองเก่ากำลังวิ่งฝุ่นตลบภาคีเครือข่ายประชาชนเพื่อฟื้นฟูชาติและพัฒนาการเมืองได้ยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานรัฐบาลเฉพาะกาลแล้วและจะไปหารือร่วมกับผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอีกครั้ง เพื่อหาทาง ออกร่วมกันต่อไป นอกจากนี้ประธานกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องชี้ให้ชัด เกิดความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวและไข้ขอข้องใจต่อประชาชนอันอาจเป็นผลร้ายต่อการปกครองของเราว่า
๑) ส.ส.สัดส่วนของพรรคที่ถูกยุบจะยังคงสภาพส.ส.อยู่หรือไม่และสามารถย้ายไปพรรคอื่นได้หรือไม่ เพื่อความชัดเจนก่อนเปิดสภาเลือกนายกฯ
๒) ส.ส.แบบแบ่งเขตที่ยังไม่มีพรรคการเมืองสังกัดและกกต.ยังไม่รับรอง จะสามารถปฏิบัติหน้าที่
๓) สมาชิกภาพของผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร"ชัย ชิดชอบ" และตำแหน่งรองประธานสภาฯ หลังพรรคพลังประชาชนถูกยุบจะสามารถดำเนินการเรียกประชุมสภาฯ ได้หรือไม่
๔) ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีสามารถรักษาการ ำหน้าที่ต่อไปได้หรือไม่เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งและไม่ได้มีการแต่งตั้งกันอีกในระหว่างที่มรการตัดสินคดีแม้ว่าเขาคนนั้นจะเคยทำหน้าที่นี้ของนายกชายกระโปรงคนก่อนระหว่างการไปตากหน้าที่เปรูครั้งสุดท้ายก่อนถูกถีบลงจากเก้าอี้
๕) พรรคการเมืองที่จะรับสมาชิกสภาผู้แทนฯเข้าสังกัดต้องเป็นพรรคการเมืองที่มีอยู่ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค.หรือไม่
แม้ว่าการตรวจสอบคุณสมบัติส.ส.สัดส่วน และส.ส.เขตจะต้องเป็นไปตามขั้นตอน โดยนายทะเบียนและสื่อสารกับสังคมด้วยคนคนเดียวเช่นเลขาฯโดยคนที่กกต.อีก 4 คนไม่ควรออกความเห็น ควรงดพูดเพราะยิ่งพูดยิ่งทำให้ประชาชนสับสน

คนไทยทั้งประเทศกำลังเฝ้ารอความหวังจากรัฐบาลชุดใหม่ดังนั้นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไขก่อนปัญหาใดๆและต้องเป็นการแก้ไขปัญหาเพื่อแก้วิกฤตของประเทศชาติและของประชาชนจริงๆ มิใช่การแก้ไขปัญหาเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง หรือตระกูลใดตระกูลหนึ่งเท่านั้น

09 ธันวาคม 2551

นายกรัฐมนตรี ประชาชน ความหวัง อำนาจ

ในห้วง 2 ปีที่ผ่านมาเราเกิดวิกฤตการเมืองเพื่อพลิกผืนแผ่นดินไทยให้ปราศจากทุจริตคอร์รัปชันควบคู่กับธำรงรักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสืบต่อไปที่ส่อให้เห็นว่าความขัดแย้งทวีความรุนแรงจนอาจนำไปสู่สงครามการเมืองทั้งมีการดึงเอากองทัพเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่หลายครั้งเกิดจากระบอบทักษิณ และเป็นตัวแทนระบอบนี้พยายามจะทำลายฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ จึงเกิดการต่อสู้ขึ้นมีการใช้อาวุธสามัญข้างถนน พัฒนาเป็นปืน และอาวุธสงครามจนมีคนเจ็บคนตาย จนกระทั่งต้องยึดสถานที่สำคัญของรัฐ และท่าอากาศยานฯ อันเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจของชาติให้เป็นการประท้วงรัฐบาลขั้นรุนแรงที่สุดที่มีคนนับหมื่นๆ คนต้องชะตากรรมเพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้ด้วย การมองวิกฤติของความขัดแย้งเป็นการช่วงชิงอำนาจกับผลประโยชน์เหล่านั้นอยู่ "เป็นการต่อสู้ทางความคิด" ถ้าเพียงแค่คู่กรณีเล่นกันเองมันไม่ลุกลามเป็นวิกฤติขนาดนี้ แต่วันนี้มันมี "มวลชน" และ "ประชาชน" ซึ่งไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆโดยตรงแต่ก็ถูกทำให้ต้องเลือกข้างมาต่อสู้กันคนที่มาชุมนุมพันธมิตรฯ ก็ไม่ได้เป็นเป็นคนที่มาสนับสนุนให้บ้านเมืองถอยหลัง ไม่เป็นประชาธิปไตยหรือเป็นอำมาตยาธิปไตยนั้นแต่ไม่ใช่ส่วนใหญ่หรือในทางกลับกันคนที่สนับสนุนทักษิณบางคนจะเป็นคนที่อยากได้ใคร่ดีและได้รับการปูนบำเหน็จเขาก็มีความเชื่อของเขาจริงๆ ว่า ประเทศจะเดินไปได้ดีกว่า ถ้ามีรัฐบาลที่ทำอะไรรวดเร็ว ไม่ต้องยึดติดอยู่กับกฎกติกา แม้จะมีการคอร์รัปชั่นบ้างก็ไม่เป็นไร... ถ้าเรามีวุฒิภาวะเพียงพอสังคมของเราก็จะสามารถก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่งโดยสังคมไทยกำลังต้องการการบังคับใช้กฎหมาย รักษาระบบนิติรัฐและผลประโยชน์ส่วนรวม และแต่จะต้องตอบสนองความต้องการและแก้ปัญหาให้ประชาชน ชาวบ้านก็จะไม่ยึดติดกับตัวบุคคล ไม่ต้องทำให้ใครคนหนึ่งคนใด

“สวนดุสิตโพล” เผยผลสำรวจ คนทั้งประเทศเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ ต้องการให้การเมืองเปลี่ยนขั้ว อยากให้ “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯ กว่าร้อยละ 40 แต่หากไม่ติดเงื่อนไขรัฐธรรมนูญต้องการ “อานันท์ ปันยารชุน” เป็นมากที่สุด หวังรัฐบาลใหม่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้องชาวบ้านเป็นอันดับ 1

คุณสมบัติของ “นายกรัฐมนตรี” ที่ประชาชนต้องการ คน กทม.ต้องการ คน ตจว.ต้องการ ภาพรวมต้องการ
----------------------------------------------- ---------------- ---------------- ----------------
เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต/เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม 44.08% 35.49% 39.79%
เป็นคนเก่ง/มีความรู้ความสามารถ/มีความรับผิดชอบ 21.05% 22.58% 21.82%
ตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน 9.87% 20.97% 15.42%
มีความเป็นผู้นำ/กล้าคิดกล้าตัดสินใจ ทำงานรวดเร็ว 17.11% 8.06% 2.58%
มีความเป็นกลาง ยุติธรรม /ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว 7.89% 12.90% 10.39%

ปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนอยากให้ “รัฐบาลใหม่” แก้ไข คน กทม.ต้องการ คน ตจว.ต้องการ ภาพรวมต้องการ
----------------------------------------------- --------------- ---------------- ----------------
ปัญหาเศรษฐกิจ /คนตกงาน /ปัญหาปากท้องประชาชน 48.98% 37.17% 43.08%
การปฏิรูปการเมืองให้เป็นระบบอบประชาธิปไตย /ขจัด
คอร์รัปชัน 24.24% 33.63% 28.93%
การท่องเที่ยว /สร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับ
นักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในประเทศไทย /เพิ่มจำนวนนัก
ท่องเที่ยวให้มากขึ้น 10.63% 12.39% 11.51%
การศึกษาไทย /การให้ทุนสนับสนุน /ยกระดับการศึกษา
ไทยให้ได้มาตรฐาน 6.56% 11.50% 9.03%
สภาพสังคม / ความแตกแยก /สภาพจิตใจของคนไทย 9.59% 5.31% 7.45%

คนไทยทั้งประเทศกำลังเฝ้ารอความหวังจากรัฐบาลชุดใหม่หลังจากที่บ้านเมืองที่เพิ่งรอดพ้นการนองเลือดและสงครามกลางเมืองทั้งจากวิกฤติความแตกแยกในชาติ ยังไม่พ้นปีสภาพัฒน์ชี้ปี52ว่างงานพุ่ง9แสนคนสปส.เตรียมทุ่ม1หมื่นล.ปล่อยลูกจ้างกู้ดบ.ต่ำ ภารกิจท้าทายอันดับแรกคลี่คลายวิกฤติความแตกแยกในชาติ รัฐบาลชุดใหม่ต้องยึดถูกต้องชอบธรรม เที่ยงธรรม ตรงไปตรงมาอย่างเคร่งครัด บรรเทาผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกเพื่อประคองวิกฤติเศรษฐกิจให้ผ่านไปได้ด้วยดี เร่งเรียกความเชื่อมั่นและเกียรติภูมิของประเทศไทยในสายตาชาวโลกให้กลับคืนมาโดยเร็ว และสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและความสงบเรียร้อยให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง การปฏิรูปสื่อ ต้องรีบเร่งสลายขบวนการ “ล้มทุน ล้มปืน ล้มเจ้า” ทั้งในเชิงองค์กรและเครือข่ายให้หมดพิษสงไปโดยเร็ววัน เพราะนี่คือต้นตอของ “ฝันร้าย” ของประเทศในวิกฤติเศรษฐกิจของโลกครั้งใหญ่ ทุกฝ่ายจะต้องเห็นแก่บ้านแก่เมืองและช่วยกันประคอง ละทิฐิและยึดผลประโยชน์เพื่อตัวเองโดยไม่คำนึงถึงหายนะ คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปตามคาดที่ให้ยุบ 3 พรรคร่วมรัฐบาลกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งสำคัญ แม้ว่าสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคาร ซึ่งมองการณ์ไกลเล็งเห็นสัญญาณอันตรายในอนาคตจึงมีมติเสนอข้อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนขั้วในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เป็นการส่งสัญญาณกดดันอย่างสำคัญและเป็นลางต่อระบอบทักษิณที่เป็นรากเหง้าต้นเหตุที่แท้จริง แต่ทักษิณผู้นำตัวจริงพรรคเพื่อไทยซึ่งกำลังจนแต้มทางการเมืองพยายามดิ้นสุดฤทธิ์หวังพลิกฟื้นสถานการณ์กลับคืนมาจนมีข่าวว่าทักษิณลงทุนโทรอ้อนวอนขอร้องบรรหารและเนวินแต่ทั้งคู่ยันที่จะหันไปจับมือเปลี่ยนขั้วด้วยเหตุผลพิเศษบางประการ ทักษิณฉุนขาดทวงบุญคุณ เนวินหลังไม่ทำตามคำสั่ง“ทุกอย่างจบแล้วครับนาย” เพื่อไทยพยายามแก้เกมถึงกับยอมทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจรัฐไว้ในมือแม้กระทั่งยอมเสนอเก้าอี้นายกรัฐมนตรีล่อแต่คนเขารู้ทันกันไปทั่วแล้วว่าเป็นเพียงหมากเป็นเครื่องมือเพื่อรักษาอำนาจของระบอบทักษิณเท่านั้นหากระบอบทักษิณยังเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไปบ้านเมืองก็จะเกิดวิกฤติไม่รู้จบ พันธมิตรฯก็จะกลับมาชุมนุมอีกครั้งอย่างเข้มข้นกว่าเดิมเพราะมีจุดยืนชัดเจนรับไม่ได้หากรัฐบาลชุดใหม่จะมีนายกฯหุ่นเชิดระบอบทักษิณ เพื่อไทยเองมันก็ส่งสัญญาณปลุกม็อบเสื้อแดงหวังตีรวนป่วนเมืองย่อมสะท้อนให้เห็นธาตุแท้ว่าไม่ได้เคารพหลักการประชาธิปไตยตามภาพที่สร้างมาตลอด แต่พร้อมทำเพียงเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองของนายใหญ่ผู้นำตัวจริงโดยไม่คำนึงถึงอนาคตและความหายนะใดๆ ที่จะเกิดขึ้นกับชาติบ้านเมือง เพียงเพื่อหาโอกาสพลิกฟื้นสถานการณ์ฟอกผิดคดีทุจริตให้กับทักษิณ และทวงทรัพย์สินที่ถูกฟ้องยึด มูลค่า 76,000 ล้านบาท คืน และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือปูทางให้ทักษิณกลับมาใหญ่อีกครั้ง

ที่ผ่านมาทักษิณ ชินวัตร สามารถรวบอำนาจทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และบริหารเข้ามาด้วยกันก็เพราะรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 แทรกแซงองค์กรอิสระได้ก็เพราะรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 อาจกล่าวได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับโปรดเลยก็ว่าได้ แต่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 จะเป็นไปในทางตรงกันข้ามแทบทั้งสิ้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดใจใดเลยที่ “ตัวแทน” ของเขาคนแล้วคนเล่าที่พยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ด้วยข้ออ้างต่างๆนาๆ การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจึงเป็นเงื่อนไขที่สำคัญในการกลับมาสู่อำนาจอีกครั้งของ ทักษิณ ชินวัตร และระบอบทักษิณ ผู้ที่อาสาเป็น พระยาจักรี ผู้เปิดประตูเมืองให้พม่าคือ เหวง โตจิราการ ที่เสนอให้ “ล้มล้าง” รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 , ฝันร้ายที่ผ่านพ้นกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง (บทความของการคาดคะเนอย่างมีเหตุผล) 8 ธันวาคม 2551 http://202.57.155.203/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000144705

08 ธันวาคม 2551

ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยจะทำไม่ได้...นอกจาก "พิทักษ์สันติราษฎร์"

“จงรัก” ชี้เอาผิดแกนนำพันธมิตรฯ ลักทรัพย์ในทำเนียบรัฐบาลเป็นเรื่องยาก ทรัพย์สินที่สูญหาย มีตั้งแต่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ทีวี เครื่องคอมพิวเตอร์ รวมถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของหน่วยงานในทำเนียบรัฐบาลแต่หากพิสูจน์ได้ว่ารู้เห็นเป็นใจก็จะมีความผิด พร้อมเตรียมส่งนักประดาน้ำลงงมหาอาวุธสงครามที่พันธมิตรฯ อาจนำไปซุกซ่อนไว้ในคลองผดุงกรุงเกษมด้วย เล่นให้ประดาน้ำลงงมในคลองก็คงจะรายงานพบรถถัง M48-A5 สภาพพร้อมรบกระมัง

เรื่องสร้างหลักฐานเท็จตำรวจไทยถนัดสร้างผลงานเถื่อนอยู่แล้วยัดยาบ้ามันยังทำเลย กล่าวหา สร้างหลักฐาน สอบสวนแล้วส่งอัยการสั่งฟ้อง หรือส่งสำนวนคดีขออำนาจศาลเพื่อ ออกหมายจับ แล้วคงน่าจะเป็นขั้นตอนวางบิล...เก็บเงินค่าดำเนินการจากนายจ้างต่อไป เราเคยใช้อาวุธสงครามไปเข่นฆ่าใครหรือจึงต้องขวนขวายหาหลักฐาน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนฝ่ายพันธมิตรบาดเจ็บและล้มตายไปหลายคนก็เป็นอาวุธที่ยิ่งมาจากภายนอกทั้งสิ้น ทั้งหมดทั้งปวงนั้นแค่ต้องการเล่นงานพันธมิตรแค่นั้นหรือ แล้วไอ้พวกที่เข่นฆ่าประชาชนทำไมจึงไม่ไปค้นที่บ้านมัน ที่ทำงานของมัน อาวุธที่ใช้ในราชการทั้งสิ้น เป็นอาวุธจากส่วนราชการใด ใครเบิกไปใช้ น่าจะมีหลักฐานให้สืบสวนได้ ถ้าหากคิดที่จะทำไม่ใช่หรือ

วันนี้ (8 ธ.ค.) พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ “นายพลหน้าขาว” หน้าแหก พานักประดาน้ำลงงมหาอาวุธสงครามในคลองผดุงกรุงเกษม และรอบทำเนียบฯ ไม่พบอาวุธร้ายแรง หรืออาวุธสงครามตามที่คาดหวังไว้ แต่ยังปากดีสั่งพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดแกนนำพันธมิตรฯ ฐานก่อการร้าย และหาหลักฐานบริษัทที่สนับสนุนพันธมิตรฯ ยึดสนามบินส่งฟ้อง ปปง.ยึดทรัพย์ พอตกบ่าย “เสธ.แดง” ขนชายฉกรรจ์ 7 คน สวมชุดลายพรางทหาร เข้าไปชี้พื้นสนามหญ้าหน้าตึกไทย ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นจุดตกของระเบิดเอ็ม 79 ที่ยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ จนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก พร้อมถ่ายรูป ยิ้มอย่างมีความสุข!

วันนี้( 8 ธ.ค.)เรือนร่างอันไร้วิญญาณของ “กมลวรรณ หมื่นหนู” หรือ “น้องโบ สีน้ำเงิน” ได้ถูกนำขึ้นสู่เชิงตะกอน ณ เมรุวัดทะเลน้อย ต.ทะเลน้อย อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เธอจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพาณิชย์พระนคร เธอทำงานพนักงานบัญชีของบริษัทได้ส่งเงินช่วยเหลือเจือจุนพ่อแม่พี่น้องเดือนละ 5,000 บาททุกเดือน เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่โบได้บริจาคอวัยวะเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยรายอื่นๆ ไว้หลายชีวิต ซึ่งทีมแพทย์ได้ผ่าตัดดวงตา หัวใจ ตับ และไตทั้ง 2 ข้างมอบผ่านสภากาชาดไทยไปช่วยเหลือผู้อื่นแล้วถือเป็นการสร้างกุศลและทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ตราบจนลมหายใจในวาระสุดท้าย

ขณะที่วันพรุ่งนี้ (9 ธ.ค.) จะตามติดมาด้วยการฌาปนกิจร่างไร้วิญญาณของ “รณชัย ไชยศรี” หรือที่คนในครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหายเรียกขานกันว่า “ไข่ดำ” แต่เพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกันเรียกว่า “ชัย” ณ เมรุวัดคูหา ต.คูหา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ไข่ดำผู้พลีชีพเพื่อชาติจากการถูกลอบยิงด้วยระเบิดเอ็ม 79 ดับคาที่ระหว่างทำหน้าที่การ์ดอาสาให้แก่พี่น้องพันธมิตรฯที่สนามบินดอนเมืองในคืนวันที่ 2 ธันวาคม ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำพิพากษาให้ยุบ 3 พรรคการเมืองทาสระบอบทักษิณเพียงไม่กี่ชั่วโมง จบการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลนครศรีธรรมราช ปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่ และกำลังศึกษาปริญญาเอกต่อที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน แม้จะเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยพูดค่อยจา ชอบอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่ในด้านการต่อสู้กับระบอบทักษิณแล้วชัยของเพื่อนๆ ถือว่าอยู่ในแนวหน้า แม่ของนายรณชัยเคยบอกชัยว่าอย่าไปเลย ชัยบอกว่าเขาสงสารในหลวง แม่ได้บอกไปว่าคนคนเดียวช่วยอะไรไม่ได้หรอก เพราะเราไปมือเปล่า แต่พวกรัฐบาลมันมีปืน เราจะไปสู้อะไรเขาได้ แต่ชัยเขาก็บอกว่าถ้าไม่ตายตอนนี้ ตอนหลังก็ต้องตายและถ้าได้ตายเพื่อชาติ เพื่อในหลวงเขาก็ยอม พ่อแม่จะได้ภูมิใจด้วย





หนึ่งภาพ แทน คำ บรรยาย นับ หมื่น นับ พัน


06 ธันวาคม 2551

หนึ่งดับ หกเกิด

สุวรรณภูมิมันก็แค่สิ่งปลูกสร้างที่เป็นอภิมหาคอร์รัปชั่น ทำเนียบรัฐบาลก็แค่สิ่งปลูกสร้างที่นักการเมืองเลว นักโกงเมือง ที่โกงการเลือกตั้งเข้าไปทำงาน รัฐสภา" ก็แค่สิ่งปลูกสร้างที่ที่อันธพาลสวมสูทรจากเงินภาษีประชาชน ไม่มีความรู้ความสามารถ คนที่เป็นกากเดนที่สังคม ไม่ยอมรับ ไม่มีการงานที่ดี ขี้เกียจ สันหลังยาวไม่มีงานมีการทำ ทำตัวเกกมะเรกเกเร ประจำซอย ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน จากนั้นก็เข้าไปเล่นการเมือง เป็นนักการเมืองหุ่นเชิดในสภา

เราต้องทนต่อการดูถูกเยียดหยามจากคนที่ไม่เข้าใจ จากคนที่ไม่ชอบเรา เื่พื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์ มิให้ใครจาบจ้วง ล่วงละเมิด เพื่อให้ได้ประเทศไทยที่ดีกว่านี้ เพื่อให้ลูกให้หลานของเราจะได้ไม่ต้องลำบากในการออกมาต่อสู้แบบนี้อีก เพื่อเปิดโปง "สัตว์นรก ในคราบคน" ให้สังคมได้รับรู้

น้องโบว์ อังคนา พี่จ๊าบ พี่เจนกิจ น้องยุทธพงษ์ คุณลุงเศรษฐา น้องรณชัย และน้องโบว์ กมลวรรณ เป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับความรู้ มีความเข้าว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมนี้ เป็นมาอย่างไร เขาลุกขึ้นสู้ต่อ "คนโกง" ไม่ยอมก้มหัวให้ "คนเลว" สู้ต่อทรราชเผด็จการรัฐสภา...ด้วยสองมือเปล่า เพื่อพิทักษ์สถาบันสูงสุด อันเป็นที่รักยิ่ง เป็นทุกสิ่ง ทุกอย่างที่พวกคนเลว พวกขายชาติ เกลียด

เช้าวันที่ 30 พี่ปองก็เล่าเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น M79 ตกห่างจากเวทีปราศัย ออกไปประมาณ 20 เมตร มันตกลงที่น้องโบว์กับน้องสาวนอนฟังปราศัยอยู่ ทั้งคู่นอนคุย นอนเล่นกันอย่างมีความสุข น้องโบว์โดนเข้าที่ด้านหลังของศรีษะ ส่วนน้องสาวโดนตามเนื้อตัว ไม่โดนจุดสำคัญ พี่ปองถามกับพวกเราว่า "โบว์อีกแล้วเหรอ" "อายุ 27 เท่ากัน" และ "สวยเหมือนกัน" "หน้าตาจิ้มลิ้ม ปากนิด จมูกหน่อย สวยแบบคนใต้" วันรุ่งขึ้นพี่ปองบอกกับพวกเราว่า น้องโบว์จะไปอยู่กับชีวิตใหม่อีก 6 ชีวิต น้องโบว์จะให้ชีวิตกับคน 6 คน "หนึ่งดับ หกเกิด"

ตา 2 ข้าง จะไปอยู่กับ คน 2 คน
ไต 2 ข้าง จะไปอยู่กับ คน 2 คน
ตับ จะไปอยู่กับ อีกคน
หัวใจ จะไปอยู่กับอีกคน

น้องโบว์ กมลวรรณ ได้ทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดจนวาระสุดท้ายของชีวิต จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต พี่ปองเล่าว่า พ่่อน้องโบว์ขึ้นมาจากพัทลุง ก่อนหน้าที่พ่อน้องโบว์จะมาถึง ชีพจรเต้นเบามาก คุณหมอได้วางแผนการผ่าตัดอวัยวะไว้ตอนเช้า และน้องโบว์ก็ "รอพ่อ" อยู่ แม่น้องโบว์ก็เฝ้าน้องโบว์อยู่ข้างๆไม่ห่าง พี่ปองเล่าทั้งน้ำตา และนำ้เสียงที่สะอึกสะอื้น ทันใดที่พ่อน้องโบว์ พี่ปองเล่าว่า "น้องโบว์เกิดอาการร่างกายกระตุกขึ้นมาอย่างแรง ปานจะฟ้องพ่อ"
"พ่อช่วยหนูด้วย ไอ้คนใจสัตว์นรกมันฆ่าหนู มันทำร้ายหนู มันรังแกหนู หนูไม่ได้ไปทำอะไรมันเลยพ่อ พ่อช่วยหนูด้วย หนูเจ็บ พ่อหนูเจ็บ"
จนคุณหมอต้องวิ่งเข้ามาดู กลัวน้องโบว์ไปเสียก่อน เพราะตอนนี้สมองน้องโบว์ "ตาย" แล้ว คุณหมอกลัวน้องโบว์อยู่ไม่ถึงตอนเช้าที่จะทำการผ่าตัดย้ายอวัยวะ



งานศพนางสาวกมลวรรณ หมื่นหนู

ศพ “น้องโบ” กมลวรรณ หมื่นหนู วีรสตรีผู้เสียชีวิตจากเหตุลอบยิงระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้รักชาติเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยรถตู้สภากาชาดไทย ถึงวัดทะเลน้อย จ.พัทลุง บ้านเกิด เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น.วานนี้ (5 ธ.ค.) ท่ามกลางบรรดาญาติๆ และประชาชนที่ทราบข่าวมารอรับ บรรยากาศโดยทั่วไปนั้นมีญาติและประชาชนซึ่งเป็นพันธมิตรฯได้เดินทางมารอรับ และร่วมงานศพ ซึ่งคาดว่าตลอดระยะเวลาที่มีการบำเพ็ญกุศลประชาชนจะหลั่งไหลมาไว้อาลัยแด่วีรสตรีกู้ชาติคนนี้หลายร้อยคน ศพของ น้องโบว์-กมลวรรณ มีกำหนดฌาปนกิจวันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม




05 ธันวาคม 2551

สื่อสามานย์ชน (สื่อดีก็มีบ้าง ... ขออภัย)



ในการเข้ายึดครองสถานที่และโดยเฉพาะสนามบินด้วยมีผู้คนจำนวนมากต้องเดือดร้อนดูจะมีความเสี่ยงสูงที่กลุ่มคนที่อยากเห็นเรื่องจบก็โทษว่าแต่เราเพราะเขาเดือดร้อน เราพันธมิตรจะคิดว่าถ้ารัฐบาลชอบธรรมพอเมื่อตอบคำถามให้ตนเองชอบธรรมไม่ได้ ในท้ายที่สุดแล้ว ความไม่เป็นธรรมและความปกปิด จะทำให้เกิดความไม่ชอบธรรมที่มากขึ้น ถ้ารัฐบาลมีสำนึกลาออกไปเรื่องก็จะยุติเช่นกัน ในที่สุด รัฐบาลก็ยอมปล่อยให้บ้านเมืองเสียหายและแม้บางส่วนที่อาจจะดำเนินไปได้ เช่น คาร์โก รัฐบาลก็ไม่ทำเลย ปล่อยให้ความเสียหายมากขึ้นและให้สังคมกดดันเรามากขึ้น ในขณะที่เราเรียกร้องความถูกต้องและปฏิเสธการตั้งรัฐบาลโนมินีเพื่อปกป้องความผิดกลับถูกสื่อให้เป็นพวกไม่ยอมรับประชาธิปไตย เราแสดงความเห็นอย่างสงบในที่ตั้ง เราต้องยืนอยู่ข้างถูก ไม่เข้าข้างผิด ยืนอยู่ข้างดี ไม่เข้าข้างชั่ว ถ้ากลัว ถ้ามีความรู้สึกว่า มันจะถูกหรือไม่ แสดงว่าคุณขาดความเชื่อมั่นและความศรัทธา เมื่อคุณขาด คุณอย่าอยู่ไม่ว่าจะเป็นพิธีกร ผู้ประกาศข่าว ใครก็ตาม ถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้ ไปเลย เราต้องการให้คนที่อยู่ที่นี่ เข้าใจการต่อสู้ และเมื่อเข้าใจการต่อสู้แล้วแล้วสามารถจะเอาปัญญาของการต่อสู้นั้น เอาไปเผยแพร่ เราแบ่งข้างชัด แม้รัฐบาลมีชนักจึงไม่อยากใช้มาตรการเด็ดขาดเพราะอำนาจตนก็จะจบลงด้วยแต่ทำให้หลายครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นจึงอาจมีส่วนที่ รัฐบาลก็ถือโอกาสขยายความเสียหาย สื่อของรัฐและสื่อที่ถูกซื้อไปโดยระบอบทักษิณถ่ายทอดอย่างไม่เป็นธรรมให้รู้สึกว่าพันธมิตรก้าวร้าว ใช้ความรุนแรงทำร้ายผู้อื่น ทั้งๆที่ส่วนใหญ่ก็แสดงความเห็นอย่างสงบในที่ตั้งจึงเป็นการสร้างความกดดันเราอย่างต่อเนื่อง

เช่นเมื่อครั้งการเข้าทำเนียบช่วงกันยายนรัฐบาลก็ถือโอกาสประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและโทษพันธมิตรฝ่ายเดียว ทำให้ต่างชาติก็ไม่อยากมาทั้งที่ก็ดูไม่ฉุกเฉินอะไรยกเลิกไปก็ไม่มีอะไรมีการใช้สื่อข้างเดียว ใส่ความว่ากบฏ ตำรวจจับคนที่อ้างว่าเป็นการ์ดพันธมิตรได้และให้ข่าวว่าพกอาวุธ พกระเบิดติดตัว เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ แต่ตำรวจกลับไม่สามารถสกัด หรือจับคนที่ยิงระเบิด M79 เข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งที่พื้นที่ก็นิ่งและเป็นบริเวณเป้าหมายชัดเจน ทั้งรัฐบาลรวมทั้งสื่อของรัฐกลับไม่มองว่าเรื่องที่มีพี่น้องคนไทยใจบริสุทธิ์ต้องตายไปวันละคนๆเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ การยิงระเบิด M79 เข้าใส่ผู้ที่ไม่ได้ต่อสู้ลงใจกลางกรุงเทพฯ ใกล้กับกองทัพบกจนพี่น้องร่วมชาติต้องเสียชีวิตหลายคนต้องถือว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติของสังคมเลย ตำรวจกลับนิ่งเฉยไม่ทำอะไรสักอย่างทั้งที่เป็นอาวุธสงครามที่ร้ายแรง คนที่ได้ร่ำได้เรียนการรักษาดินแดนมาสะกิดบอกว่าเรานี่โชคดีนะ เขาเรียน รักษาดินแดนมา 5 ปีไม่เคยเห็นลูกหัวกระสุนเอ็ม 79 เลย แต่เวทีพันธมิตรฯมาร้ายกว่าเห็นมาไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูกแล้ว เรื่อง ฝีมือยิง M 79 เราเริ่มๆได้ข้อมูลแล้ว กองบัญชาการตำรวจนครบาลรู้เห็นเป็นใจอยู่เบื้องหลังด้วย เป็นฝีมือตำรวจ ยืนยันได้ ไม่มีใครเคยออกมาพูดแค่มีตำรวจไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ และเก๊กท่าต่อหน้าทีวีแล้วหลังจากนั้นก็เงียบหายไปเลย ไม่เคยพูด ไม่เคยอธิบายอะไรทั้งสิ้น รวมๆตั้งแต่7 ตุลาคม บาดเจ็บหลายร้อยคน แต่รัฐบาลและสื่อมวลชน บอกกับสังคมว่าเหมือนไม่เป็นปัญหาของฉันกระตุ้นความเบื่อจนผู้คนก็คล้อยตาม

น้องโบว์ อังคณา ท่านแรกที่เสียชีวิต ที่คนทั่วๆไปได้เห็นว่าสื่อกับทีวีไปทำข่าวงานศพไปเป็นเรื่องเป็นราวและมีข่าวออกไปในสาธารณชนบ้าง แต่ 7 ท่านหลังแทบจะไม่เห็นเลย แต่กลับได้ยินอยู่ตลอดเวลาว่าเด็กตีกันตายแทงกันตายบนรถเมล์ พ่อแม่เป็นยังไงสูญเสียเท่าไหร่ คุยกันจังเลยเรื่องนี้ เพราะท่านเหล่านี้เสียชีวิตในเวทีหรือว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ ใช่ไหม ท่านถึงไม่ให้ไม่คือว่าคุ้มค่าต่อพื้นที่สื่อของท่านแม้กระทั่งการที่จะเอ่ยนามของท่านเหล่านี้ที่เขาเสียชีวิตไปโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่ไปชุมนุมมือเปล่าๆ คุณค่าของสิ่งเหล่านี้ สื่อบ้านเรามองไม่เห็น แต่กลับไปให้พื้นที่ข่าวเรื่องอื่นๆ ที่เขาตีความแล้วบอกว่า มันปลอดภัยดี
บรู๊คแต่งงานกับกบ ฟลุ๊คอะไรนะเล็กใหญ่อะไรยังไงเป็นเรื่องเป็นราว คนคุยกันได้

มีการ์ดของเราและพี่น้องประชาชนเคยทำบันทึกถึงแกนนำว่าทนไม่ได้แล้ว ขอรับประกาศบริจาคแทนที่จะขอบริจาคพัดลม ก็ขอบริจาคเป็นมิสซายล์ อาวุธ เราก็ต้องไปทำความเข้าใจเป็นวันเลย เพราะพัฒนาการของอหิงสา ถ้าไม่อดกลั้นจริงๆ และไม่ต้องการพิสูจน์จริงๆ ในโลกใบนี้มันพัฒนาไปหน่วยติดอาวุธทั้งสิ้นและหน่วยติดอาวุธมันจะร้ายแรงมาก หากพัฒนาไปเป็นกองกำลังติดอาวุธก็จะฝึกง่ายเพราะมันมีอุดมการณ์ เพราะว่ามันเข้มแข็งกว่า แต่เราบอกว่าเส้นทางนั้นมันไม่ใช่สังคมไทย สังคมไทยจะต้องพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า ใน 190 กว่าวัน เราได้พิสูจน์แล้วว่าอหิงสาได้ปักหลักสร้างฐานในสังคมไทยแล้ว

การซึ่งรัฐบาลเข้ามาแก้กฎหมาย เพื่อให้รัฐบาลและพวกพ้องพ้นผิด คุณเห็นด้วยไหม ผมเชื่อว่าพวกที่บอกว่า เห็นด้วยไม่ควรแก้ไขแล้วถามต่อถ้าอย่างนั้นแล้วการที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาชุมนุมกัน 193 วัน เสียชีวิตไป 8 คน บาดเจ็บ 700 กว่าคน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแกักฎหมายเพื่อให้คนพ้นผิด ก็ถ้าคุณเห็นด้วยข้อที่ 1 คุณก็ต้องเห็นด้วยข้อที่ 2 ถามต่อว่าข้อที่ 3 เท่าที่คุณเห็นมามีใครออกมาสู้เรื่องนี้ไหม แล้วคุณได้สู้หรือเปล่า คุณก็ไม่ได้สู้ เราและอย่างไร และประเทศนี้เป็นของพันธมิตรฯคนเดียวหรือ ไม่ใช่ ก็เป็นของคุณด้วยเป็นเพียงแต่คุณเป็นพวกเอาเท้าราน้ำ พวกไร้สาระ พวกหน่อมแน้ม

ความเสียหายในทำเนียบรัฐบาลที่ปรากฏเป็นข่าวไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์บางส่วนหายไป โต๊ะถูกงัดแงะ หรือเบาะที่ถูกกรีดนั้นเป็นความเสียหายในตึกบัญชาการ 1 และ 2 ถ้าสมมติว่าคุณจะมีระเบิดปิงปอง หรือระเบิดทำเองอยู่หลุดไปสักลูกหนึ่งอาจจะเป็นไปได้ แล้วขอโทษถ้าเป็นของเรา ถ้าภาษาหยาบๆ กูจะทิ้งไว้ให้มึงทำไม ส่วนตึกสำคัญที่มีข้าวของทรัพย์สินราชการสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นตึกไทยคู่ฟ้า ห้องทำงานนายกฯ ที่ประชุม ครม.ห้องรับแขกบ้านแขกเมือง ตึกสันติไมตรี และตึกนารีสโมสร ทุกอย่างอยู่ครบ ผอ.กองสถานที่ทำเนียบ และคณะกรรมการผู้ทรงคูณวุฒิ 8 องค์กร ไม่ว่าจะเป็นจาก คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ คณะกรรมาธิการสิทธิฯ ส.ว.พีเน็ต สตง. สถาบันวิจัยจุฬาฯ LDI วิศวกรรมสถานที่เข้าไปตรวจสอบในวันแรกก็ยืนยันตรงกันว่าไม่มีความเสียหายใดๆ ในระหว่างตรวจสอบเราได้บันทึกภาพวีดีโอและถ่ายภาพนิ่งไว้แล้วไม่วิตกแต่อย่างใดและพร้อมนำเป็นพยานในชั้นศาล ในตึกอื่นๆ และเข้าของเจ้าหน้าที่ทำเนียบบางส่วนที่ถูกขโมยไปต้องว่ากันตามข้อเท็จจริง สำหรับเบาะที่ถูกกรีดและเข้าของที่หายไปบางส่วนเชื่อว่าเป็นฝีมือของมิจฉาชีพและพวกที่แฝงตัวเข้ามาสร้างความเสียหายและโยนผิดให้กับเราเพราะในระหว่างชุมนุมที่ทำเนียบการ์ดพันธมิตรฯ จับกุมแก๊งมิจฉาชีพที่เข้ามาขโมยคอมพิวเตอร์ รถมอเตอร์ไซค์ และข้าวของอื่นๆ ในทำเนียบได้กว่า 10 คน และส่งตัวให้ตำรวจทุกครั้งรวมทั้งเก็บของกลางไว้หลายส่วน ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทำเนียบหลายส่วนเข้ามาเอาเอกสารและขึ้นไปตรวจตราเข้าของทุกตึก นายตำรวจชื่อประชาสบช่องออกแถลงข่าวว่าสามารถยึดอาวุธของพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นกระบอง ท่อนเหล็ก มีด และวัตถุที่ถูกดัดแปลงคล้ายปืน จับของกลางได้เยอะแยะแต่คนร้ายอยู่ไหนไม่รู้ ไอ้ของทียึดมาก็จัดฉากชัวร์ กลับระบุว่าจะเร่งออกหมายจับ และหาคนร้ายมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด

ที่สนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมินั้น สนามบินทั้ง 2 แห่งแทบไม่มีความเสียหายถ้าจะมีก็เกิดจากระเบิดที่ถูกยิงเข้ามาจากฝ่ายตรงกันข้ามและในช่วงเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานฯ ที่เข้ามาเจรจากับพันธมิตรฯเพื่อเปิดสนามบินก็รับทราบ และยืนยันว่า
จะไม่มีการดำเนินคดี ความเสียหายจากการปิดสนามบินในครั้งนี้เราเองก็ไม่เคยปฏิเสธว่า ไม่มีความเสียหาย เราตกเป็นจำเลยกันแล้ว 20,000 กว่าล้านใน เราก็อยากจะรู้ว่าชีวิตคนๆ หนึ่งกับสิ่งที่สูญเสียเขาวัดกันด้วยอะไร หลายคนตายด้วยน้ำมือของตำรวจกับรัฐบาลฆาตกรขายชาติ 2 คนนี้ ทรัพย์สินเงินทองเท่าไหร่ก็ไม่คุ้มสำหรับชีวิตคนเหล่านี้ แล้วชีวิตพวกเขาคิดว่ามีค่ามากกว่า มากกว่าชีวิตของคนที่คอร์รัปชั่นไม่ตรงไปตรงมาเป็นร้อยๆ เท่า สังคมไทยไปให้ราคาเก้าอี้ และเบาะขาดมากกว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันเป็นสังคมบัดซบนะครับ เป็นสังคมที่ไม่ได้ประเมินราคาของมนุษย์ และสถาบันหลักหรือความเป็นชาตินะครับ สื่อหลายๆสำนักให้ความสนใจในขาเก้าอี้ซึ่งเป็นไม้อัดไปพาดหน้า 1 แล้วบอกว่านี่เป็นมูลค่าสูงสุด

ระบอบทักษิณโกงชาติบ้านเมืองไป 23 หมื่นล้าน เฉพาะ คตส.ตรวจสอบพบไม่รวมที่สุวรรณภูมิ 14 หมื่นล้านและไม่รวมตัวเลขอีก 14 หมื่นล้านที่อังกฤษยังถูกอายัดแล้วก็ไม่สามารถแจงที่มาได้ สื่อไม่พูดถึงคนที่ปล้นชาติไปมูลค่าเป็นแสนๆ ล้านมาพูดเรื่องเราไปทำเก้าอี้ ขาเก้าอี้เสียหาย บอกถูกกรีด ส้วมสกปรก โถน้ำแตก โถส้วมแตก สังคมแบบนี้จึงจะเป็นสังคมที่ประเมินคุณค่า แยกแยะไม่ออก และเป็น ภาษาทั่วไปเขาเรียกใฝ่ต่ำ เป็นสังคมใฝ่ต่ำ อย่างเรื่องซีทีเอ็กซ์ก็ดี เรื่องความเสียหายอื่นใดก็ดีที่มีอยู่ในประเทศไทย จากการกระทำของรัฐบาลทักษิณ ถามว่าวันนี้รัฐบาลได้ดำเนินการฟ้องร้องเอาคืนเขาหรือยัง การบินไทยก็เถอะตามทวงสิ่งที่บริษัทการบินไทยได้รับความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลทักษิณหรือยัง ซื้อเครื่องบินเพื่อที่รับค่าคอมมิสชันแล้วอ้างว่าจะเปิดเส้นทางใหม่กำไรดีบินไปนิวยอร์กและก็เสียหายแบบย่อยยับ บริษัท ทอท.ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (มหาชน) ยังไม่เคยฟ้อง 13 คดี ที่ระบอบทักษิณไปโกงสนามบินสุวรรณภูมิ 14 แสนล้าน มันไม่ฟ้อง มันมองไม่เห็นตามันมืดบอด สติปัญญามันทึบ กรณีสุวรรณภูมิ 13 คดีที่ สนช.สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยคณะกรรมาธิการที่มี พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป เป็นเลขานุการ และก็มี พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน เป็นประธาน และก็มีคนหาญกล้า พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ และที่ไม่ได้เอ่ยนามทั้งหมดประมาณ 40 กว่าท่าน เขาไปศึกษาดูแล้วโกงชาติบ้านเมืองไป 13 โครงการ ถามว่า ทอท.พวกท่านทำไมไม่ฟ้อง ไม่ฟ้องที่ทำให้ชาติเลยหายทำไมไม่ฟ้อง และการบินไทยทำไมไม่ฟ้องไอ้ที่รันเวย์ร้าวหรือรันเวย์ทรุดท่านมองไม่เห็นหรือ เหมือนมองไม่ชัด

ส่วนหนึ่งที่เขาเป็นการ์ด โดยเฉพาะคนที่เป็นการ์ด แล้วเขาอยู่ในพื้นที่ เขาโดนตามล่า เขาโดนตำรวจกับอันธพาลยกตัวอย่างเช่น แถวหลัก 2 กทม.นี้นะ อันธพาลกับตำรวจไปถามหาลูกชายที่ไปเป็นการ์ดพันธมิตรฯ กลับมาหรือยัง คนไทยทำร้ายกัน กระชากกันลงมาจากรถ ข่มเหงกัน (ที่วิภาวดีฯซอย 3 ในวันเริ่มชุมนุมที่ดอนเมือง) และตำรวจเพิกเฉย หาทางจับภาพเพื่อจับผิด แล้วใส่ร้าย สร้างความชอบธรรมให้รัฐ บ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟได้และคนไทยก็จะขาดความสงบสุข การท่องเที่ยวก็จะยิ่งเลวร้ายกันไปใหญ่สังคมจึงควรตื่นตัวเรียกร้องให้รัฐบาลมีการใช้สื่อที่เป็นธรรมต่อประชาชนผู้เห็นต่างด้วย

เราไม่ได้หมายตำหนิต่อว่าทุกสื่อ สื่อที่ดีก็มีที่พยายามสื่อออกไปก็มีแต่ว่าภาพรวมถ้าสมมติว่า 80 เปอร์เซ็นต์มันเป็นแบบนี้ ตรงไปตรงไม่ได้ตำหนิไม่ได้มีเหตุข้องหมองใจกับใครเลย บทเรียนที่ดีนี้ นำไปสู่การให้สื่อมวลชนทุกๆฝ่ายได้มีโอกาสสื่อข้อมูลด้วย “ความจริง” “ครบด้าน” อย่าง “โปร่งใส” ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอันเป็นพื้นฐานสิทธิมนุษยชนที่สำคัญจริงๆ

04 ธันวาคม 2551

5 ธันวา วันประชาปิติ





ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเป็นมิ่งขวัญแก่ปวงชนชาวไทยไปอีกนานแสนนาน ด้วยพระองค์ทรงเป็น “พ่อของแผ่นดิน” เราพี่น้องคนไทย จะคิดต่างกัน จะชอบไม่ชอบต่างกัน เราก็ยังภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย และมี “พ่อแห่งแผ่นดิน” ผู้ทรงรักและห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ดังลูกๆของพระองค์จริงๆ พ่อของแผ่นดินได้ให้คำสอนดีๆสำหรับเรามากมาย คำสอนแต่ไหนแต่ไร ที่ยังก้องในสมองคนไทยเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยจริงๆ

เศรษฐกิจพอเพียง พอประมาณ สมเหตุสมผลและมีภูมิคุ้มกันความเสี่ยงอย่างความรอบคอบ รอบรู้ และควบคู่ไปกับหลักคุณธรรม

รู้รักสามัคคี ทำให้เมืองไทยยังเป็น “สยามเมืองยิ้ม” เมืองแห่งความรักและน้ำใจ เป็นที่เลื่องลือทั่วโลกไม่เป็นเมืองเถื่อนไร้ความสงบ

ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้คนดีมีกำลังใจไม่ท้อใจ คนอยากจะไม่ซื่อ อยากจะทุจริตก็มีโอกาสกลับตัวกลับใจ
============================================================================






03 ธันวาคม 2551

สาธารณรัฐล้านนาประชาธิปไตย



ผลกรรมที่ชั่วช้า ทำไป
ยังไม่ส่งผลใด แก่เจ้า
เหิมเกริมไป่กลัวภัย มาสู่ ตนนา
ตราบเมื่อบาปถึงเข้า จึ่งรู้ รสกรรม


ในขณะที่ คนไทยอยากเห็นเรื่องวุ่นวายใจชาติให้ยุติ แต่ตัวปัญหาคือคนโกงไม่ยอมให้ยุติจัดตั้งรัฐบาลโนมินี การใช้อำนาจบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมคนก็จะต้องต้องโทษ พรรคการเมืองก็เช่นกัน แต่คนที่โกงแล้วหากตั้งใจแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อแก้กติกาให้ตนพ้นผิดเราก็ทำใจให้ยอมรับได้ยากยิ่งถ้าคนไทยที่ได้รับพระคุณแผ่นดินมากมายมากกว่าที่คนไทยใดๆในประเทศเคยได้รับแต่กลับยอมเสียสละชาติสิ้นเพื่อตัวเอง ทำคนไทยให้เกิดความขัดแย้งแตกแยก คนไทยบางคนไม่รับรู้ไม่ยอมรับความจริง ก่อให้เกิดประชาธิปไตยแบบเผด็จการโดยคุมสื่อด้านเดียว โดยการต่อสู้นี้มีหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นหัวสี หรือหัวขาวดำ ต่างใช้วิธีท่องคาถา “กูเป็นกลาง กูเป็นกลาง กูเป็นกลาง” เป็นเกราะป้องกันเสียงวิพากษ์วิจารณ์ประพฤติตนเป็นไผ่ลู่ลมทำสื่อแบบใส่ร้าย บิดเบือน ฉาบฉวย และเอาตัวกูรอดอย่างเดียวเช่นนี้ ได้รับพิสูจน์จากการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนี้แล้วว่าผิดพลาด … ทั้งในฐานะสื่อสารมวลชน ในฐานะของความเป็นคนไทยและในด้านคุณธรรม จริยธรรม และสำนึกของความเป็นมนุษย์ การเป็นสื่อของประชาชนนั้นอบอุ่นและน่าภาคภูมิใจกว่า การเป็นสื่อที่เลี้ยงชีพด้วยเม็ดเงินที่มาจากความละโมบ โลภมาก หรือนักการเมืองเป็นไหนๆ

ในระหว่างนั้นถ้าเราดูแนวโน้มของกลุ่มคนรักทักษิณ ทั้ง นปก. นปช.รวมทั้งพวกเสื้อแดงทั้งหลายจะเห็นได้ว่าขบวนการเหล่านี้มีความเชื่อมโยงค่อนข้างจะชัดเจนต่อการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และพวกแกนนำเกือบจะทุกคนก็มีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพติดตัวกันด้วย บางคนถึงขั้นต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ นักการเมืองเสื้อแดงในบริเวณภาคเหนือและจากภาคอีสานได้มาหารือและประชุมประสานงานอย่างใกล้ชิดกันมาได้พักหนึ่งแล้วเหตุที่เขามาเริ่มเป็นข่าวในเวลานี้ และเรียกประชุมเป็นการด่วนก็เพราะว่าศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะพิพากษาการให้ยุบพรรคคดีซื้อเสียงในวันที่ 2 ธันวาคมนี้แล้วดังนั้นพวกเขาก็เลยต้องหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อนอย่างเหิมเกริมถึงขั้นเตรียมตั้งประเทศรองรับรัฐบาลพลัดถิ่นของนักโทษชายทักษิณทีเดียวเชียวแหละ ประเทศที่จะตั้งกันใหม่นี้จะอยู่บนแผ่นดินไทยนี้แหละ แต่จะแยกออกไปตั้งเป็นประเทศใหม่ ใช้ชื่อว่า “สาธารณรัฐล้านนาประชาธิปไตย” ที่นอกจากจะไม่เอาสถาบันแล้ว คนพวกนี้ยังไม่เอาระบอบเก่าและการเมืองใหม่และไม่เอาวิธีคิดที่จะรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ในแผ่นดินไทยไว้ด้วย สาธารณรัฐใหม่บนดินแดนประเทศไทยนี้ จะได้ตัวประธานาธิบดีคนแรกคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้เราพอจะเข้าใจแล้วว่า ขบวนการนี้ทำกันเป็นขั้นตอนจริงๆเริ่มจากการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตัดสายสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างสถาบันที่ผูกติดกับคนไทยมาช้านานให้ขาดจากคนส่วนใหญ่ ปัจจัยสำคัญที่ขบวนการนี้ใช้คือเงินจากโครงการประชานิยมต่างๆ โดยในตอนแรกไม่มีใครรู้ว่าเจตนาเบื้องหลัง จัดตั้งขบวนการแกนนำเลือกกลุ่มคนที่มีวาทะคมคาย พูดจาโฆษณาชวนเชื่อเก่ง ระดมมวลชนด้วยการว่าจ้างทั้งในต่างจังหวัดและในเมืองให้มาชุมนุมปลุกใจแต่เสื้อแดงต้องเผชิญกับกลุ่มเสื้อเหลืองที่พวกเสื้อแดงจะไม่ลังเลเลยที่จะเจรจากับเสื้อเหลืองเพื่อเป็นแนวร่วมโดยมีทักษิณมาจัดการเคลียร์ปัญหาด้วยตนเองขอให้เหลืองอย่าขัดขวางเสื้อแดง ในการล้มสถาบันก็พอ แต่เป็นเพราะเหตุผลเดียวเท่านั้นคือเสื้อเหลืองทำเพื่อรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ไม่เคยยอมให้ใครมาทำลายอย่างเด็ดขาดเสียด้วยและเป็นหัวใจที่รัฐบาลหรือทหารไม่กล้าเผด็จศึกหรือใช้มาตรการรุนแรงเสียด้วย

แทบจะในทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาการให้ยุบพรรค เมื่อดูท่าทีการพูดการจาของบรรดานักการเมืองทั้ง 3 พรรคซึ่งดูเหมือนจะสะกดคำว่า "สำนึกผิด" ไม่เป็นแล้ว นักการเมืองเหล่านั้นก็แถลงออกมาทันทีว่ารัฐบาลใหม่จะมาจากพรรคการเมือง 6 พรรคขั้วเดิมไม่มีพลัดพราก ลูกปลาไหลน้ำตาท่วมหลังทำพิธีคลุมผ้าดำปิดป้ายพรรคถาวรและเติ้งประกาศสู้ต่อรอ 5 ปีหลังพ้นโทษยังพร้อมกลับมาเล่นการเมืองต่อและสมอ้างยอมรับชะตากรรมหากยุบพรรคเพื่อแลกกับพันธมิตรฯ สลายการชุมนุม เมื่อมาถึงในปี 2552 เราต้องเผชิญกับสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่กันไปทั้งโลกในระยะนี้ก็ไม่แน่ว่าชนบทจะยังเป็นทุนทางสังคมเป็นเบาะรองรับวิกฤตได้ดังเดิมหรือไม่ เพราะชนบทระยะหลายปีที่ผ่านมาก่อหนี้ท่วมหัวตามนโยบายรัฐหลายปีมานี้มุ่งสร้างเมืองให้ใหญ่ มุ่งผลักดันพี่น้องเข้าสู่วงจรของความไม่สมดุล ไม่พอเพียง เพราะมีความคิดว่าวงจรเศรษฐกิจจะใหญ่และเคลื่อนเร็วกว่าเดิมต้องกระตุ้นลงไปที่รากหญ้า อัดฉีดเงินภายใต้โครงการต่าง ๆ แค่ชื่อที่โผล่ขึ้นมาเตรียมเป็นนายกฯรักษาอำนาจในขั้วเน่าๆเดิมๆก็บ่งบอกคุณภาพนักการเมืองไทยแล้วว่าพวกเขาเป็นแค่นักแสวงหาอำนาจส่วนตนเท่านั้นหาได้เคยคำนึงถึงประเทศชาติส่วนรวมเลยทั้งๆที่เศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องเล็กเพราะประเทศชาติไม่ใช่ของล้อเล่น

จากบทสัมภาษณ์ของทักษิณเองที่ให้กับไซต์ arabianbusiness ในวันเดียวกันสร้างความสะท้านแผ่นดินไทยแต่กลับหลุดข่าวที่สะท้านใจว่าประเทศอังกฤษได้อายัดทรัพย์ไป 4 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 1.4 แสนล้านบาทตามอัตราแลกเปลี่ยน 35 บาท/ดอลลาร์ในปัจจุบัน!) เพื่อเพิ่มปัญหาให้กับทักษิณ สร้างให้เราได้สับสนกับ 7.3 หมื่นล้านบาทในเมืองไทยหรือไม่ ? ก็ไม่น่าจะใช่ หรือว่าทักษิณซ่อนทรัพย์สินในต่างประเทศ รอฟอกเงิน ถ้าเป็นเงินซ่อนจริง เอามาจากไหน ทำไมจึงมากขนาดนับแสนล้านบาท ? เพื่อปกปิดเรื่องนี้หรือไม่ จึงต้องกลับมาสร้างความวุ่นวายในชาติ คนๆหนึ่งได้รับพระคุณแผ่นดินมหาศาลกว่าใครๆในประวัติศาสตร์ทั้งพระคุณบนโต๊ะ และพระคุณแผ่นดินที่นำไปซุกซ่อน แต่เมื่อต้องจำนนต่อหลักฐานของการกระทำผิดกลับเลือกที่จะสร้างความปั่นป่วน บิดเบือน ยอมเสียสละความสงบสุขของแผ่นดินแม่เพียงเพื่อปกปิดความผิดของตนเอง

ในขณะที่คนธรรมดาทั่วๆไปมีความสุขมากขึ้นหลังพันธมิตรฯ ยุติชุมนุม - แต่ก็ไม่วายที่จะมีประชาชนบางส่วนห่วงการเมืองไม่เปลี่ยนขั้ว พวกเขามั่นใจว่าสถานการณ์ทางการเมืองต่อจากนี้ไปจะดีขึ้น รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจและสังคม คาดหวังกันมากว่านักการเมืองและรัฐบาลชุดใหม่ควรจะตั้งใจทำงาน และทำทุกอย่างเพื่อให้ชาติเกิดความสงบสุข นพ.ชูชัย ศุภวงศ์อดีตรองประธานคณะกรรมาธิการยกร่าง รธน.50 กล่าวแสดงความยินดีและขอบคุณแกนนำและเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ช่วยกันปกป้องคุ้มครอง รธน.50 ทำให้เจตนารมณ์ของประชาชน 14.7 ล้านเสียงที่ร่วมลงประชามติยังดำรงอยู่ และทำให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเครื่องมือในการปัดกวาดการเมืองไทยให้สะอาดมากขึ้น หากไม่มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ รธน.ฉบับนี้จะถูกล้มล้างแก้ไขไปแล้ว นักการเมืองที่โกงบ้านกินเมืองจะกำเริบเสิบสานมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อทำการปล้นทำลายเมืองแล้ว ก็สามารถแก้กฎหมายให้ตนและพวกพ้นผิดได้เป็นรัฐธรรมฉบับแรกที่ทำให้นายกรัฐมนตรี 2 คนในรอบปีพ้นจากตำแหน่งไปและอดีตนายกรัฐมนตรี 1 คนถูกศาลสั่งจำคุกจนต้องต้องหนีออกนอกประเทศ รวมทั้งทำให้นักการเมืองที่ใช้เงินสกปรกซื้อเสียงเข้าไปยึดอำนาจรัฐแล้วใช้อำนาจโดยมิชอบก็ต้องหลุดพ้นจากวงจรการเมืองไป อีกทั้งยังปกป้องไม่ให้เสียดินแดนบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้ขบวนการตุลาการภิวัฒน์ทำงานลำพัง ปราศจากการหนุนเสริมจากประชาภิวัฒน์ ก็ยากจะต้านทานอำนาจเผด็จการทุนนิยมสามานย์ได้

นอกจากนี้ยังถือได้ว่าเป็นเรื่องน่าแปลกที่ผู้ชุมนุมทั้งหมดของกลุ่มพันธมิตรฯ กลับไม่ได้เงินทอง หรือทรัพย์สินอะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านเลย ตรงกันข้าม ทุกคนมีแต่เสียเงิน เสียแรง เสียเวลา เสียน้ำตา เสียอวัยวะ เสียเลือดเนื้อ เสี่ยงชีวิต เสียค่ารถไปกลับบ้านไม่รู้กี่รอบ ท่ามกลางเสียงก่นด่าของสื่อและคนบางกลุ่มในบ้านเมืองที่โวยวายว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ทำประเทศชาติเสียหายหมดแล้ว กลุ่มพันธมิตรฯ ทำเศรษฐกิจฉิบหาย ฯลฯ แต่สิ่งที่พวกเราเสียไปนั้น คุ้มเกินคุ้มกับสิ่งที่ประเทศชาติได้กลับมา รัฐบาลทรราชได้ถูกโค่นให้ล้มครืนลงไปอีกครั้ง ความพิเศษของการชุมนุมพันธมิตรฯ ที่ถือเป็นที่สุดแห่งการชุมนุมที่มีการชุมนุมยาวนานที่สุด 192 วันที่เคยมีในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่เข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวกับสนามบินและพักหลักพักค้างอยู่ชุมนุมในนั้นโดยมีน้ำดื่มที่ได้จากการบริจาคมากที่สุดกองพะเนินเทินทึกอยู่ทั่วไปเรียกได้ว่าเป็นอนุสาวรีย์น้ำกันเลยทีเดียว เป็นการชุมนุมที่สั่งได้ เพราะไม่ว่าจะขาดเหลืออะไร แค่ประกาศบนเวที สิ่งของนั้นๆ ก็จะมาทันที มีผู้คนมาจากหลากหลายจังหวัดทั่วภูมิภาค ตั้งแต่ยะลายันเชียงราย มีหน่วยพยาบาลมากที่สุดเท่าที่เคยมีการจัดชุมนุมกันมา เป็นการชุมนุมที่อบอุ่นและมีน้ำใจไหลหลั่งอยู่ทั่วไป

02 ธันวาคม 2551

คนจนยิ่งจนมากขึ้น

สังคมไทยในระบบการเมืองเดิม แย่จนถึงที่สุด นักการเมืองที่เข้ามาปกครองประเทศ ล้วนแต่ไม่มีความรู้ แล้วยังเข้ามาโกงกินคอรัปชั่นอีก ประสบการณ์เกือบ 70 ปีเห็นแต่นักการเมืองที่เข้ามาทุจริตคอรัปชั่นหาผลประโยชน์ ขาดความรู้ ความจริงใจจนดูเหมือนไม่มีความหวังแล้วสำหรับประเทศไทย ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นนักการเมืองทำให้เราคนไทยทั้งหลายทั้งปวงซึมซับโดยไม่รู้ตัวว่าเรากำลัฃมีสังคมที่มีความเสื่อม สังคมในชนบทอ่อนแอ อ่อนแรง ขาดความรู้ พึ่งตนเองไม่ได้เพราะถูกดูดทรัพยากรทั้งทรัพย์สิน ไร่นา จนถึงคนที่ต้องเข้าไปขายแรงงาน หรือเป็นโสเภณีในเมืองกรุง คนจนยิ่งจนมากขึ้น คนรวยยิ่งรวยมากขึ้น

ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง กระทรวงมหาดไทยได้เขียนบทความชี้คนโลภอำนาจบริหาร หวังครอบงำกลไกรัฐ-เศรษฐกิจ-การเมืองเบ็ดเสร็จ ทำลายความรักและกลมเกลียวของคนไทย มีความโลภทางการบริหารจัดการทางกลไกของความเป็นรัฐจนอุดมการณ์ประชาธิปไตยกลับกลายเป็นเรื่องของจินตนาการในรูปแบบของการโฆษณาชวนเชื่อหาใช่ประชาธิปไตยอันเป็นอุดมคติของการทำความดีและการดำรงรักษาประเทศชาติรวมถึงทัศนคติแบบทุนนิยมเอารัดเอาเปรียบและหวังมีอิทธิพลเข้าครอบงำระบบทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองแบบเบ็ดเสร็จโดยไม่ให้ความสำคัญต่ออัตลักษณ์ของชาติ จากที่มีความเป็นชาติของคนไทยที่เป็นหนึ่งเดียวไม่เคยปรากฏความแบ่งแยกในเรื่องของภาคจังหวัด ไม่เคยมียุคไหนที่แบ่งภาคกันสุดโต่งเท่ายุคนี้

ผู้เป็นข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ถือได้ว่าเป็นกลุ่มอาชีพบุคคลที่มีความรู้ความสามารถจึงเป็นพลเมืองแบบอย่างทางสังคมต้องมีกระบวนทัศน์มาอย่างต่อเนื่องยาวนานมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมุ่งสร้างคุณความดีให้เกิดขึ้นแก่สังคม ข้าราชการจะต้องยึดมั่นความเป็นข้าแผ่นดินไม่ใช่คนของพรรคการเมืองต้องมีความจงรักภักดีที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และประเทศชาติและจะต้องร่วมกับประชาชนชาวไทยเสริมสร้างชาติบ้านเมืองด้วยกันโดยกำหนดกรอบทางแนวคิดของการดำเนินชีวิตให้มีระเบียบ มีคุณค่าของความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อเป็นเกราะกำบังขวางกั้นการถูกหลอกลวงหรือการชี้นำอย่างปราศจากคุณธรรม ยังผลให้การพัฒนาประชาธิปไตยไม่สามารถดำเนินไปสู่จุดหมาย

ทักษิณ ชินวัตรไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนฉลาดแต่มันช่างกล้าที่จะทุ่มทุนซื้อเสียงอย่างมหาศาล..ซื้อคนด้วยเงินอย่างมากมายมหาศาล แก้ไขกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตนและพวก ลงทุนทำธุรกิจโดยเอาประเทศเป็นเดิมพัน เสี่ยงทำอะไรที่ผิดกฎหมายได้อย่างไม่เกรงกลัวความผิดเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์มหาศาลแม้สิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้องอย่างชัดเจนอันเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวและหาไม่ได้ง่ายๆในดินแดนพุทธศาสนา...คนแบบนี้....มีเพียง 1:60กว่าล้านคน ในแผ่นดินไทยเท่านั้น.. แค่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในแผ่นดินไว้ด้วยอำนาจเงินก็สามารถ ทำอนันตริยกรรม.ทำลายสงฆ์ให้แตกแยก ทำให้คนไทยแตกแยกเป็น2ฝ่าย ฝ่ายที่นิยมทักษิณ..เห็นดีเห็นงามในความชั่วเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ทำให้คนไทยตายไปเป็นจำนวนถึง5000คนจากคำว่ายาเสพติด ชื่นชมการเล่นการพนันของคนไทยด้วยหวยบนดิน ขายสมบัติชาติ เอื้อให้พรรคพวกร่ำรวยตามกัน จาบจ้วงสถาบันจนอยากตั้งตนเป็นใหญ่ มันไม่รักชาติรักแผ่นดิน !

01 ธันวาคม 2551

ลุงแม้น

ลุงแม้นเกิดและโตในกรุงเทพ เมืองหลวงของไทยที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นองค์พระประมุข ศูนย์รวมใจของไทยทั้งชาติ ลุงแม้นร่ำเรียนจนจบ เข้ารับราชการ ทำงานด้วยความภาคภูมิใจในความเป็นข้ารองพระบาทของพระองค์มาตลอดชีวิตตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ออกตระเวณโยกย้ายไปรองพระบาทตามหัวเมืองใหญ่ๆหลายต่อหลายแห่งตลอดชีวิตการเป็นข้ารองพระบาทของพระองค์ตราบจนเกษียนอายุราชการเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ๆได้เข้ารับใช้เบื้องพระยุคลบาทแทนเมื่อกันยายนที่แล้วนี้เอง ลุงแม้นจึงได้กลับมาใช้ชีวิตในเมืองหลวงศิวิไลซ์ใหญ่โตสวยสง่าทันสมัยนี้อีกครั้ง

ร้านอาหารตั้งอยู่ ณ ใจกลางกรุงเทพฯเป็นร้านประจำที่ลุงแม้นเข้าไปใช้บริการ รสชาดดี ลูกค้าหลากหลายติดใจใช้บริการกันอยู่เนืองแน่น เป็นร้านที่ค่อนข้างจะใหญ่โตพอสมควรจนสามารถติดตั้งโทรทัศน์ได้ถึงสองเครื่องโดยไม่รบกวนกัน โทรทัศน์เครื่องหนึ่งเปิดให้ลูกค้าได้รับชมรายการปรกติทั่วไป ส่วนอีกเครื่องหนึ่งนั้นทันสถานการณ์ เปิดรายการของเอเอสทีวีตลอดวัน ลุงแม้นรู้สึกเฉยๆ เมื่อได้ยินเสียงจากรายการ จากผู้ประกาศ เหตุการณ์ต่างๆที่ได้ยินได้เห็นจากหน้าจอเอเอสฯ นั้น ลุงแม้นเองติดจะไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำไปว่าไอ้ที่ได้ยินนั่นเป็นเรื่องจริงกลับคิดไปว่าใส่สีตีไข่เพื่อให้ได้มวลชนกระมัง

บ่ายวันหนึ่งลุงแม้นเข้าไปใช้บริการที่ร้านอาหารนั้นเช่นเคย ลูกค้าก็คับคั่งตามปรกติ ลุงแม้นสั่งอาหารจานโปรดมารับทาน ในระหว่างนั้นมีชายฉกรรจ์ 5-6 คนเดินกร่างเข้ามาในร้านด้วยกริยาไม่พอใจเดินมาหยุดที่หน้าจอโทรทัศน์ที่ผู้ประกาศกำลังสัมภาษณ์ผู้ประสพเหตุลอบทำร้ายเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา

"ใครบอกให้เปิดช่องนี้" ชายคนที่เดินนำเข้ามาตะคอกเสียงดุดันพลางชี้ไปที่โทรทัศน์เครื่องนั้น
" .... " เจ้าของร้านตะลึงงัน เนื่องจากไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ลูกค้าทั้งร้านตกใจมองหน้ากันเลิ่กลั่กๆ รวมทั้งลุงแม้น
" ม..! อย่าได้เปิดช่องนี้อีกเป็นอันขาดเชียวนะ " ชายคนนั้นยังไม่เลิกถ่อย ลูกค้าทั้งร้านก็ค่อยๆทะยอยหลบเลี่ยงออกไปจากร้าน
เขาปิดสวิทช์โทรทัศน์นั้นอย่างกระแทกกระทั้น พลันที่ตาของเขาเหลือบไปเจอพระบรมฉายาลักษณ์ขององค์พระประมุขที่ลุงแม้นเคารพเทิดทูนยิ่งชีวิตประดิษฐานอยู่เหนือโทรทัศน์เครื่องนั้น เขาคนนั้นเบิกตาโพลง กระชากพระฉายาลักษณ์ทั้งสองลงมาทิ้งลงที่พื้น พร้อมกันนั้นเขาได้สบถด่าหยาบคายชนิดที่ลุงแม้นและชาวไทยทั้งหลายไม่คาดคิดว่าจะได้มีโอกาสแม้แต่จะรับฟังคนที่สบถด่าศูนย์รวมใจของไทยทั้งชาติได้หยาบและถ่อยถึงปานนี้
" .... " เจ้าของร้านยังคงตะลึงงันและจะถลาเข้าหยุดการกระทำอุบาทว์นั้น แต่ยังมิได้กระทำอะไร ไวเท่าความคิดไอ้หนุ่มจากนรกนั่นควักปืนขึ้นนกแล้วเล็งไปยังเจ้าของร้านที่ยังอยู่หลังโต๊ะเก็บเงินนั่น
" XXXX " ไอ้หนุ่มนรกยังคงด่าอย่างต่อเนื่อง และ วลีเด็ดก็หลุดออกมา
" พวกม..! ระวังไว้เถิดเมื่อสมเด็จทักษิณเสด็จกลับมาได้เมื่อไร . ระวังตัวไว้เถอะ ... ม...! "

จากนั้นสัตว์ทั้ง 6 ตัวก็จากไปในเหตุการณ์ที่กระชับสั้นได้ใจท่ามกลางความตื่นตะลึงของลูกค้าทั้งร้านที่เหลืออยู่ ถึงตอนนี้ลูกค้าในร้านแทบจะไม่เหลือหรอแล้ว รวมทั้งลุงแม้นที่นั่งกำหมัด เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ เชื่อสนิทใจเลยว่าสิ่งที่ตนได้รับรู้และต่อต้านอยู่จากการถ่ายทอดสดนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเท่านั้น แตาในวันนี้ลุงแม้นได้ยินเต็มสองหู ได้ดูของจริงๆ อย่างใกล้ชิด เจ้าของร้านเองค่อยๆ ทรุดลงนั่งอย่างอ่อนแรง ลูงแม้นจึงได้ลุกไปปรึกษากับเจ้าของร้านตกลงกันว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป คำตอบที่ลุงแม้นกับเจ้าของร้านเห็นร่วมกันนั่นคือการร้องเรียนต่อเวทีในรายการที่ถ่ายทอดทางเอเอสทีวีนั่นเอง เพราะทุกวันนี้กลุ่มคนที่จาบจ้วงเบื้องสูงทั้งหลายนั้นก็ยังลอยนวลอยู่ ส่วนลุงแม้นนั้นแม้ว่าจะได้ร้องเรียนป็นจดหมายถึงแกนนำฯแล้วนั้น ลุงแม้นก็ได้ร้องเรียนทางจดหมายไปยังบรรดาข้าราชการตำแหน่งใหญ่ๆโตๆ ที่ลุงแม้นรู้จักรวมทั้งผู้บัญชาการกองทัพบกด้วย ลุงแม้นเป็นอดีตข้าราชการ เป็นข้าในพระองค์ เป็นอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองใหญ่ๆที่เพิ่งเกษียนอายุราชการเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง!


เมื่อพูดถึง “ทักษิณ ชินวัตร” คนที่รักทักษิณอาจเห็นแต่ด้านดีที่พวกตนได้ประโยชน์โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมทั้งหลาย บางคนอาจไม่สนใจว่าทักษิณจะทุจริตคอร์รัปชันหรือไม่ ขอเพียงเขาช่วยให้พวกตนอยู่ได้-มีตังค์ใช้ แต่สำหรับคนที่เกลียดทักษิณคือพวกที่ยอมไม่ได้ที่ผู้นำประเทศ ไร้ซึ่งคุณธรรม-จริยธรรม แถมทุจริตใช้อำนาจมิชอบเอื้อประโยชน์ให้ตนและพวกพ้อง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเชื่ออยู่ว่า ทั้งคนที่รักและเกลียดทักษิณจะรู้สึกไม่ต่างกันคือเทิดทูนสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือสิ่งอื่นใดหากผู้ใดจาบจ้วง-ล่วงเกิน เราจะไม่ยอมและไม่ให้อภัยต่อบุคคลนั้น ปัญหาคือ ตลอด 4 ปีมานี้ (2548-2551) ทักษิณได้กระทำการที่กระทบต่อสถาบันนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งในและต่างประเทศ คำถามคือ คนที่พร่ำบอกว่ารักในหลวงได้ทำอะไรเพื่อปกป้องพระองค์บ้าง? และคนที่รักทักษิณยังรู้สึกดีกับนักโทษชายผู้นี้อยู่หรือ?

ตั้งแต่ทักษิณ ชินวัตรยังเรืองอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กระทั่งหมดอำนาจลงหลังถูกรัฐประหารยึดอำนาจจวบจนปัจจุบันที่เปลี่ยนสถานะเป็นนักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี นอกจากไม่เห็นว่าทักษิณได้แสดงอะไรที่ยืนยันถึงความจงรักภักดีดังที่ปากพร่ำบอกแล้ว กลับเห็นว่าทักษิณมีอาการหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยพูดจาก้าวล่วงหรือมีพฤติกรรมเสมือน “ตีตนเสมอสถาบัน” ลามไปสู่การ “ดึงสถาบันลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง”เพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมืองของตน และล่าสุด ถึงขั้นเริ่มเดินเกม “ต่อรอง”กับสถาบันแล้ว!


1 กรณีทำบุญประเทศในวัดพระแก้วยังบั่นทอนจิตใจคนไทยไม่หายไม่บังควรอย่างยิ่งเพราะราวกับตีตนเสมอสถาบันนอกจากทักษิณจะแต่งกายไม่สุภาพ(ไม่ใส่ชุดปกติขาว)แล้วยังนั่งล้ำหน้าผู้ร่วมงานคนอื่นโดยมีพรมแดงรองพื้น และมีเจ้าหน้าที่คุกเข่าให้ทักษิณกรวดน้ำซึ่งทักษิณพยายามอ้างความชอบธรรมในการทำบุญดังกล่าว
2 ทักษิณก็ก้าวล่วงสถาบันซ้ำอีกด้วยการพูดจาบจ้วงเบื้องสูงในงาน "นายกฯ พบแท็กซี่"ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมากเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2548 ในงานดังกล่าวนอกจากทักษิณจะหลุดคำหยาบคายหลายคำ เช่น คำว่า “แม่ง” , “ตายห่า” แถมยังลงท้ายประโยคด้วยคำว่า “วะ”อยู่หลายครั้งแล้วทักษิณ ยังประกาศด้วยความมันในอารมณ์เพื่อยืนยันถึงความจงรักภักดีที่ตนมีต่อสถาบันกษัตริย์ด้วยว่า “…บางช่วงนี่นะ ให้คนนั่งแท็กซี่บอกว่าเนี่ยผมกำลังเหลิงจะเป็นประธานาธิบดี ปัดโธ่! เป็นแค่นี้เหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้ว ทุกวันนี้อยู่ด้วยจิตรับผิดชอบ แล้วเอะอะอะไรก็ แหม! หาว่าผมไม่จงรักภักดี ปัดโธ่! ถ้านายกฯ ไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดี”
3 ต่อมาไม่นานครอบครัวชินวัตรก็ขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กของสิงคโปร์ โกยเงินเข้ากระเป๋าทันที 7.3 หมื่นล้าน การขายหุ้นดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนว่าทักษิณไร้จริยธรรมและใช้อำนาจโดยมิชอบแก้กฎหมายให้ต่างชาติถือครองหุ้นในกิจการโทรคมนาคมได้เพิ่มขึ้นจากไม่เกิน 25% เป็นไม่เกิน 49% เพื่อให้ตนขายหุ้นดังกล่าวออกไปได้ 49% แถมการขายหุ้นได้ 7.3 หมื่นล้านยังไม่เสียภาษีให้รัฐสักบาท นับเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้หลายภาคส่วนในสังคมออกมาเรียกร้องให้ทักษิณลาออก แต่
4 ทักษิณก็ยืนยันไม่ยุบสภา-ไม่ลาออกแถมประกาศผ่านรายการวิทยุ นายกฯ คุยกับประชาชนเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2549 ในลักษณะจาบจ้วงและตีตนเสมอสถาบันกษัตริย์อีก “คนที่จะให้ผมออกจากตำแหน่งนายกฯ ได้ ไม่ต้องหลายคนเลย คนเดียวให้ออกได้เลยนั่นคือพระเจ้าอยู่หัว ถ้าพระเจ้าอยู่หัวกระซิบผมรับสั่งคำเดียว ทักษิณออกเถอะ รับรองกราบพระบาทออกแน่นอน” สุดท้ายก็แค่คำโกหกเหมือนเรื่องขายหุ้นที่โกหกว่าจะไม่ขายกับยุบสภาเมื่อวันที่ 24 ก.พ.2549
5 ไม่เพียงคำพูดดังกล่าวยังมีภาพบาดใจเกิดขึ้นตามมาอีก เมื่อทักษิณไปพบประชาชนที่อยุธยาแล้วมีประชาชนจำนวนมากถือธงที่มีคำว่า “ทรงพระเจริญ” มาโบกต้อนรับและให้กำลังใจ
6 หลังพรรคไทยรักไทยถูกอัยการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคได้แค่ 2 วัน (29 มิ.ย.)ทักษิณก็ออกอาการไม่พอใจ-ฟาดงวงฟาดงากล่าวหา “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”ว่าเป็นผู้ที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย “ความวุ่นวายมันเกิดจากหลายอย่าง อย่างหนึ่งเนี่ยเมื่อใดเป็นทฤษฎีบริหารเลยนะเมื่อใดองค์กรตามปกติถูกองค์กรที่อยู่นอกระบบครอบงำหรือมีอิทธิพลมากกว่าองค์กรปกตินั้นวุ่นวายหรือถ้าจะแปลเป็นไทยชัดๆ ก็คือวันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ในรัฐธรรมนูญคือบุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป”
7 สังคมถามไถ่กันว่าใครคือ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” อีกครั้งระหว่างให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นที่ประเทศสิงคโปร์ในวันที่ 15 ม.ค.2550 รอยเตอร์ได้รายงานว่าคำให้สัมภาษณ์ฉบับเต็มของทักษิณที่ผ่านซีเอ็นเอ็นนั้นมีการขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่เคารพรักของประเทศไทยเลิกพูดถึงอดีตเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของความสามัคคีในชาติ ทักษิณคงจะสื่อให้ต่างชาติเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ทักษิณต้องอยู่นอกประเทศ
8 นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ทักษิณถูกมองว่าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังบทความที่ไม่บังควรด้วยคือกรณีที่หนังสือพิมพ์ดิเอเชียน วอลล์สตรีท เจอร์นัล-นิตยสารดิ อิโคโนมิสต์ และนิตยสารนิวสวีก ได้ตีพิมพ์บทความวิพากษ์วิจารณ์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “การบริหารด้านเศรษฐกิจของอดีตนายกฯทักษิณหรือ “ทักษิโณมิกส์” ได้รับการยอมรับเชื่อถือจากประเทศต่างๆ มากกว่า “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง” เพราะได้รับการพิสูจน์แล้ว” ในระหว่างที่เขาอยู่ระหว่างเดินสายประเทศต่างๆ และตระเวนให้สัมภาษณ์สื่อโดยถึงกับลงทุนจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ชื่อดังของสหรัฐฯ อย่างน้อย 2 บริษัทเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของเขาและทำให้เขาได้ให้สัมภาษณ์สื่อของประเทศต่างๆ อย่างที่ต้องการ
9 ทักษิณยังคงพูดพาดพิงสถาบันไม่เลิกให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์ฉบับวันที่ 1 ก.พ.2550 ในลักษณะที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระอยู่หัวทรงสนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 โดยเมื่อทักษิณตอบไทม์ว่า “มันก็เหมือนกับการทำรัฐประหารในอดีตของไทยที่ผ่านมา 17 ครั้ง ตอนแรกประชาชนอาจรู้สึกตกใจจากนั้นพวกเขาจะเริ่มแสดงความวิตกกังวลแล้วจึงเริ่มยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่(การรัฐประหาร)ได้รับการรับรองจากองค์พระมหากษัตริย์ พวกเขาอยู่ในกรอบระเบียบมากๆ พวกเขาเชื่อฟัง…”
10 หลังทักษิณถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 2 ปีในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯ ทักษิณก็พูดระหว่างโฟนอินเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยบอกว่า “...เขาสั่งจำคุกผม 2 ปี อายุความ 10 ปี ...มันต้องการจัดการกับคนคนเดียว โดยเอากระบวนการยุติธรรมให้ยุติความเป็นธรรมทั้งหมด ...ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอกครับ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น จริงไหมครับ”
11 ล่าสุดทักษิณกดดันให้มีการพระราชทานอภัยโทษให้ตัวเองอย่างชัดเจนด้วยการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ อาราเบียน บิซิเนส ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี)เมื่อวันที่ 24 พ.ย. โดยนอกจากทักษิณจะกล่าวโจมตีประเทศอังกฤษที่ถอนวีซ่าตนและคุณหญิงพจมารว่าไม่เคารพค่านิยมเรื่องประชาธิปไตยแล้วเขายังพูดถึงเงื่อนไขที่จะทำให้ตัวเองได้กลับประเทศไทยว่า “ผมคิดว่าหลายๆ อย่างขึ้นอยู่กับอำนาจของประชาชน หากพวกเขารู้สึกว่า พวกเขาอยู่อย่างยากลำบากและต้องการให้ผมช่วย ผมก็จะกลับไป หากในหลวงทรงเห็นว่าผมยังสามารถทำคุณประโยชน์ได้ ผมจะกลับไป และพระองค์อาจจะพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผม แต่ถ้าพวกเขาไม่ต้องการผม และพระองค์ทรงเห็นว่าผมกลับไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมก็จะอยู่ที่นี่(เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)ทำธุรกิจไป”


เราคนไทยได้เห็นพฤติกรรมและคำพูดของทักษิณที่พาดพิงสถาบันมาครั้งแล้วครั้งเล่าตลอด 4 ปีมานี้(2548-2551) ยังเชื่อได้หรือว่า บุคคลผู้นี้จงรักภักดีดังที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ เคยการันตี ยังเชื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ น้องเขย ทักษิณได้หรือที่การันตี หรือยังเชื่อคำสรรเสริญเยินยอของทาสรักทักษิณอย่างนายวีระ มุสิกพงศ์ได้หรือในเมื่อนายวีระก็เป็นเพียงอดีตผู้ต้องขังที่หมิ่นสถาบันและปัจจุบันก็ยังเป็นผู้ต้องหาหมิ่นสถาบันซ้ำอีก การหลงทางผ่านเข้าไปในเวป..ฟ้าเดียวกัน..ตอนแรกก็ว่าจะไม่เข้าไปรับรู้..แต่..เคยได้ยินคำบอกเล่าถึงความเลวทรามของฟ้าเดียวกัน..ก็เลยลองเข้าไปเสียหน่อย..และแล้วหัวใจของคนไทยก็เหมือนโดนทำร้ายเพราะสารพัดความคิดเห็นที่จาบจ้วงดวงใจอันเป็นที่รักของชาวไทยที่มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไทยทุกคน...ไม่เคยคิดเลยว่าประเทศไทยยังมีคนเหล่านี้อาศัยอยู่ภายใต้ร่มพระบารมี..คำถามแรกที่ได้ก็คือ...ทหารและตำรวจที่ปฏิญาณตนว่าเป็นทหาร ตำรวจ ของพระเจ้าแผ่นดินนั้นอยู่ที่ไหนทำไมถึงได้ปล่อยให้พวกมันทำร้ายดวงใจของคนไทยได้ขนาดนี้

...นาทีนี้ อยากถามดังๆ ว่า คนไทยที่ปากบอกว่า “รักในหลวง” และผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหลายที่พร่ำบอกว่า จะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยังหลับอยู่หรือไร จึงไม่ทำอะไรเพื่อปกป้องสถาบันกันบ้าง!!