19 ธันวาคม 2554

พระสงฆ์ นักวิชาการ อาจารย์ เคยเป็นที่พึ่งพิงด้านปัญญา ...


คำถามที่ชาวบ้านอยากรู้คำตอบคือ อะไรจะเกิดขึ้นในปี 2555 ทั้งเรื่องความพยายามของกลุ่มก๊วนต่างๆ ในพรรคเพื่อเหลี่ยมร้าย แดงอำมาตย์ แดงไพร่ แดงซ้ายหลงยุค แดงสู้แล้วรวย ในขบวนการตีกิน ล้วนแต่มุ่งเอาประโยชน์ส่วนตัว เฉพาะกลุ่ม มีจุดศูนย์รวมคุมโดยเหลี่ยมร้ายเร่ร่อน ขบวนการเหล่านี้ดำเนินการทั้งแยก และร่วมกันเดินหน้าตามแผนช่วยเหลือเหลี่ยมร้ายอย่างผยองลำพองอำนาจ ไม่แยแสต่อความรู้สึกของประชาชน ย่ำยีกฎหมาย และกลไกของความเป็นนิติรัฐ  ภายใต้ แผนล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า”    ความพยายามแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 กรณีหมิ่นสถาบัน แก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม การนิรโทษกรรม เป็นจุดเปราะบางสำหรับชนวนเหตุร้าย ทั้งความเคลื่อนไหวตั้งหมู่บ้านคนเสื้อแดง การหมิ่นสถาบัน  บ้านเมือง ไม่มีอะไรดีขึ้น วิกฤตอภิมหาอุทกภัยสร้างความเสียหายยังประเมินไม่ได้ นอกจากยังไม่แก้ปัญหาสำเร็จ ยังมีภัยแล้ง ภัยหนาว ภัยมรสุมในภาคใต้

o ผีโม่แป้ง ทำงานเข้าตา ย่อมมีอำนาจ วาสนา เงินตรา ลาภ ยศ ไม่สนใจว่าชาวบ้านจะดูหมิ่น เหยียบหยามว่า เป็นคนละเมิดกฎหมาย             ไร้เกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทำลายอำนาจศาล

o ข้าราชการแบ่งเป็นประเภทผีโม่แป้ง ก้มหัวยอมกราบกราน รับใช้เครือข่ายเหลี่ยมร้าย ทุ่มเททั้งกายใจ ไม่สนใจกฎหมาย ศีลธรรม คุณธรรม ตราบใดที่ได้รับผลตอบแทนในตำแหน่งงาน และรายได้   อีกพวกยอมหลบ ต้องอยู่กับความอัปยศอดสู ไม่กล้าสู้กับความไม่ถูกต้อง เมื่อเป็นตัวอย่างไม่ดี หน่วยงานอื่นก็เอาเยี่ยง สังคมข้าราชการอยู่ในสภาพการแข่งขันเพื่อรับใช้คนชั่วให้ได้ดี สยบไม่มีปากเสียง ขอให้เอาตัวรอด ไม่โดนรังควาญ ไม่ห่วงผลกระทบต่อชาติ ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ความสงบในบ้านเมือง

                เงื่อนไขกำหนดโดยเหลี่ยมร้ายเป็นตัวเร่งการเกิดวิกฤตการเมือง การเผชิญหน้ารอบใหม่ เมื่อตัวเองดิ้นรนต้องการอิสรภาพ แต่อยู่ในภาวะจำยอม ทำให้ต้องหาทางพ้นโทษโดยเร็ว แม้โอกาสจะกลับมาบ้านเกิดไม่ง่ายนัก จะกลับประเทศไทยเดือนมีนาคม หลังจากการปรับคณะรัฐมนตรี หลังจากหลายคนสอบตก ไร้ปัญญา ฝีมือ  ยอมถูกขังในคุกพิเศษสั้นๆ แล้วขอพระราชทานอภัยโทษ ปรับสภาพให้เป็นคนไร้มลทิน

บ้านเมืองจะเป็นรัฐล้มเหลว เกิดมิคสัญญีเพราะคนชั่วกุมอำนาจ จะมีความขัดแย้งรุนแรง ใช้กำลังตัดสินกันหรือไม่      ด้วยมีพวกแดงคอมมิวนิสต์หลงยุค ต้องการเปลี่ยนแปลง ล้มสถาบัน อาศัยเงินและตัวของเหลี่ยมร้ายเป็นเครื่องมือให้บรรลุเป้าหมาย หลังจากต่างฝ่ายหลอกใช้กัน ทำให้บ้านเมืองมีปัญหาความมั่นคงเริ่มในยุคเหลี่ยมร้ายเป็นใหญ่ ถ้าคนดีเพิกเฉย นารีหน้าขาวมีโอกาสได้อยู่ยาวเกินคาด อาศัยความไม่รู้ปูทางเสริมฐาน เอาบ้านเมืองฝึกงาน ให้รู้ว่าตระกูลเหลี่ยมเป็นผู้นำ 2 รุ่นแล้ว    พระสงฆ์ นักวิชาการ อาจารย์ เคยเป็นที่พึ่งพิงด้านปัญญา ทุกวันนี้ยินยอมเต็มใจแปรสภาพเป็นผีโม่แป้ง เพราะสยบต่ออำนาจเงินเหลี่ยมร้าย
      
                เมืองไทยเคยสุขสงบร่มเย็นมายาวนาน ตกอยู่ในสภาวะแปรปรวน เสื่อมโทรม อำนาจอธรรมครองเมือง! รัตนโกสินทร์จะสิ้นคนดีจริงๆ หรือนี่!

อ่านบทความนี้เต็มๆได้ที่นี่

05 ธันวาคม 2554

การทุจริตโกงกินยังเป็นเสมือนมะเร็งร้ายที่สังคมไทยยังหาทางรักษาไม่ได้


มะเร็งร้ายคอร์รัปชันกับยาขนานเดิมๆ...สังคมไทยตายลูกเดียว
โดย บรรจง นะแส5 ธันวาคม 2554 14:19 น.

เดวิด โรเซนบลูม และ เดอโบราห์ โกลด์แมน (David Rosenbloom and Deborah Goldman) กล่าว ว่า “การคอร์รัปชัน เป็นการทรยศต่อความไว้วางใจสาธารณะ” เมื่อสาธารณะขาดความมั่นใจต่อกลไกของรัฐหรือระแวงสงสัยต่อการดำเนินการของภาคธุรกิจในการดำเนินการพัฒนาประเทศให้ไปข้างหน้าในมิติต่างๆ แล้ว เราจะเอาพลังที่ไหนมาขับเคลื่อน เพราะมันจะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง เต็มไปด้วยจิตใจของผู้คนในสังคมที่ปราศจากความเชื่อมั่นและไร้ซึ่งศรัทธา ไม่ต่างกับร่างกายที่เผชิญกับมะเร็งร้ายในร่างกายและจิตใจที่อ่อนแอ ซึ่งก็จะนำไปสู่ความตายสถานเดียว ไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไป
      
       ภาพที่ตำรวจนำโจรบุกปล้นบ้านปลัดกระทรวงคมนาคม นำเงินเป็นมัดๆ มากองให้นักข่าวได้ถ่ายภาพทำให้ผู้คนในสังคมคิดเห็นไปต่างๆ นานา แต่ที่คนส่วนใหญ่เห็นร่วมกันก็คือว่า ประเทศชาติของเรายังเต็มไปด้วยปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันกันอย่างมโหฬาร การทุจริตโกงกินยังเป็นเสมือนมะเร็งร้ายที่สังคมไทยยังหาทางรักษาไม่ได้ และถูกตอกย้ำอีกครั้งด้วยข้อมูลในการจัดอันดับภาพลักษณ์คอร์รัปชันโลกประจำปี 2554 โดย ดร.จุรี วิจิตรวาทการ ในฐานะเลขาธิการองค์กรฯ ระบุว่า ผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันประจำปี พ.ศ. 2554 พบว่า ประเทศไทยได้ 3.4 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน อยู่อันดับที่ 80 จากการจัดอันดับทั้งหมด 183 ประเทศทั่วโลก และอยู่อันดับที่ 10 จาก 26 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย มันเป็นเรื่องใหญ่ที่สังคมไทยไม่ควรมองข้ามและปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมเช่นนี้กันอีกต่อไป
      
       ในปีนี้ประเทศไทยมีคะแนนเท่ากับประเทศโคลัมเบีย เอลซัลวาดอร์ กรีซ โมร็อกโก และเปรู โดย 5 ปีที่แล้วไทยอยู่ในอันดับ 63 ของโลก ผลการจัดอันดับประจำปีนี้ประเทศส่วนใหญ่ยังคงมีคะแนนต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง มีเพียง 49 ประเทศเท่านั้นที่ได้คะแนนตั้งแต่ 5 คะแนนขึ้นไป การลดลงจากอันดับที่ 63 จาก 163 ประเทศในปี 2549 และสุดท้ายลงมาอยู่ในอันดับที่ 80 จาก 180 ประเทศในปีนี้ บ่งบอกหายนะอะไรแก่สังคมไทย ที่เราควรจะนิ่งเฉยกันต่อไปละหรือ???
      
       สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) วิทยากร เชียงกูล (2549: 7-8) ได้กล่าวสรุปว่า การคอร์รัปชันของนักการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐก่อให้เกิดผลเสียหายต่อปัจจุบันและอนาคตของประเทศไทยอย่างน้อย 4 ข้อ คือ
      
       1) ทำให้คนกลุ่มน้อยคดโกงทรัพยากรของส่วนรวมไปเป็นของตนเองอย่างผิดกฎหมายและจริยธรรม การเมืองไม่ได้พัฒนาเป็นประชาธิปไตยแบบที่ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคอย่างแท้จริง
      
       2) ทำให้เกิดการบิดเบือนการใช้ทรัพยากรของประเทศที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์สูงสุด เช่น มีงบเพื่อพัฒนาการศึกษาและสาธารณสุขน้อยลง การก่อสร้างถนนหรือถาวรวัตถุต่างๆ มีคุณภาพต่ำ ต้องซ่อมแซมบ่อย อายุใช้งานน้อยกว่าที่ควรเป็น ประชาชนได้บริการคุณภาพต่ำ ฯลฯ
      
       3) ทำให้เกิดการผูกขาดโดยนักธุรกิจการเมืองขนาดใหญ่ ไม่ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพนำไปสู่ความอ่อนแอ ความด้อยพัฒนาล้าหลังขององค์กรทั้งภาครัฐและธุรกิจเอกชน
      
       4) ทำให้เยาวชนและประชาชนมีค่านิยมแบบยกย่องความร่ำรวย ความสำเร็จ โดยถือว่าการโกงเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์ เช่น การโกงข้อสอบ การใช้อภิสิทธิ์ เล่นพวก โกงเล็กโกงน้อยต่างๆ เป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ทำกัน ทำให้ประชาชนขาดจริยธรรม ศีลธรรม คิดแต่ในเชิงแก่งแย่ง แข่งขัน เอาเปรียบกันอย่างไม่เคารพกติกา ไม่มีวินัย ไม่มีจิตสำนึกที่จะทำงานร่วมกันเพื่อหมู่คณะ กลายเป็นคนเห็นแก่ได้ที่อ่อนแอ ไร้ความภาคภูมิใจ ไร้ศักดิ์ศรี ดังนั้น การจะพัฒนาคน ชุมชน และประเทศชาติ เพื่อจะร่วมมือและแข่งขันกับประเทศอื่นๆ เป็นไปได้ยาก
      
       และจากการศึกษารูปแบบการคอร์รัปชันตามทัศนะของประชาชน ที่จัดโดยสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ระหว่างวันที่ 1-31 พฤษภาคม 2547 ได้ข้อสรุปว่า การทุจริตที่ประชาชนพบเห็นมากที่สุด 6 รูปแบบที่สำคัญ เรียงตามลำดับคือ
      
       การรับสินบนและการรับของขวัญ (40.94%)
      
       การวิ่งเต้นขอตำแหน่งในวงการราชการ (43.94%)
      
       การรับส่วย รีดไถ (40.94%)
      
       คอร์รัปชันเชิงนโยบาย (40.43%)
      
       การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ (37.99%) (วิทยากร เชียงกูล, 2549 : 48)
      
       จากปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงมากที่สุด กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจทั้งปี 2554 จะขยายตัวร้อยละ 1.7-2 จากเดิมที่คาดไว้ร้อยละ 2.6 แม้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะประกาศตัวเลขไปแล้วว่าจีดีพีขยายตัวร้อยละ 1.5 จากนี้ไปหลายส่วนจะเริ่มดีขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจในปี 2555 ยังคาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 5 และยังมีปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลายด้าน ผ่านการอัดฉีดเงินออกสู่ระบบของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม ทั้งการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการและประชาชน 3.2 แสนล้านบาท
      
       รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบหมายให้ยึดปีหน้าเป็นปีแห่งการลงทุน เพราะการฟื้นเศรษฐกิจจะต้องใช้นโยบายการคลังเป็นหลักในการฟื้นเศรษฐกิจ โดยทำงบประมาณขาดดุลไปแล้ว 4 แสนล้านบาท แต่กฎหมายให้กรอบขาดดุลไว้ 5 แสนล้านบาท ยังกู้ได้อีก 1 แสนล้านบาท การกู้เงินต่างประเทศ พ.ร.บ.การก่อหนี้สาธารณะยังให้กรอบไว้ 2 แสนล้านบาท ขณะที่ พ.ร.บ.การค้ำประกันการกู้เงินรัฐวิสาหกิจอีกร้อยละ 10 ทำให้กู้เงินได้อีกถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีช่องว่างสามารถกู้เงินมาใช้ในโครงการต่างๆ ได้อีกถึง 4 แสนล้านบาท ก้อนเงินจำนวนมากที่จะถมลงมาหลังสถานการณ์วิกฤตจากน้ำท่วม ไม่ได้ช่วยให้การพัฒนาประเทศดีขึ้น หากประเทศนี้ยังเต็มไปด้วยปัญหาการทุจริต การคอร์รัปชันโกงกินที่เต็มบ้านเต็มเมืองอย่างในปัจจุบัน
      
       เมื่อการคอร์รัปชันคือการทรยศต่อความไว้วางใจสาธารณะ สิ่งที่รัฐบาลจะต้องรีบทำเร่งด่วนก็คือสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้น หามาตรการป้องกันและกำจัดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเร่งด่วน และควรเป็นมาตรการใหม่ๆ ที่ไม่ใช่รูปแบบที่มีอยู่เดิมๆ อีกต่อไป เพราะถ้ารูปแบบเดิมที่มีอยู่ทรงประสิทธิภาพ ภาพเงินก้อนโตจากบ้านปลัดกระทรวงคมนาคมก็จะไม่เกิดขึ้นและอันดับความเชื่อมั่นในความโปร่งใสของสังคมไทยก็จะไม่ลดจากอันดับที่ 63 มาอยู่ที่อันดับ 80 ให้อับอายกันทั้งสังคม หรือพวกท่านผู้มีส่วนในการปกครองบ้านเมืองทั้งหลายหน้าด้าน หน้าหนาเกินกว่าที่จะรักษากันอีกแล้ว.

23 พฤศจิกายน 2554

ปลัดขิกทำให้เราเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเคยตระกูลหนึงขนกระเป๋าใส่เงินนับสิบๆใบออกนอกประเทศด้วยบริการของเครื่องบินกองทัพอากาศฟรี



กรณีอดีตปลัดคค. ทำให้เชื่อได้เลยว่า คอรัปชั่นในประเทศเรามีทุกระดับ กว่าจะนั่งปลัดได้ ก็ต้องเป็นคนของนักการเมือง แล้วตัว รมต.แต่ละคนเองมีเก็บกันในบ้านไม่รู้เท่าไหร่ อดีตปลัดขิกตนนี้เป็นคนสนิทของศรีสุข จันทรางศุซึ่งก็คงกินบ้านกินเมืองกันเป็นหมู่คณะมานาน   "มัดเงินสด" ที่ระบุสายรัด เดือน "พฤศจิกายน 2552" นั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลอัปปรีย์สิทธิ์ซึ่งทั้งพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตยและคุณดุสิต นนทะนาครอดึตประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและอดึตประธานหอการค้าไทยผู้วายชนม์ไปแล้วเคยระบุไว้ว่ารัฐบาลชุดดังกล่าวมีการทุจริตคอรัปชั่นหนักกว่าทุกยุค   หน่วยงานที่ตรวจสอบเช่นปปช.ไม่มีทางค้นเจอเองก็คงต้องพึ่งพาบริการของโจรอย่างเดียวเท่านั้นเพื่อหาโจรและออกมาแฉให้สังคมรับทราบ

10 ตุลาคม 2554

นารีขี่ม้าขาวลุยน้ำ...


 โสภณ องค์การณ์10 ตุลาคม 2554
ช่วง 2 สัปดาห์ก่อน คำถามเสียงดังๆ และข้อสงสัยในใจคือ “น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ หรือไม่?” หลังจากสร้างความหายนะให้หลายจังหวัดในภาคเหนือและอีสาน เหลือแต่เมืองหลวงเป็นไข่แดง รัฐบาลและ กทม. ระดมสรรพกำลังป้องกันอย่างเต็มกลืน
      
        สัปดาห์นี้ ไม่สงสัย นอกเมืองหลวงจมน้ำ แต่ไม่ลึกเหมือนนครสวรรค์ ไล่ลงมาจนถึงอยุธยา นิคมอุตสาหกรรมจมน้ำเสียหายเป็นหมื่นๆ ล้านบาท และคุกคามนนทบุรี ปทุมธานี ปราการสุดท้ายก่อนทะลักเข้าท่วมกรุง ถ้าระบบการป้องกันล้มเหลว
      
        น้ำท่วมกรุงเทพฯ บางส่วนแน่! กทม. และรัฐบาลยังกำหนดพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเสี่ยงต่อการจมน้ำ รวมทั้ง 4 เขตด้านตะวันออก คือ หนองจอก คลองสามวา มีนบุรี และลาดกระบัง เป็นบริเวณกว้างแค่ไหน ก็สุดแล้วแต่ปริมาณน้ำที่ผันออกและรุกเข้าพื้นที่นั้น
      
        เมื่อทุกฝ่ายปลงว่าเมืองหลวงอาจไม่รอด คำถามหวาดเสียวคือ “น้ำจะท่วมเป็นบริเวณกว้างแค่ไหน และน้ำจะลึกเท่าไหร่ 1-2 เมตร หรือมากกว่านั้น?”
      
        ก่อนหน้านั้นเจ้าหน้าที่ นักการเมือง ผู้เกี่ยวข้อง มีหน้าที่แก้ไขปัญหาดูเหมือนจะมั่นใจในความสามารถ พร้อมทั้งฝันหวานว่าถ้าฟลุก น้ำไม่ท่วม ก็จะอ้างเอาเครดิตได้
      
        แล้วไง! ความเชื่อมั่นหดหาย ผู้ว่าฯ กทม. เสียงเปลี๊ยนไป๋ “ผมไม่ได้บอกว่าน้ำจะไม่ท่วมกรุงเทพฯ” ก็ไม่ว่าอะไร ต่อให้ใครอมพระอินทร์ตัวเขียวๆ ลงมาอ้างว่ากรุงเทพฯ จะรอด คงไม่มีใครเชื่อ เว้นแต่พวกไม่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองจมปลักดักดาน
      
        แทบไม่ต้องใช้สติปัญญาคาดเดา เมื่อทุกจังหวัดในภาคกลางจมอยู่ใต้น้ำเป็นพื้นที่ลึกและกว้างมหาศาล ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบ 100 ปี น้ำส่วนใหญ่จะทะลักมากรุงเทพฯ แล้วจะให้นั่งฝันหวานว่าเมืองหลวงจะรอดปลอดภัยได้อย่างไร
      
        เหลือเพียงว่า จะท่วมมากและลึกแค่ไหน? รัฐบาลหน่วยงานต่างๆ มีมาตรการแก้ไขอย่างไรเพื่อบรรเทาวิกฤตไม่ให้เกิดหายนะต่อประเทศโดยรวม ทั้งเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนกว่า 10 ล้านคนในเมืองหลวงและจังหวัดรอบนอก
      
        เห็นความทุกข์ยากลำบากของชาวนครสวรรค์ อ่างทอง สิงห์บุรี อยุธยา เหมือนสิ้นไร้ไม้ตอก เหลือแต่เสื้อผ้าติดตัวและหอบมาได้บางส่วน น้ำลึกถึงคอ ถ้ากรุงเทพฯ รอดได้คงเป็นความมหัศจรรย์ หรือโชคช่วยแบบอภิมหาเฮงเท่านั้น
      
        ยิ่งในอีกไม่กี่วันข้างหน้าน้ำเหนือหลากมา น้ำทะเลหนุนสูง ฝนตกเพราะมีพายุเข้า เป็นสามแรงแข็งขันดันหนักๆ เขื่อนกระสอบทรายกั้นบนฝั่งเจ้าพระยาจะเอาอยู่หรือ
      
        เราได้เห็นนักการเมืองแก้ไขปัญหาแบบสะเปะสะปะ นายกฯ “เด็กหญิง” น้องสาวเหลี่ยมร้ายเอ๋อหลายรอบ ฟ้องให้เห็นอาการป้ำๆ เป๋อๆ สติเลอะเลือนเหมือนคนจมน้ำ พวกที่เคยโอ้อวดว่าเก่งฉกาจ ทำตัวเป็นนกรู้ เพราะวิกฤตหนักหนาสาหัสเกินแก้ไข
      
        ซ่าไม่ออก! ว่างั้นเถอะ ระดับ “เสี่ยปลอดประสบการณ์” ตามคำเรียกขานของ “เสี่ยหมัก” ผู้วายชนม์ ก็ยังทำมาดเท่ห์ไม่เต็มบ้อง ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าของตำนานนักพิฆาตจระเข้ด้วยปืนเอ็ม 16 และส่งลูกเสือโคร่งไปเมืองจีน จนโดนเด้งจากราชการแบบสิ้นลาย
      
        มาคราวนี้สวมหมวกเสนาบดีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นั่งเคียงข้างทำตัวเป็นพี่เลี้ยง “เด็กหญิง” หัวหน้ารัฐบาล ยังไม่ได้พิสูจน์ความรู้ ความสามารถให้ประทับใจ ก็เริ่มต้นด้วยการโยนของเหม็นใส่ข้าราชการ โทษว่าประเมินสถานการณ์ผิด
      
        ชาวเมืองหลวงรู้แล้วว่าเสี่ยงต่อมหันตภัย จึงแห่กันไปซื้อข้าวสาร อาหาร น้ำดื่ม สิ่งของเครื่องใช้จำเป็นเอาไว้รับสถานการณ์ เมื่อเห็นความทุกข์ยากลำบากของเพื่อนร่วมแผ่นดินในจังหวัดเหนือกรุงเทพฯ พึ่งพาใครไม่ได้ นอกจากตนเป็นที่พึ่งแก่ตน
      
        คำถามที่ใครยังตอบไม่ได้ คือ ถ้าน้ำท่วม จะยืดเยื้อเป็นเดือน รอจนกระทั่งหลังเทศกาลลอยกระทงหรือไม่ เพราะเห็นคนจังหวัดอื่นจมใต้น้ำเกิน 2 เดือน ทุกข์สาหัส สิ้นเนื้อประดาตัว แถมยังโดนพวกโจรร้ายสารเลวซ้ำเติมเข้าไปขโมยทรัพย์สิน
      
        รัฐบาลให้กองทัพระดมคน อุปกรณ์ พาหนะช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นกองกำลังสำคัญ แต่มักไม่เป็นข่าว คล้ายกับว่าไม่ต้องการให้ทหารได้เครดิต ได้ใจชาวบ้าน เพราะพวกแกนนำแดง ส.ส. ส.ว. ทาสเงินเหลี่ยมร้ายจ้องทำร้ายกองทัพอย่างต่อเนื่อง
      
        แกนนำแดงสู้แล้วรวย ว่างจากการเผาเมือง ทำเป็นแกล้งเซ่อ สร้างกิจกรรม สร้างหมู่บ้านแดง ตำบลแดง อำเภอแดง และจังหวัดแดง! ถ้าสำเร็จจะเป็นประเทศไทยแดง
      
        ก่อนถึงวันนั้น ท่านแต่งชุดแดง เติมเกล็ดแดง หางแดงเดินให้ชาวบ้านชมได้มั้ย!
      
        กิจกรรมเปิดอำเภอแดง เป็นการเบี่ยงเบนประเด็นไม่ให้ชาวบ้านถามว่าทำไมไม่ยอมเจียดแบ่งความมั่งคั่งจากภารกิจสู้แล้วรวยมาช่วยเหลือพวกเสื้อแดงบ้าง ทุกวันนี้ไม่ไปเยี่ยมเยียน ยังซ่า ทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของประเทศ อ้างว่าประชาชนเลือกเข้ามา
      
        ปัดโธ่! ไอ้คุณเบื๊อกทั้งหลายรู้แก่ใจแล้วว่าที่โงหัว เผยอหน้ามาได้ เพราะซื้อเสียง ซ้ำร้าย น้ำท่วมประเทศแท้ๆ พวกเผาเมืองเดนคุก ผีโม่แป้งทาสเงินผีบุญเหลี่ยม ไม่เจือจานชาวบ้าน ดันทำตัวเป็นพวกมือไม่พาย เอาตีนราน้ำ แกว่งปากหารองเท้าบูทหาร
      
        ปีกลายเผาเมือง ปีนี้น้ำท่วมหนัก เกิดอาเพศ ไพร่จัญไรเป็นใหญ่ใช่หรือไม่? พวกเสื้อแดงเอาเลือดชั่วไปสาดใส่ทำเนียบฯ เอาตีนกระทืบกำแพง สาดเลือดชั่วใส่รูปปั้นพระแม่ธรณีบีบมวยผม ทำพิธีกรรมอุบาทว์สารพัด พฤติกรรมเนรคุณให้บ้านเมือง ใช่มั้ย!
      
        ไม่อยากบอกว่าพื้นที่น้ำท่วมเป็นหนักเป็นฐานที่มั่นเสื้อแดง! คำทำนาย “จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ” แม่นจริงๆ ก่อนจะจบเห่แบบไม่สวยนิ! อิอิอิ!!

01 ตุลาคม 2554

ไม่ต้องเปิดบ่อนก็รวยแล้ว!


โสภณ องค์การณ์
30 กันยายน 2554 18:16 น.
       บริหารบ้านเมืองมานาน 2 เดือน รัฐบาลปู โคลนนิ่งยังทำตัวเหมือนเล่นจับปูใส่กระด้ง อะไรๆ ดูไม่ลงตัวสักอย่าง ทั้งนโยบายรถ-บ้านหลังแรก จะลามไปถึงกาสิโนแห่งแรก
      
        งานงาบแหลกนั้นเป็นกิจกรรมต่อเนื่องจากยุครัฐบาล “โกงทั้งโคตร” ขณะนี้นอมินีรุ่น 3 แสดงให้เห็นเจตนารมย์ในการสืบสานปณิธานคอรัปชั่นเชิงนโยบายอย่างจริงจัง อัตราเร่งไม่เกรงใจชาวบ้านคนเสียภาษีให้พวกเสนาบดี อำมาตย์แปลงจากไพร่
      
        สร้างมูลเหตุจูงใจให้คนซื้อรถยนต์ในสภาวะที่น้ำท่วมกว่าครึ่งค่อนประเทศ ชาวบ้านได้รู้ซึ้งว่าพื้นที่ไหนน้ำท่วม จะได้ไม่โดนหลอกไปซื้อบ้านย่านนั้น! แน่นอน โครงการใหญ่ เล็งกวาดเงินจากโครงการเนียนๆ ย่อมต้องป้องกันน้ำท่วมเต็มที่
      
        ถ้าหน่วยงานไหน ปล่อยให้น้ำท่วมโครงการเกี่ยวโยงกับผู้กุมอำนาจรัฐ รับรองโดนเด้ง เพียงแต่ กทม. อยู่ภายไต้การดูแลของ กทม. จะสั่งการเต็มที่ยังไม่ได้ หวังรอตีกินชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ ครั้งต่อไปถ้า กทม. จมน้ำเพราะน้ำเหนือหลากเกินกว่าจะรับมือได้
      
        รัฐบาลทำเป็นเหมือนใส่ใจ ดูแลชาวบ้านที่จมอยู่ในทะเลทุกข์นาน 2 เดือน แทบไม่มีโอกาสทำมาหากิน ต้องเตรียมหาเงินซื้อทรัพย์สินชุดใหม่ เมื่อสิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆ เสียหายจากการจมน้ำยาวนาน กลายเป็นท่วมบูรณาการนิรันดรไปแล้ว
      
        นายกฯ ปู โคลนนิ่ง กำลังกลายสภาพเป็นปูโพรก รอยเหี่ยวย่นเริ่มปรากฎชัด ความสดใสถดถอย ยังเจื้อยแจ้วเรื่องภาพรวม บูรณาการ คงต้อง...คงต้อง...คงต้อง...ขอเวลาทำงาน ขณะที่รัฐมนตรี ส.ส. กินเงินภาษี ไม่เคยโผล่ไปให้ชาวบ้านได้เห็นหน้า
      
        เสนาบดีและผีโม่แป้งในตำแหน่งต่างๆ แข่งกันเสนอแผน โครงการ ไม่ลืมตาดูสภาพความเป็นจริง ทำให้ชาวบ้านสงสัยว่านายกฯ ปูรู้หรือไม่ว่าทำหน้าที่อะไร
      
        อย่าคิดว่า “หนูไม่รู้” จะช่วยให้เอาตัวรอดตลอดไป ถ้าไม่ไหวพี่เหลี่ยมร้ายคงไม่ปล่อยให้เกิดความเสียหาย ลดโอกาสในการกระชับอำนาจเพื่อการกอบโกย ...รอบนี้น่าจะเป็นโอกาสสุดท้าย จะเริงร่ากับการผยองอำนาจนานเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับการเร่งเปิบ
      
        ความเลอะเทอะเฟอะฟะ ฟ้องให้เห็นการไม่เป็นงาน ทุกวันนี้ต้องหาเรื่อง สร้างประเด็นใหม่มากลบความสิ้นท่า เริ่มต้นด้วยการกู้เงิน 1 หมื่นล้านบาทมาโปะกองทุนน้ำมัน หลังจากทำเป็นใจดี ตัดเงินสมทบเข้ากองทุนให้ผู้ค้าน้ำมันกอบโกยโดยสะดวก
      
        ความเสียหายเกิดระดับหมื่นล้านบาท และยังจะมีเรื่อยๆ รัฐบาลไม่ใส่ใจเพราะไม่ใช่เงินส่วนตัวของรัฐมนตรี และผลสุดท้ายเงินจะไหลไปสู่ผู้ค้าน้ำมัน ผู้ถือหุ้น และตามมาติดๆ คือคำประกาศน่าหัวเราะว่าจะเลิกขายน้ำมันเบนซิน 91 ปีหน้า
      
        ไม่ถามประชาชนสักคำว่ามีรถใช้เบนซิน 91 ตกค้างอยู่ในระบบเท่าไหร่! ถ้าจะให้เดา คงอยากดันให้รถใช้เบนซิน 91 ต้องไปใช้เบนซิน 95 แพงกว่าเดิม เพราะใช้น้ำมันประเภทอื่นไม่ได้ เว้นแต่ต้องปรับไปใช้แก๊ส และเข้าทางพ่อค้าแก๊สอีกเช่นเคย
      
        นี่คือนโยบายตลบตะแลงปลิ้นปล้อน เสนอสิ่งยั่วใจหลอกชาวบ้านให้หลงปลื้มชั่วคราว ก่อนตลบหลัง! ยังมีโครงการลดภาษีบ้าน รถยนต์ แล้วไปรีดเงินภาษีเงินได้ส่วนบุคคลภายไต้นโยบายถอนขนห่าน ไม่สนใจพวกหงส์ ห่านฟ้า เศรษฐีระดับแนวหน้า
      
        เออ! เห็นพวกรัฐมนตรี ส.ส. อำมาตย์แดงมีทรัพย์สินเป็นสิบล้าน ร้อยล้านบาท น่าจะให้แสดงตัวเลขการเสียภาษีเงินได้แต่ละปีว่ามากน้อยเพียงใด! ถ้า ปปช. หรือองค์กรใดยังไม่มีแผนให้โชว์ตัวเลขเงินภาษี ก็น่าจะเริ่มในยุคนี้
      
        เห็นเข้าแถวประกาศต่อต้านทุจริต คอรัปชั่น เป็นข่าวทั้งวัน ไม่ใช่เรอะ!
      
        สภาพบ้านเมืองเหมือนไร้กลไก ส.ส. พรรคเหลี่ยมร้าย ยังคงปลื้มกับผลงานจากการไปไหว้เจ้าของคอกผีโม่แป้ง เหมือนผีบุญมาโปรดสัตว์ด้อยปัญญา! กอดรัด คุกเข่ากราบไหว้ฮุนเซนยิ่งกว่าเป็นบรรพบุรุษมาแต่ปางก่อน หรือเป็นลูกหลานพระยาละแวก
      
        พวกนี้เคยไปสักการะอนุสาวรีย์พระพุทธยอดฟ้า พระนเรศวร พระเจ้าตาก และวีรกษัตริย์อื่นๆ ของไทยบ้างหรือไม่! หรือข้าวไม่มียางกับปลากรอบเขมรทำให้ลืมคุณแผ่นดินเกิด และพื้นที่เพื่อการชุมนุม “สู้แล้วรวย” ตามที่ตัวเลขโชว์ทรัพย์สิน
      
        ประเทศเกิดวิกฤติจากน้ำท่วมหนัก เป็นพื้นที่ของพวกกาเบอร์ให้พรรคเหลี่ยมร้าย รัฐบาลยังไม่รู้สึกเดือดร้อน ทั้งๆ ที่ควรประกาศภาวะฉุกเฉิน ให้ทหารทุกหน่วยนำพาหนะและอุปกรณ์ต่างๆ มารับภารกิจกู้ภัย! หรือไม่ไว้ใจ กลัวทหารสวมรอย
      
        กรุงเทพฯ เป็นไข่แดง รอบนอกนั้นกำลังถูกคุกคามโดยน้ำเหนือไหลบ่ามา ตามสภาพของน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ เว้นแต่จะผันออกไปนอกเขตเศรษฐกิจสำคัญ ทำให้พื้นที่รอบนอกต้องรับเป็นผู้เสียสละโดยไม่คุ้มค่า และคนเมืองหลวงไม่รู้สึก
      
        ถ้ากรุงเทพฯ ต้องจมน้ำ เพราะกลไกต่างๆ นั้น “เอาไม่อยู่” คงไม่มีใครประหลาดใจ เพียงแต่ว่าจะนานเพียงใด ระดับของวิกฤติจะสร้างความเสียหายมากน้อยแค่ไหน
      
        เมื่อคนเมืองหลวงยังอยู่ดี รัฐบาลใจเย็น ชาวบ้านก็ไม่ตระหนักถึงความเสี่ยง ความยากลำบาก ถ้ากรุงเทพฯ อยู่ใต้น้ำเพียง 1 เมตรในบริเวณกว้าง! จะเป็นเมืองเน่าเหม็น ปัญหาการดำรงชีพจะกระจายไปสู่ชุมชนต่างๆ การขาดแคลนอาหาร ของยังชีพ
      
        นายกฯ ปู ออกแนวไร้เดียงสา อ้างไม่มีนโยบายเรื่องเปิดบ่อนกาสิโนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ แถมมีข่าวพ่อค้านักเก็งกำไรไปกว้านซื้อที่ดินผืนใหญ่ หวังโกยเงินรอบแรก
      
        นี่เป็นนโยบายตีกิน ตีเมืองขึ้นชัดๆ! เพียงแค่นักการเมืองเปิดปากเรื่องกาสิโน คนรู้ทันก็เห็นไส้เน่าเป็นขดๆ นี่คงนั่งรอพวกเจ้าของบ่อนในเขมร มาเก๊า สิงคโปร์ มาเลเซีย และพม่ามาจิ้มก้อง เอาขนมมาฝาก เพื่อกล่อมให้เลิกแผนตั้งบ่อน
      
        ตั้งได้เมื่อไหร่ บ่อนใกล้และไกลบ้านจะขาดรายได้จากลูกค้ารายใหญ่! ดังนั้น นักการเมือง พวกเปิดปากเรื่องเปิดบ่อน เตรียมเปิดบ้านรอรับกระเป๋าเงินจากนายบ่อนแล้ว! นี่เป็นการหาเงินแบบง่ายๆ เหมือนคำขู่ว่าจะตรวจคาเฟอีนในเครื่องดื่มชูกำลัง
      
        คนอะไร ทั้งโกงเก่ง หน้าด้าน ตะกละตะกลาม ไม่เสียชาติเอี้ยมาเกิดจริงๆ นิ! อิอิอิ!!! 

24 กันยายน 2554

ตอนมีอำนาจมั๊นก็เฉย กว่าอดีต รมว.ต่างประเทศจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร มันก็ปลดนายอัษฎา ชัยนาม ออกจากประธานคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) และปลดนายวีรชัย พลาศรัย ออกจากที่ปรึกษาไปแร้วเพราะบุคคลทั้งสองมีความรักชาติ

“กษิต” ย้ำ “ฮุนเซน” ทำผิดกฎบัตรอาเซียนแทรกแซงกิจการภายใน ไม่เคารพกฎหมายประเทศเพื่อนบ้าน คบ “ทักษิณ” ซึ่งเป็นนักโทษหนีคดี เย้ยจะคุยเพื่อไทย ญาติดี “แม้ว-ปู” คงไม่ได้พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร หรือพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลตามที่ต้องการ เพราะยังมีรัฐสภาและคนไทยอีก 60 ล้านคอยปกป้อง ไม่ใช้สมบัติของ 2 ครอบครัวที่จะมาปู้ยี่้ปู้ยำได้ 
      
       นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกแถลงการณ์ประณามตนให้อยู่บ้านดูแลตัวเอง และปฏิเสธไม่ได้แทรกแซงกิจการภายในประเทศไทยว่า พฤติกรรมที่สมเด็จฯ ฮุนเซนได้ทำมาตลอดเป็นการแทรกแซงกิจการภายใน และถือหางกลุ่มการเมืองอีกฝ่ายหรือไม่นั้น ตนอยากให้สมเด็จฯ ฮุนเซนได้ไปดูกฎบัตรอาเซียนและปฏิบัติตามด้วย เพราะสมเด็จฯ ฮุนเซน เป็นผู้ลงนามและผูกมัดตัวเองต่อประชาคมอาเซียนอีก 9 ประเทศ
      
       “การที่สมเด็จฯ ฮุนเซนจะคบหากับคนไทย โดยเฉพาะกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือบางคนที่มีข้อหาคดีอาญา ก็อยากให้กลับไปอ่านกฎบัตรของอาเซียนว่า ผู้นำประเทศต้องเคารพซึ่งกฎหมายเป็นสำคัญ การคบโจรเป็นสิ่งที่ผู้นำของประเทศที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนพึงกระทำหรือไม่ เพราะเป็นการสร้างความเจ็บปวดให้กับประชาชนคนไทย เป็นการไม่เคารพกฎเกณฑ์ เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย อยากให้สมเด็จฯ ฮุนเซนได้ปรับตัวเสียใหม่ด้วย”
      
       นายกษิตยังกล่าวอีกว่า การที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งมาเป็นรัฐบาล การเตะบอล หรือการเชิญอดีตนายกฯ ไปกล่าวสุนทรพจน์ ให้คำแนะนำว่าจะพัฒนาระบบเศรษฐกิจอย่างไร ทั้งหมดไม่ได้นำไปสู่การจะได้มาโดยมิชอบเป็นอันขาด การจะให้ได้พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลกเมตรไปฟรีๆ ไม่ใช่ว่าญาติดีกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือพ.ต.ท.ทักษิณแล้วจะได้พื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวตามความปรารถนา เพราะในรัฐสภาเรามีฝ่ายค้าน นอกสภาก็มีประชาชนชาวไทยอีกกว่า 60 ล้านคน หากสมเด็จฯ ฮุนเซนคิดเช่นนั้นก็คงจะเป็นความเข้าใจผิด ทรัพย์สมบัติของประเทศไทยก็เป็นของคนไทย ไม่ใช่เป็นทรัพย์สมบัติของ 2 ครอบครัวที่จะมาปู้ยี่ปู้ยำกันได้ ส่วนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล สมเด็จฯ ฮุนเซนก็ไม่ควรจะเพ้อฝันที่ดินบนบกและทางทะเลของไทย



======================================================
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปลดนายอัษฎา ชัยนาม ออกจากประธานคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) และปลดนายวีรชัย พลาศรัย ออกจากที่ปรึกษาว่า รู้สึกประหลาดใจเพราะบุคคลทั้งสองมีความรักชาติ ปกป้องผลประโยชน์ของชาติและยืนยันว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทยอย่างชัดเจน ที่สำคัญเป็นบุคคลที่ทางกัมพูชาไม่ชอบที่จะเจรจาด้วย
      
       “การที่นายสุรพงษ์บอกว่าสาเหตุการเปลี่ยนตัวเพราะงานไม่คืบหน้า อยากถามว่าที่ว่าไม่คืบคือ การขายชาติให้กัมพูชาหรือไม่ ผมไม่ทราบว่าทำไม่ถึงต้องโยกทั้งสองออกจากคณะกรรมาธิการ ทั้งที่รู้เรื่องเขตแดนที่สุด หรือเป็นเพราะว่าเป็นเรื่องยากที่ทั้ง 2 คนจะทำเพื่อประโยชน์ของกัมพูชา”
      
       นายชวนนท์กล่าวว่า กรณีของนายวีรชัยเคยมีปัญหาไม่เห็นด้วยกับจ๊อยคอมมูนิเก้ สมัยนายนพดล ปัทมะ เป็น รมว.ต่างประเทศ จนต้องถูกโยกออกจากอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ทำให้คนในกระทรวงต่างประเทศร่วมลงชื่อ เรียกร้องให้โยกนายวีรชัยกลับมา ซึ่งในที่สุดนายวีรชัยสามารถกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมได้ และในวันนี้กลับมีการถอนนายวีรชัย ออกจากคณะกรรมาธิการร่วม ทั้งที่ศาลโลกยังให้ทำงานอยู่ อีกทั้งนายวีรชัยดูเรื่องที่เกี่ยวพันกันอยู่แล้ว จึงมองเป็นทางอื่นไม่ได้นอกจากไปรับคำสั่ง คำบัญชาการมาจากพนมเปญหรือไม่
      
       “การเอาคนมีความรู้ความสามารถ รักชาติรักแผ่นดินออกมาจากการทำหน้าที่สำคัญ ทั้งที่นายสุรพงษ์ไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ ไม่ทราบว่าต้องการทำอะไร หรือเป็นเพราะว่ากระบวนการขายชาติ ปล้นแผ่นดินจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งหรือไม่”

18 กันยายน 2554

รถคันแรก ...เพื่อใคร?



โดย ชัยพันธุ์ ประภาสะวัต18 กันยายน 2554 15:16 น.
นึ่งในนโยบายลด แลก แจก แถม อย่างแหลกลาญของพรรคการเมือง เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงและอำนาจ คิดอะไรได้ก็จับยัดใส่เข้าไปก่อน ปัญหามีไว้แก้ค่อยว่ากันภายหลัง ขอให้มีอำนาจอยู่ในมือ คนใหญ่โตคับบ้านคับเมืองทุกวันนี้อยู่กันด้วยวาจาสับปลับ ตอนหาเสียงพูดไว้อย่าง พอเป็นรัฐบาลพูดอีกอย่างแล้วอ้างว่าเป็นเทคนิคหาเสียง จะให้ประชาชนเขาไว้ใจได้อย่างไรว่านโยบายทั้งหลายที่หาเสียงไว้จะทำนั่นทำนี่มิใช่เรื่องหลอกลวง เพราะมันเป็นเทคนิคหาเสียง
      
       การเมืองไทยเดินเข้าสู่ชะตากรรมที่เลวร้ายอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน คนต้องคดีร้ายแรง ขาดคุณสมบัติเป็น ส.ส.เป็นรัฐมนตรีก็ยังนั่งบริหารประเทศกันหน้าสลอน ข้าราชการที่เคยรับใช้นักการเมืองกันมาถูกคดีมากมาย บางรายศาลชี้มูลความผิดแล้วด้วยซ้ำ กลับตั้งขึ้นมาเป็นใหญ่เป็นโต อนาถแท้หนอประเทศไทย
      
       สัปดาห์ที่แล้วนโยบายที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมาก คือ การลดภาษีให้กับรถคันแรกของประชาชนที่มีเคยมีรถมาก่อน เอาเข้าจริงไม่ใช่ของง่าย เวลาหาเสียงพูดกันคล่องปาก แต่พอถึงเวลาทำจริง เพียงเรื่องเดียวมีปัญหา 108 รัฐบาลต้องหาภาษีจากที่อื่นมาเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท ทุกคนต้องช่วยกันจ่ายภาษีแทนคนที่มีรถคันแรกกระนั้นหรือ? ไม่มีคำตอบ เอาเข้าจริงกว่าจะได้เงินคืนต้องรอไปอีก 1 ปี หรือเงินผ่อนก็อีก 5 ปี แล้วถ้าผ่อนไม่ได้รถถูกยึดภาษีที่คืนไปแล้วต้องถูกตามเรียกเก็บ เก็บไม่ได้ก็จะถูกฟ้องร้องเป็นคดีความเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่โดนบริษัทไฟแนนซ์ฟ้องร้องคิดหนักหน่อยนะน้อง ถ้าอยากขี่รถของตัวเองแทนที่จะใช้ระบบขนส่งมวลชน
      
       สถิติที่สำรวจกันมาแล้วประมาณกันว่า ถ้าเอารถทุกคันที่มีอยู่ในประเทศไทยมาจอดเรียงกันบนถนน ถนนที่มีอยู่ภายในประเทศจะไม่สามารถรองรับรถได้ต้องต่อคิวกันยาวเหยียดเลยไปจนถึงประเทศสิงคโปร์ และอาจต้องจอดต่อกันในน้ำเลยไปถึงประเทศอินโดนีเซีย จะทำถนนเพิ่มอีกกี่สายก็ไม่พอให้รถวิ่งในกรุงเทพฯ เช้าเย็นรถติดกันจนชาชิน ทั้งถนนรอบนอกที่มุ่งเข้ากรุงเทพมหานคร เราไม่เคยมีแผนที่จะกระจายแหล่งงานออกไปอยู่นอกเมือง บ้านจัดสรรที่ผู้คนอยากมีบ้านหลังแรกก็มักจะกระจายตัวออกไปอยู่ชานเมืองรอบนอก แต่ที่ทำงานของทุกคนกลับกระจุกตัวอยู่กลางเมือง กว่าจะแย่งกันเข้าเมืองรถติดกันวินาศสันตะโร วิภาวดีฯ พหลโยธิน รัชดาภิเษก ราชพฤกษ์ ฯลฯ ติดกันจนผู้คนชาชิน ทุกชั่วโมงที่รถติดเราเผาผลาญน้ำมันที่ต้องซื้อเขามา โดยไม่ได้ระยะทางอะไรเลย เป็นมูลค่านับ 100 ล้านพันล้านบาท
      
       อีกสาเหตุหนึ่งที่รถติดก็คือ การจัดการจราจรที่ห่วยแตก เครื่องหมายการจราจรที่ไม่ถูกแก้ไข ที่สำคัญและเห็นกับตาตัวเองบ่อยครั้ง คือ การตั้งด่านลอยของตำรวจจราจรในหลายพื้นที่ ตรวจรถบรรทุก รถป้ายแดง มอเตอร์ไซค์ และไถเงินพอมีคนพูดก็โกรธว่าไม่จริง แต่วันก่อนก็เห็นกับตา ตั้งด่านกันแค่ 3 คน บนถนนบรมราชชนนีขาเข้า ห่างจากสถานีตำรวจนครบาล 7 เพียง 500 เมตร เจ้าหน้าที่เอากรวยมาขวางทางรถและเรียกตรวจกลางถนน โดยไม่มีนายตำรวจสัญญาบัตร และไม่ให้สัญญาใดๆ รถติดกันยาวบางคันเบรกตัวโก่งเกือบชนกัน ไหนคุยว่าเปลี่ยนผู้บัญชาการตำรวจคนใหม่ ทุกอย่างจะดีขึ้น วันหลังจะให้นักข่าวสถานีโทรทัศน์ เอาภาพด่านทั่วประเทศตั้งโดยผิดกฎหมายและรีดไถเงินมาประธานในสภาบ้าง ดูซิว่า ผบ.ตร.จะเปลี่ยนใหม่หรือไม่? ถ้าจัดการกับด่านเถื่อนไม่ได้ ผิดอะไรกับบ่อน
      
       ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยกลายเป็นผู้ชนะสงคราม การรถไฟญี่ปุ่นเริ่มต้นพร้อมๆ กับการรถไฟของประเทศไทย ญี่ปุ่นพัฒนาประเทศจนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก ระบบขนส่งมวลส่วนใหญ่เป็นรถไฟ ทั้งรถไฟธรรมดาและรถไฟความเร็วสูง เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังจัดให้มีระบบขนส่งสาธารณะด้วยรถเมล์ที่สามารถกำหนดเวลาถึงแต่ละป้ายได้ ความเป็นคนญี่ปุ่นและไทยไม่ต่างกัน แต่สำนึกเพื่อชาติและการมีจิตใจต่อสาธารณะนั้นต่างกัน โดยเฉพาะคนที่เป็นนักการเมือง
      
       ผมไปอยู่เกียวโตมาเกือบ 1 ปี เป็นเมืองที่น่าอยู่มากรถไม่ติดเลย ผู้คนยังคงใช้จักรยานกันทั้งเมือง มหาวิทยาลัยทุกแห่งเต็มไปด้วยรถจักรยาน มอเตอร์ไซค์ แทบไม่มีใครเห็นรถยนต์ ส่วนใหญ่ก็คันเล็กๆ เขาไม่บ้าแข่งขันมีรถกันเหมือนบ้านเรา ใครจะซื้อรถยนต์ต้องขออนุญาตสัญญาเช่า ที่นี่เป็นเมืองหลวงเก่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนทั่วโลก ประเทศที่ผลิตรถขายทั่วโลก กลับไม่ส่งเสริมให้ประชาชนใช้รถยนต์ส่วนตัวแต่สนับสนุนระบบขนส่งสาธารณะ
      
       เพื่อนผมเสียชีวิตและตั้งศพไว้ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน เลิกประชุมที่ สกว. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย) สนามเป้า เวลา 17.00 น. ขึ้นรถไฟฟ้าไปลงสถานีหมอชิต นั่งแท็กซี่ต่อเพื่อไปวัดเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง ยังไปไม่ถึงห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวเลย อีก 1 ชั่วโมงก็ยังไปไม่ถึงวัดต้องกลับบ้าน กรุงเทพฯ ไม่มีที่สำหรับรถยนต์อีกแล้ว ต้องห้ามจอดรถทุกสายใน กทม.รถอายุเกิน 15 ปี เข้ามาวิ่งในกทม. ไม่ได้ ใครจะมีรถต้องขออนุญาต ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลย ที่จะส่งเสริมให้คนมีรถส่วนตัวมากขึ้น เพื่อมาจอดติดบนถนน ต่างจังหวัดก็ไม่จำเป็น เราต้องหันไปใช้รถไฟฟ้าเพื่อหยุดยั้งการใช้น้ำมัน
      
       ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการส่งเสริมให้คนมีรถ คือ บริษัทรถยนต์ และนักการเมืองที่มีหุ้นส่วนอยู่เท่านั้น ประเทศไม่ได้อะไรเลย แถมยังต้องไปเก็บภาษีจากทุกคนมาโป๊ะให้คนที่ซื้อรถกลุ่มนี้ ขณะที่โลกกำลังประสบภาวะทางการเงินเรากลับสนับสนุนให้ประชาชนฟุ่มเฟือย อีกไม่นานก็คงออกสโลแกนประเภท ผัวคนแรก เมียคนแรก ลูกคนแรก และอย่าลืมแถมโลงใบแรกให้นักการเมืองอาวุโสในบ้านเราที่ไม่ยอมหยุดเสียที
        

09 กันยายน 2554

ผีโม่แป้งแข่งปั้นผลงาน...

โสภณ องค์การณ์
     
       คำพูดเปรียบเปรยที่ว่า “ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน” ไม่เพียงพอสำหรับการบรรยายสภาพบ้านเมืองยุคปัจจุบัน! น่าจะเป็นยุค “คนดีต้องหงอ คางคกขึ้นวอ ขี้ครอกครองเมือง” ตามด้วย “กระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยถอยจม” ฮ่า!
      
        หรือแค่นี้ยังน้อยไป เมื่อเห็นพฤติกรรมกร่าง ซ่าคับเมือง? ไม่ต่างจากพวกนักเที่ยวผับ บาร์ อาศัยตำแหน่ง บารมี ความเป็นกุ๊ย เบ่งคุกคามชาวบ้าน
      
        โดยธรรมชาติของคนทั่วไป ย่อมดิ้นรนพยายามยกระดับ ฐานันดรภาพของตัวเองให้ดีขึ้น เป็นการพัฒนา มีแต่ยุคนี้คนธรรมดากระสันเรียกร้องอ้างตัวเป็นไพร่ ต่ำชั้นหาเหตุเพื่อช่วงชิงอำนาจจากกลุ่มชนระดับอำมาตย์ เสนาบดี
      
        หรือจะมองอีกมิติหนึ่งคือสภาพเดิมเป็นเพียง “ขี้ครอก” อยากยกระดับตัวเองให้เทียบชั้นเสมอไพร่! เพราะขี้ครอกนั้นคือ “ลูกไพร่” ต่ำชั้นกว่า
      
        ยุคนี้เราจึงเห็นไพร่ หรือลูกขี้ครอกยกระดับเป็นอำมาตย์ แต่งเครื่องแบบ ใส่สูท วางก้าม ยกระดับชีวิตให้สุขสบายร่ำรวย หลังจากเสี่ยงภัยรับบทผีโม่แป้งให้เหลี่ยมร้าย นายทาสยุคทุนนิยมจ้างคนปลุกระดมมวลชนทำลายแผ่นดินเกิด
      
        ขี้ครอกหรือไพร่ได้รับการแต่งตั้งจากผีโม่แป้งระดับนายงานให้เข้ายึดครองตำแหน่งต่างๆ ในกระทรวง หน่วยงานของรัฐ! แกนนำไพร่แดงได้แปรสภาพเป็นผู้ทรงเกียรติในสภาฯ 500 กลายเป็นแหล่งชุมนุมคนถ่อยเถื่อนสถุล
      
        เป็นสภาพ “คางคกขึ้นวอ” “หมาคอตั้งนั่งเกวียนให้วัวลาก” ฮ่า!
      
        เมื่อได้อำนาจ จึงเร่งใช้ ไม่คำนึงถึงกฎระเบียบ ธรรมเนียม จารีตประเพณีแนวทางปฏิบัติ เหมือนยุค “คนเถื่อนบุกกรุงโรม” หรือ “Barbarians at the gates” 
      
        เมื่อใช้อำนาจปราศจากคุณธรรม ศีลธรรม หลักการ ไม่เห็นประชาชนอยู่ในสายตา ย่อมเกิดความเสื่อม แต่ความผยอง ลำพอง ทำให้สายตามืดมัวเมา นึกว่าอำนาจวาสนาจะจีรังยั่งยืน พยายามอุดช่องโหว่ ไม่ให้พลาด จนถูกไล่ตกเก้าอี้
      
        เหมารวมว่ามวลชนแดงคือพลังประชาชนแท้จริง! หารู้ไม่ว่าของจริง ของแท้คือเสียงส่วนใหญ่ของคนในประเทศ ไม่ใช่คนเสื้อแดงไม่กี่แสนคน แล้วทึกทักว่าพวกอยากได้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน เงินเดือน 15,000 บาท คือพลังแดง!
      
        ป่านนี้น่าจะรู้แล้วว่า “สัญญาไม่เป็นสัญญา วิธีเล่นลิ้น ใช้เทคนิคการหาเสียงแบบกะล่อนทอง 18 มงกุฎนั้น ทำให้ชาวบ้าน เหยื่อนักต้มตุ๋นตาหูสว่าง
      
        ความคั่งแค้น เจ็บใจ ของคนเสียรู้ โดนหลอก รุนแรงเสมอ! ความกร่าง ผยองอำนาจ แสดงออกโดยนักการเมือง เหมือนดุ้นฟืนเติมเชื้อไฟทุกวัน!
      
        การย่ำยี โยกย้ายข้าราชการปราศจากระบบคุณธรรม ใช้ข้ออ้างตอแหลสารพัด อ้างว่า “ไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่นโยบาย” เป็นตัวเร่ง! โห! ไม่ใช่นโยบาย ยังเหิมเกริม เย้ยฟ้าท้าดินถึงเพียงนี้ ถ้าประกาศเป็นนโยบาย จะไม่หนักข้อกว่านี้เรอะ!
      
        การใช้กฎหมายผสมวิชาศรีธนญชัยศาสตร์เร่งช่วยเหลือเหลี่ยมร้ายให้พ้นจากโทษจำคุก อยู่เหนือกฎหมาย ทำให้ประชาชนเห็นแววระบบทรราช! ถ้ากระชับฐานอำนาจ ยึดกุมกำลังทุกระดับ บ้านเมืองคงอยู่ไต้ตีนคนไม่กี่ตระกูล
      
        ขุนคลังผีโม่แป้งมาจากไหน! จู่ๆ จะเอาเงินกองทุนสำรองระหว่างประเทศ เงินคลังหลวงไปตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่ง! เริ่มแรกคณะรัฐมนตรีต้องขายทรัพย์สินส่วนตัว ครอบครัว ชักชวนให้ ส.ส. พรรคเพื่อเหลี่ยมร้ายลงทุนด้วย
      
        จะยอมมั้ย! ถ้าได้กำไรแล้ว ก็เจียดเงินกองทุนสำรองไปลงทุนได้!
      
        ยุคขี้ครอก ผีโม่แป้งทาสน้ำเงินเหลี่ยมร้ายครองเมืองแสดงให้เห็นเจตนาร้ายชัดเจน ไม่กี่วันหลังจากกุมอำนาจรัฐ ก็เร่งทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว พวกพ้อง!
      
        ผู้นำกลวงส่งเสียงเจื้อยแจ้วขอโอกาสได้ทำงาน อ้างความไร้เดียงสา ละอ่อนการเมือง แต่ปล่อยอำนาจให้บรรดาผีโม่แป้งเดินหน้าเต็มสูบ! ฮ่า! โชว์ฟอร์มอหังการได้ไม่กี่ก้าว หัวหน้าทีมเริ่มไปไม่เป็น ชาวบ้านนับวันถอยหลังให้ซะแล้ว
      
        แม้แต่แกนนำแดงกะโหลกใสใบหน้าหนายังรู้ชะตากรรมดีว่าหลังจาก 5 ธันวาคมจะมีเครือข่ายกลุ่มผู้มีบารมีอำนาจแฝงเร้นจ้องเล่นงานให้พ้นอำนาจ! จะโทษใครได้เล่า ก็เข้ามาด้วยอัตราเร่งทุกรายการต้องจ่าย 40 เปอร์เซ็นต์นี่ !
      
        แกนนำไพร่แดงกำลังลิ้มรสชาติชีวิตอำมาตย์ สนุกสนานกับสิทธิพิเศษเหนือประชาชน กินเงินเดือนภาษี แต่รับใช้เพียงเจ้าของคอกผีโม่แป้งเท่านั้น
      
        คำถามที่ยังหาคำตอบรวบยอดไม่ได้คือ “เป็นเพราะการขาดจิตสำนึกด้านผิดชอบชั่วดี มีความโลภใช่หรือไม่ ทำให้ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ กินเงินเดือนหลวงจนเกษียณเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เนรคุณชาติบ้านเมือง ยอมเป็นผีโม่แป้ง” 
      
        การดันทุรังหาช่องทาง รูหมาลอด ด้านกฎหมายช่วยเหลือเหลี่ยมร้ายให้ได้รับอภัยโทษเป็นความทุเรศของขบวนการผีโม่แป้งจอมตะแบงแหลเข้าไขกระดูก
      
        ท่าที คำพูดมุ่งกดดันสถาบันหลัก แต่ปากอ้างว่าเป็นพระราชอำนาจ!
      
        ยุทธศาสตร์แยกกันหากิน ผลสุดท้ายส่งรายได้เข้าศูนย์รวม ยังเป็นวิธีการเดิมๆ! ผีโม่แป้งทำหน้าที่ได้รับมอบหมาย จะเม้ม ซุกไว้ส่วนตัวไม่ได้! โดนจับได้ไล่ทันมีหวังหลุดจากเก้าอี้ กลายเป็นหมาหัวเน่า ข้อหาบังอาจอมของโจร
      
        อีกคำถามคือ “จะไปแบบไหน เมื่อไหร่ ศพสวยหรือไม่” ให้บ้านเมืองพ้นจากบ่วงเวร สิ้นกรรม! รู้เพียงแต่ว่า “ไม่ช้าก็เร็ว” เท่านั้นนิ! อิอิอิ!!! 

31 สิงหาคม 2554

บทสรุปพลังงานอ่าวไทย-กัมพูชาของใคร


โดย ดร.รักไทย บูรพ์ภาค31 สิงหาคม 2554 19:10 น.

       ดร.รักไทย บูรพ์ภาค : ที่ปรึกษาประจำสำนักงานใหญ่ธนาคารโลกด้านนโยบายพลังงาน/สิ่งแวดล้อม และรองผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลด้านพลังงานมหาวิทยาลัย MIT สหรัฐอเมริกา
      
       วัสดีอีกครั้งทุกๆ ท่าน อาทิตย์นี้ผมอยู่เมืองวอชิงตัน ดี.ซี. มีเหตุการณ์ภัยธรรมชาติมากมาย ไหนจะแผ่นดินไหว ไหนจะพายุเฮอริเคนเข้า ก็ต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ ทุกๆ ท่านก็ต้องรักษาตัวด้วยเพราะตอนนี้ที่เมืองไทยก็เหมือนว่าจะเข้าช่วงฤดูฝนแล้ว รักษาตัวด้วยนะครับทุกท่าน
      
       กลับมาเรื่องที่ผมสัญญาว่าจะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องแหล่งพลังงานพื้นที่ทับซ้อนนี้ ก่อนอื่นบอกก่อนว่าทุกท่านต้องทำใจเป็นกลางแล้วมองตามภาพข้างล่าง สองภาพนี้
       มองกันตามข้อมูลนี้ ผมได้มาจากกระทรวงพลังงานภายในของสหรัฐอเมริกา (U.S. Department of the Interior ซึ่งดูแลด้านนี้) ข้อมูลอันนี้ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับแหล่งพลังงานในภูมิภาคของเราตามรูปเลย ถ้ามองคร่าวๆ ตามตะเข็บชายแดนบริเวณไทย-กัมพูชาจะเห็นว่ามันอยู่ในแหล่งพลังงานใต้พิภพที่เรียกว่า (Thai Cenozoic Basins)??? หมายความว่ายังไง หมายความว่าแหล่งพลังงานบนพื้นที่ทับซ้อนถ้าดูจากข้อมูลทางธรณีวิทยาที่เห็นก็ต้องบอกว่าเป็นแหล่งพลังงานของไทย ท่านผู้อ่านพอจะเห็นภาพหรือยังว่าคราวนี้ถ้าเรามองย้อนกลับแล้วจะเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์พื้นที่ทับซ้อนในช่วง 2-3 ปีนี้ หรือไม่ขอตั้งข้อสังเกตว่า
      
       1. ถ้าการที่จะมีข้อมูลของสหรัฐอเมริกามาตีพิมพ์เรื่องนี้เมื่อปีที่แล้วเป็นไปได้ หรือไม่ว่าข้อมูลดิบน่าจะมีก่อนหน้านี้ถึง 3-4 ปีแล้ว
      
       2. เป็นอีกหนึ่งเหตุผลหรือเปล่าที่ทางกัมพูชาพยายามทำให้พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนแล้วทางเขาจะได้ผลประโยชน์ด้วยซึ่งทางฝั่งเขาไม่น่าจะมีสิทธิแต่แรก
      
       คราวนี้เพื่อความชัดเจน ผมเขียนจดหมายไปถึงผู้ที่จัดทำข้อมูลชุดนี้ที่ทำงานอยู่ที่กระทรวงพลังงานภายในของสหรัฐอเมริกา ผลปรากฏว่าทางเขาไม่ตอบอะไรเลย (ปกติติดต่ออะไรเขาตอบเสมอ) อาจจะเป็นเพราะว่าทางอเมริกาไม่อยากยุ่งหรือว่ามีบริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกาเข้าไปเอี่ยวกับทางฝั่งกัมพูชารึป่าวอันนี้ผมไม่ทราบ... แล้วจากข้อมูลที่ได้ประเด็นข้อตกลงเรื่องนี้ควรจะเป็นอย่างไรซึ่งก่อนหน้านี้มีผู้ใหญ่ประจำกระทรวงบอกว่า “แบ่งพลังงานอ่าวไทยเขมรวิน-วิน 50:50 ตรงพื้นที่ทับซ้อนใกล้ฝั่งใครเอาไป 80:20” วิน-วินจริงรึครับ?? 
      
       ถ้าจากข้อมูลชุดนี้ ท่าทางว่าฝั่งกัมพูชาเขาจะวินอย่างเดียวละครับเนี่ย เพราะทางเขาไม่มีสิทธิ์ตั้งแต่แรกแล้วมันควรจะเป็นอย่างไรละ ถ้าถามผมโดยยึดผลประโยชน์ของชาติไทบเป็นหลักและอิงตามสากลควรจะเป็นอย่างนี้
      
       1. แหล่งน้ำมันฝั่งใครของประเทศนั้น เราก็คงไม่อยากไปเอาของเขาอยู่แล้ว
      
       2. บนพื้นที่ทับซ้อนไทยต้องไม่ต่ำกว่า 80% เพราะเป็นแอ่งพลังงานของเราแต่แรก แต่เข้าใจว่ากลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนเราอาจจะต้องให้เขาบ้างเพื่อจะได้มีการนำพลังงานมาใช้ทั้งสองฝ่าย โดยต้องเปิดเผยข้อมูลการขุดเจาะทั้งสองฝ่าย (ในกรณีที่เรามีข้อมูลทุกอย่างพร้อม และตัดสินใจจะนำพลังงานมาใช้)
      
       3. แหล่งน้ำมันบริเวณฝั่งกัมพูชาเนื่องจากว่าอยู่ในแอ่งเดียวกับเรา (Thai Cenozoic Basins) เขาต้องรายงานข้อมูลการขุดเจาะรวมถึงวันที่จะเจาะในรัศมี 4-5 กิโลเมตรนับจากเขตแดนทางกัมพูชาไปในประเทศกัมพูชา และจะต้องได้รับความเห็นชอบจากเราในกรณีที่หลุมเจาะใกล้เขตแดนระหว่างประเทศในระยะ 4-5 กิโลเมตรทำไมต้องเป็นแบบนี้??? เพราะป้องกันทางฝั่งกัมพูชาใช้เทคโนโลยีในการเจาะมาลักลอบเอาน้ำมันของเรา เพราะปัจจุบันมีเทคโนโลยีการเจาะแบบแนวนอน (Horizontal Drilling) ซึ่งแต่ก่อนมีแบบแนวตั้งแบบเดียว (Vertical Drilling) และช่วงท่อแนวนอนนี้สามารถยึดไปได้ประมาณ 3-4 กิโลเมตร ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีบางประเทศนำไปใช้ในการลักลอบน้ำมันใต้ดิน (บางแหล่งชั้นน้ำมัน Connect กันหมด) และรัฐบาลเรารวมไปถึงคนไทยเราต้องรู้ทันด้วย ตามรูปประกอบจาก Internet ข้างล่าง
       ซึ่งข้อตกลงนี้ก็ต้องให้นักกฎหมายและนักธรณีวิทยามาดูด้วย เพราะผมพูดในเชิงนโยบายและประสบการณ์ของผมด้านพลังงานและขุดเจาะน้ำมัน สุดท้ายนี้ผมเชื่อว่าถ้าคนไทยเราสามัคคีกันผลประโยชน์ต้องตกเป็นของคนไทยแน่นอน ดูอย่างทีมวอลเลย์บอลหญิงของเราสิเป็นตัวบอกได้ดีเลยครับ ผมขอฝากข้อมูลหรือบทความนี้ไปถึงคนไทยทุกคนและรัฐบาลใหม่ด้วย ขอขอบคุณครับ

19 สิงหาคม 2554

สอดแนมการเมือง

       โดย...ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
      
       การเมืองเรื่องทักษิณ-ปู-มาร์ค-พันธมิตรฯ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย! 
      
       ทักษิณ-ปู-มาร์ค-พันธมิตรฯ เป็นกลุ่มคนในประวัติศาสตร์ยุคนี้ ที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ในหน้าการเมืองไทยต่อไป โดยไม่มีใครรู้ล่างหน้าว่า..บทสุดท้ายจะจบลงเมื่อไหร่-อย่างไร?
      
       ทั้งหมดเป็นเรื่องราวคนไทย ที่อาศัยการเลือกตั้งผสานกับการใช้เงินซื้อเสียง เข้ายึดอำนาจรัฐเพื่อโกงกินบ้านเมือง ขณะที่คนไทยอีกกลุ่มที่รักชาติ กลับผนึกกำลังต่อสู้กับคนชั่วร้าย เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และประชาชนคนไทยอย่างกล้าหาญ แม้จะต้องบาดเจ็บล้มตายก็มิได้เกรงกลัวใดๆเลย
      
        ประวัติศาสตร์“ฉบับกระเป๋า”นี้ เริ่มต้นที่คนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร รวยแล้ว..ยังอยากรวยล้นฟ้าและอยากมีอำนาจท่วมแผ่นดินไทย
      
        ทักษิณ-เกิด-เติบโตกลางวงล้อมทางการเมือง ด้วยพ่อและญาติพี่น้องเป็นนักการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่น ทักษิณจึงรู้ว่า..ช่องทางการเมืองทำให้ผู้คนรวยได้ชั่วพริบตา
      
        ทักษิณ-จึงทำทุกวิธีการทั้งลับและเปิดเผย เพื่อสร้างความรวยให้กับตนเอง จนในที่สุด..ทักษิณก็รวยสมใจจากธุรกิจโทรคมนาคม รวยนับพันล้าน-หมื่นๆล้าน แต่ก็ยังอยากรวยมากกว่านั้นอีก ทักษิณจึงให้เงินนับร้อยๆล้านกับนักการเมือง เพื่อแลกกับการได้ธุรกิจไอทีต่างๆเพิ่มขึ้น แต่ทักษิณ..ก็ยังไม่พอใจอยู่ดี เพราะนักการเมืองที่ทักษิณให้เงินหนุน มักทำงานไม่ได้ดังใจหรือบางโครงการไม่เข้าเป้าหมาย และบางคราก็ช้าจนเสียงานไม่เหมือนทักษิณทำเอง..จริงไหม?
      
       ทักษิณ-ได้เป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมต่อจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ทว่าทักษิณไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อีกทั้งยังเกิดความขัดแย้งขึ้นภายในพรรค จนทักษิณต้องทิ้งพรรคพลังธรรม
      
        ทักษิณ-ลงทุนควักเงินตั้งพรรคไทยรักไทย ซื้อ ส.ส.เกรดเอเข้าพรรค พร้อมๆกับการสร้างกระแส“ทักษิณฟีเว่อร์” เข้าปะทะทางการเมืองกับ“ชวน หลีกภัย” นายกรัฐมนตรีที่บริหารชาติราว “เรือเกลือ”จนได้ฉายา“ชวน เชื่องช้า”
      
       เมื่อ“ชวน”ยุบสภา..ทักษิณก็แจกจ่าย“กระสุนพิเศษ”ให้ ส.ส.พรรคตนลงสนามเลือกตั้งทันที งานนั้น..ทักษิณจึงชนะ“ชวน”ท่วมท้นเป็นประวัติการณ์
      
       ทักษิณ-ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจ
      
       ทักษิณ-หลงในอำนาจจนเหิมเกริม
      
       ทักษิณ-ทำทุกอย่างตามใจตน ด้วยข้ออ้างว่า..รัฐบาลข้าฯ มาจากการเลือกตั้ง ประชาชนมอบอำนาจให้ทำอะไรก็ได้ตามใจฉัน
      
       ทักษิณ-ไม่สนใจเรื่องถูก-ผิด-อะไรควร-ไม่ควร-ไม่แยแสเสียงค้าน-ไม่สนใจการต่อต้าน ฯลฯ
      
       ทักษิณ-ใหญ่คับฟ้า-อยากได้ผลประโยชน์อะไร-ต้องได้ อยากทำอะไร-ทำ!
      
       ทักษิณ-ไม่สนใจมาตราฐานที่ถูกต้อง สังคมจึงเต็มไปด้วยความอยุติธรรม ใครรับใช้ทักษิณกับลูกเมียและพรรคพวก จะได้ดิบได้ดีได้เลื่อนตำแหน่งข้ามหัวข้ามกระทรวง แทบทุกเรื่องที่ทักษิณทำ-เต็มไปด้วย 2 มาตราฐานบ้าง 3 มาตราฐานบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไร้มาตราฐานที่ดี!
      
       ยุคนั้น..มิใช่ใหญ่คับฟ้าแค่ทักษิณ-ลูก-เมียเท่านั้น แต่พรรคพวก-ลูกกะโล่-ลูกสมุน-ข้าทาสบริวารทักษิณมากหน้าหลายตา ทั้งหัวหงอก-หัวดำ-หัวเถิก-หัวล้าน-ทั้งอ้าย-ทั้งอี ก็พลอยวางก้ามใหญ่คับฟ้าไปด้วย
      
        ต่อมา..รัฐบาลทักษิณเลยโดนกล่าวหาว่า..คอร์รัปชั่นกันตรึม และมีขบวนการ“ล้มเจ้า”ทั้งลับและเปิดเผย แถมคนล้มเจ้าบางคนยังไกล้ชิดหรือทำงานกับทักษิณอีกด้วย
      
        เฮ้อ..ฟ้าให้“ทักษิณ”มาเกิด แต่โชคดีที่ฟ้าก็ให้“สนธิ-พล.ต.จำลอง-พิภพ-สมเกียรติ์-พันธมิตรฯ”ผู้กล้าหาญทั้งหลายมาเกิดด้วย
      
        พันธมิตรฯ จึงเป็น“นางเอก-พระเอก”ยกพลออกมาสู้กับ“ผู้ร้าย” ห้วงนั้น..ทักษิณปั่นป่วนกับเหตุการณ์พรรคไทยรักไทยโดนยุบ จึงตั้งพรรคพลังประชาชนมาแทนที่ แต่สุดท้าย..รัฐบาลทักษิณก็โดนคณะนายทหารรัฐประหารโค่นล้มลง
      
       ทว่า..ทักษิณโชคดี..ด้วยเป็นเกมตัดอำนาจแค่ชั่วคราว เพราะคณะทหารได้ตั้งรัฐบาลที่อ่อนแอ จึงไม่ได้“ถอนพิษ”ระบอบทักษิณโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แถมรัฐบาลทหารที่ไร้เดียงสาทางการเมือง ยังเร่งให้มีการเลือกตั้งโดยไม่มีการปฏิรูปการเมือง ทำให้ทักษิณที่เสียเปรียบพลิกกลับมาได้เปรียบทางการเมืองทันที
      
        เลือกตั้งปี 2550 สมัคร สุนทรเวช ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ทักษิณยังเดินย่ำซ้ำรอยเดิม-ยังใช้อำนาจรัฐอย่างอธรรม ยังมีการคอร์รัปชั่นอย่างโจ๋งครึ่ม ที่สำคัญ..ขบวนการ“ล้มเจ้า”ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แม้แต่ในรัฐบาลสมัครยังบังอาจตั้ง“เจ๊เพ็ญ” ที่เป็นหนึ่งในแกนนำ“คนล้มเจ้า”ให้เป็น รมต.อีกด้วย
      
        พันธมิตรฯ จึงออกมาต่อสู้กับทักษิณ ที่ชักใยรัฐบาล“สมัคร-สมชาย”อย่างต่อเนื่อง พันธมิตรฯ นั้น..ต่อสู้อย่างสันติอหิงสา แต่รัฐบาลนอมีนีทักษิณกลับเข่นฆ่าพันธมิตรฯ จนบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย
      
        สุดท้ายนายทหารกลุ่มหนึ่งก็ปฏิบัติการพลิกขั้วทางการเมือง “สมชาย”น้องเขยทักษิณหลุดจากตำแหน่งนายกฯ มาร์ค-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกฯแทน แต่รัฐบาล“มาร์ค”ก็ไม่ต่างจากรัฐบาลทหาร คมช.อ่อนแอ-ขี้ขลาด-ไม่ยอมล้าง“พิษร้าย”ของระบอบทักษิณเช่นกัน
      
        ทักษิณ-จึงใช้เงินจ้าง“คนกับผี-โม่แป้ง”ทันที กองกำลังคนเสื้อแดงสู้อย่างเปิดเผย ในขณะที่กองกำลัง“ผี-เสื้อดำ”ติดอาวุธสงครามสู้แบบลับๆล่อๆ โดยมีทักษิณพูดปลุกระดมผ่านวีดีโอลิงค์อย่างเป็นระบบ
      
       ทักษิณ-บงการพลพรรคเสื้อแดงบุกล้มการประชุมอาเซี่ยน เผาบ้านเผาเมือง-ก่อจลาจลเข่นฆ่าทหาร และผู้คนจนตายและบาดเจ็บนับพันๆ คน
      
       ส่วนทางชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาล“มาร์ค”ก็ปล่อยให้ทหารเขมรฮุนเซนยึดครองแผ่นดินไทย โดยรัฐบาล“มาร์ค”ทำตัวเสมือนจงใจสมยอม เสียเปรียบเขมรฮุนเซนในทุกเรื่อง-ทุกด้านไม่เคยคิดขับไล่ทหารเขมรออกจากดินแดนไทยเลย
      
        เมื่อ “มาร์ค” ยุบสภา ทักษิณ-ก็อาศัยความอ่อนแอและไร้ผลงานของรัฐบาล“มาร์ค” ช่วงชิงเอาชัยชนะอย่างท่วมท้นบนสนามเลือกตั้ง ปี 2554 ทักษิณ-ก็ยึดอำนาจรัฐได้อีกครา
      
        ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวคนเล็กที่อ่อนหัดทางการเมือง ได้ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของชาติไทย ก่อกำเนิดรัฐบาล“ปูแดง1”ที่ทักษิณเป็นคนตั้ง รมต.แทบทั้ง ครม.
      
       รัฐบาล“ปูแดง1”ยังไม่ได้แถลงนโยบายให้รัฐสภารับรอง แต่ใครบางคนในรัฐบาลปูก็ทำผิด ด้วยการชิงแซงหน้าทำงานไปก่อนเสียแล้ว
      
        สรรพากร-ประกาศคืนเงินภาษีให้ลูกชาย-ลูกสาวของทักษิณทันที โดยสรรพากรอ้างว่า..ได้แจ้งเรื่องนี้ให้รัฐบาล“มาร์ค”รู้มานานนับปี แต่รัฐบาล“มาร์ค”เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่มีการสั่งการอะไรกับสรรพากรเลย อืม..พิลึกและทะแม่งๆยังไงพิกลนะ“มาร์ค-เทือก”!
      
        ทักษิณ-ส่ง“ม้าใช้-ดร.ปึ๋ง”ในฐานะ รมต.ต่างประเทศ เปลี่ยนฐานะ“นักโทษชายทักษิณ”ให้กลายเป็น“นายกรัฐมนตรีทักษิณ” เพื่อเดินทางบนโลกใบนี้ได้อย่างอิสระเสรีราวไม่มีความผิด
      
        ทักษิณ-เดินทางเข้าประเทศเยอรมันนีและญี่ปุ่น โดยรัฐบาล“ปู”พูดราวกับไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย แต่ทางการญี่ปุ่นได้เปิดเผยว่า “ดร.ปึ๋ง”ของนายกฯ“ปู”นั่นแหละ ที่ติดต่อให้ทักษิณบินปร๋อเข้าประเทศญี่ปุ่นสบายบรื๋อ..
      
        “ปูจ๋า” เลยถูกจับโกหกได้คาหนังคาเขา..ก็ท่านนายกฯ หญิงโกหกไม่เนียนนี่นา..!
      
        “มาร์ค” ก็ถูกจับโกหกได้คาหนังคาเขาเช่นกัน เพราะอดีตนายกฯ เคยโม้ว่า..ได้ออกหมายจับทักษิณไปทั่วโลกแล้ว แต่“อินเตอร์โพล”ได้ฉีกหน้า“มาร์ค”ดังแคว๊ก เพราะ“ตำรวจสากล”บอกไม่เคยมีหมายจับนักโทษชายทักษิณโปรยปรายออกไปยังโลกใบนี้เลยครับ
      
       เฮ้อ..ฤาคนไทยทั้งชาติถูก“มาร์ค-เทือก”ลวงหลอกมาเป็นปี..!
      
        เรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ หรอก เพราะ“มาร์ค-เทือก”ยังมีเรื่องไม่ชอบมาพากลอีกมากมาย เช่น เวลา 2 ปี 8 เดือน..ไฉนใย“มาร์ค-เทือก”ถอดยศ“พ.ต.ท.”ของทักษิณไม่ได้ ซึ่ง“มาร์ค-เทือก”ให้เหตุผลกับสังคมไทยไม่ได้จนบัดนี้ เอ..ฤาทักษิณใช้อะไรอุดปาก“มาร์ค-เทือก”หรือเปล่า..หือ..?
      
       ความลับไม่มีในโลก..ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม ที่ทั้งทักษิณ-ปู-มาร์ค-เทือก-โกหก หรือพูดอย่างทำอย่างอีกหรือเปล่า??? 

31 กรกฎาคม 2554

โถใครจะเชื่อ ว่าไทยผลิตน้ำมันเป็นอันดับที่ 33 ของโลกแล้ว!



โดย ประสาท มีแต้ม31 กรกฎาคม 2554 14:28 น.

       หลังจากได้รวบรวมความคิดและวิธีการนำเสนอแล้ว สิ่งแรกที่ผมนึกถึงคือเนื้อเพลงลูกทุ่งยอดนิยม “สามสิบยังแจ๋ว” ของ ยอดรัก สลักใจ ที่ว่า “โถใครจะเชื่อว่าแม่บุญเหลืออายุมากแล้ว สามสิบยังแจ๋ว แจ๋วเสียจนน่าจีบ”
      
       ในที่นี้ก็คือว่า “โถใครจะเชื่อว่าไทยผลิตน้ำมันเป็นอันดับที่ 33 ของโลกแล้ว ใกล้เคียงกับประเทศเอกวาดอร์ ประเทศสมาชิกกลุ่มโอเปก”
      
       ข้อมูลข้างต้นมาจากรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง “ธรรมาภิบาลในระบบพลังงานของประเทศ” ของวุฒิสภาที่มี คุณรสนา โตสิตระกูล เป็นประธานคณะกรรมาธิการศึกษาฯ
      
       การส่งออกพลังงาน (ทั้งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป และคอนเดนเสท-ปิโตรเลียมเหลวที่ได้จากการเจาะก๊าซธรรมชาติ) ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงประมาณสิบปีมานี้ โดยที่ปี 2544 เป็นปีแรกที่เราเริ่มส่งออกน้ำมันดิบ และในอีก 3 ปีต่อมาเราก็เริ่มส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป สำหรับคอนเดนเสทนั้นมีการขนใส่เรือไปขายมาตั้งแต่เริ่มเจาะก๊าซในอ่าวไทยเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว
      
       มูลค่าการส่งออกพลังงานในปี 2551 เท่ากับ 9,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยในขณะนั้นก็ประมาณ 3.2 แสนล้านบาท (ตอนนั้น 33 บาทต่อดอลลาร์) ในขณะที่ประเทศเอกวาดอร์ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มโอเปก (กลุ่มที่มีสมาชิก 12 ประเทศ ซึ่งมีแหล่งน้ำมันดิบรวมกันเท่ากับ 79% ของโลก) มีการส่งออกพลังงานมากกว่าไทยเราเพียงนิดเดียวเท่านั้น
      
       ถ้าพูดถึงการผลิตก๊าซธรรมชาติที่เราถูกโฆษณาว่าจะ “โชติช่วงชัชวาล” ตั้งแต่สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เอกสารของวุฒิสภาชิ้นนี้ระบุว่า ประเทศไทยเราผลิตก๊าซธรรมชาติได้เป็นอันดับที่ 27 ของโลก มากกว่า 2 ประเทศของสมาชิกกลุ่มโอเปก คือ ลิเบีย (ซึ่งสหรัฐอเมริกาเข้าไปแทรกแซงในสงครามกลางเหมือง) และคูเวต (ซึ่งสหรัฐอเมริกาหวงยิ่งนัก) เสียด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับมูลค่าการส่งออกข้าวหรือยางพารา (ในปี 2551) พบว่าเราส่งน้ำมันมากกว่าครับ
      
       ผมถามจริงๆ นะครับว่า มีท่านผู้อ่านสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่ได้ทราบความจริงเรื่องนี้มาก่อน ถ้าอย่างนั้นคงเห็นด้วยกับผมนะครับว่าเราต้องร้อง โถใครจะเชื่อ …
      
       อย่างไรก็ตาม มูลค่าในการส่งออกพลังงานดังกล่าว ไม่ได้หมายความว่าเป็นพลังงานที่ผลิตได้ในประเทศไทยทั้งหมด เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนสักนิดครับ ผมขออธิบายโดยย่อดังนี้ (1) มูลค่าพลังงานที่ส่งออก 90% เป็นน้ำมันสำเร็จรูป อีก 10% เป็นน้ำมันดิบที่ขุดในประเทศไทย (2) น้ำมันสำเร็จรูปส่วนใหญ่ใช้น้ำมันดิบจากการนำเข้า มีบางส่วนเป็นน้ำมันดิบที่ขุดในบ้านเราเอง
      
       อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า ยอดการส่งออกพลังงานเป็นการนับรวมทั้งน้ำมันสำเร็จรูปที่ใช้น้ำมันดิบทั้งจากการนำเข้าและจากการขุดในประเทศ รวมทั้งการส่งออกน้ำมันดิบที่เจาะจากประเทศไทยด้วย
      
       ดังนั้น เมื่อพูดถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าของประเทศ (ที่มีมูลค่าประมาณถึง 70% ของจีดีพี) แท้ที่จริงแล้วเป็นการส่งออกสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจากนำเข้า มูลค่าการส่งออกจึงไม่ได้สะท้อนความมั่งคั่งของคนในประเทศ เราจึงอย่าไปหลงดีใจกับตัวเลขหลอกๆ รวมทั้งแนวคิดลวงโลกเรื่องจีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติด้วย
      
       ถ้าเราอยากจะทราบว่า ประเทศไทยเราผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ (ที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม และใช้ในอุตสาหกรรมรวมทั้งรถยนต์) ว่ามีมูลค่าปีละเท่าใด ก็ต้องสืบค้น แต่เนื่องจากผมไม่ทราบข้อมูลจึงขอคิดย้อนกลับจากข้อมูลในตารางที่ 6.1-6 ของกระทรวงพลังงาน เรื่องรายได้ของรัฐบาลจากค่าภาคหลวง
      
       พบว่าในปี 2553 รัฐบาลได้ค่าภาคหลวงจากกิจการปิโตรเลียมจำนวน 44,713 ล้านบาท ซึ่งค่าภาคหลวงหรือค่าสัมปทานนี้มีอัตราประมาณ 12.5% ของมูลค่าปิโตรเลียมที่ผลิตได้ทั้งหมด ดังนั้นเราสามารถคำนวณได้ว่า มูลค่าปิโตรเลียมที่ผลิตได้จากเขตประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 3.13 แสนล้านบาท
      
       สิ่งที่เราสนใจก็คือ ผลผลิตปิโตรเลียมที่สะสมมานับล้านปีจากบรรพชนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจนมาถึงคนรุ่นเราที่มีมูลค่า 3.13 แสนล้านนั้น ถ้าแหล่งปิโตรเลียมนี้ตั้งอยู่ในประเทศอื่นๆ คนในประเทศนั้นควรจะได้รับส่วนแบ่งไปเท่าใด มากหรือน้อยกว่าที่ประเทศไทยเราได้รับคือ 12.5% หรือไม่ นี่คือคำถามที่บทความนี้จะต้องตอบครับ
      
       รายงานของคณะกรรมาธิการวุฒิสภาชิ้นเดิมระบุว่า ประเทศโบลิเวีย รัฐได้รับจากค่าภาคหลวงสูงถึง 82% ของยอดการผลิตก๊าซธรรมชาติ ประเทศในภูมิภาคเดียวกันอย่างอินโดนีเซีย ก็ได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์จากน้ำมันดิบที่ 85% และก๊าซธรรมชาติที่ 70%
      
       จากการศึกษาค้นคว้าของผมเอง พบสหรัฐอเมริกาได้ค่าภาคหลวงอยู่ในอันดับที่ 93 จากทั้งหมด 104 ระบบ โดยได้รับในช่วง 12.5 ถึง 16.6%(มากกว่าไทย) และต่อมาได้ปรับเพิ่มเป็น 18.75% ซึ่งเขายังถือว่าต่ำเกินไป (ข้อมูลจาก United States Government Accountability Office หรือ GAO)
      
       ที่น่าสนใจคือการคิดค่าภาคหลวงน้ำมันดิบของเมือง Alberta ประเทศแคนาดา โดยคิดอัตราค่าภาคหลวงตามราคาน้ำมันดิบ โดยที่เพดานได้กระโดดไปจาก 30% ไปอยู่ที่ 40% เมื่อราคาน้ำมันดิบเกิน $70 ต่อบาร์เรล
      
       โดยสรุป ค่าภาคหลวงปิโตรเลียมของประเทศไทยน่าจะอยู่ในกลุ่มที่มีอัตราต่ำที่สุดในโลก ถ้าเราใช้อัตรา ที่ 30% รัฐบาลก็จะได้ค่าภาคหลวงประมาณ 107,300 ล้านบาท ไม่ใช่ 44,713 ล้านบาทอย่างที่เป็นอยู่
      
       โถใครจะเชื่อ…ในชื่อบทความนี้ถือว่าเป็นข่าวดีของประเทศ แต่เมื่อสาวลึกถึงผลประโยชน์ที่คนไทยได้รับค่าภาคหลวงที่ต่ำที่สุดก็ถือเป็นเรื่องร้าย เรื่องเศร้าที่ไม่น่าเชื่อ มันชุ่ยและแสนทรามถึงเพียงนี้เชียวหรือ? มิน่าละ บริษัทยูโนแคล ที่ขุดเจาะก๊าซในหลายประเทศทั่วโลก แต่เกินกว่าครึ่งของกำไรของบริษัทแม่ มาจากประเทศไทยประเทศเดียวครับ!