เพื่อบรรลุถึงการปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ด้วยการเผยแพร่ให้ความรู้ที่แท้จริงแก่ส่วนรวม
17 มิถุนายน 2553
กรมสอบสวนคดีพิเศษ
ระบอบตักขี้ได้กระชับอำนาจและสถาปนารัฐตำรวจขึ้นมาซ้อนรัฐไทยโดยพฤตินัย ในยุคระบอบตักขี้เรืองอำนาจจนกลายเป็นรัฐตำรวจ ระบอบการเมืองอันบัดซบได้ทำลายจริยธรรมคุณธรรมในทุกๆวงการ ฝ่ายการเมืองได้เข้าแทรกแซงครอบงำองค์กรตำรวจอย่างเต็มตัวโดยผู้นำประเทศขณะนั้นได้อาศัยอำนาจแต่งตั้งญาติ คนใกล้ชิดหรือเพื่อนร่วมรุ่นเข้ายึดกุมตำแหน่งสำคัญในวงการสีกากีจนแทบจะหมดสิ้น รัฐตำรวจสมัยระบอบตักขี้เรืองอำนาจ องค์กรตำรวจ องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยราชการต่างๆที่ถูกยึดครองจะกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อใช้ในการกลั่นแกล้ง ข่มขู่ คุกคามฝ่ายตรงกันข้าม รัฐบาลตักขี้จัดวางคนที่แสดงออกว่าจงรักภักดีและพร้อมที่จะทำงานให้ตนเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญๆ แล้วทดแทนด้วยระบบวิ่งเต้นเส้นสาย ใครพร้อมทำงานถวายหัวก็พร้มอจะตบรางวัลให้อย่างงดงาม องค์กรภาคประชาชน ภาคธุรกิจ พรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ยอมสยบให้กับรัฐบาลก็ถูกเล่นงานในลักษณะเดียวกัน กระทั่งการคุกคามสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลตักขี้ในขณะนั้นซึ่งถูกปปง.กลั่นแกล้งตรวจสอบทรัพย์สินรวมตรงกันข้ามรัฐตำรวจกลายเป็นเกราะที่คอยคุ้มครองปกป้องใครก็ตามที่อยู่ฝ่ายระบอบตักขี้ขณะนั้นแม้ว่าบุคคลเหล่านั้นจะกระทำผิดกฎหมายก็ตาม จวบจนวันนี้ตำรวจเหล่านั้นบางคนก็ยังคงแทรกซึมอยู่ในระบบเรื่อยมา ตำรวจ อัยการอันเป็นกระบวนการยุติธรรมขั้นต้นจะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้หรือ ขนาดที่ตำรวจต่างจังหวัดต้องออกม๊อตโต้เรียกร้องให้ประชาชนหันมารักตำรวจเรียกใช้ตำรวจด้วยแล้ว ดังนั้นภารกิจกวาดบ้านล้างวงการสีกากีให้สะอาดจึงถือเป็นงานอันท้าทายวุฒิภาวะความเป็นผู้นำของนายกฯอภิสิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง เพราะตำรวจเป็นหน่วยงานกลไกของรัฐที่มีความสำคัญอย่างยิ่งและเป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ มีตำแน่งหน้าที่การงานในการรักษากฏหมายเพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข แต่กลับไปพิฆาตสันติธรรม หันไปชว่ยเหลือคนร้ายทำลายบ้านเมืองเสียเอง ถ้าต้นน้ำสกปรกเสียแล้วปลายน้ำก็หาความสะอาดอะไรไม่ได้อีก
หน.พรรค ปชป.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเมื่อครั้งยังเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯเคยหยิบประเด็นร้อน“เขาพระวิหาร”ชำแหละกลางสภามาจวกสมัคร สุนทรราชผู้ล่วงลับ สมัครใช้โอกาสนั้นไปสนองตอบและรับใช้อดีตนักการเมืองผู้สูญเสียผลประโยชน์อย่างโจ่งแจ้ง ไม่ลืมหูลืมตาและไม่ใส่ใจต่อเสียงวิพากษ์ คัดเลือกบุคคลมาร่วมครม.โดยไม่แยแสต่อความเหมาะสมและประสิทธิภาพ ยอมรับให้นำบุคคลที่ไม่มีวุฒิภาวะ ขาดความรู้ความสามารถ มีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน มีพฤติกรรมเป็นอันธพาลการเมือง นักเลงโต เป็นสมุนรับใช้อดีตนักการเมืองที่สูญเสียผลประโยชน์ตลอดจนบริวารมาทำงาน บริหารราชการแผ่นดินตามอำเภอใจ ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีความเป็นเอกภาพ ไร้ทิศทาง ขาดความรู้ มุ่งแต่สร้างภาพของตน ปล่อยให้ใช้ข้าราชการที่สมยอมกระทำการใช้อำนาจหน้าที่จนทำลายระบบคุณธรรม จริยธรรม ลุแก่อำนาจ สมัครปกป้องและให้ท้ายกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทำความผิดอย่างออกหน้าออกตา บริหารประเทศไปเพียงวันๆ แสดงออกต่อสาธารณะอย่างไร้วุฒิภาวะ มีพฤติกรรมภาวะผู้นำบกพร่อง ทั้งทางวาจาและทัศนคติไม่ใส่ใจกับพี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มุ่งแต่จะสนองความปรารถนาของผู้บงการเบื้องหลังพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลือและลบล้างบทลงโทษในคดีที่พรรคการเมืองของตนเองกระทำความผิดไว้
"22 กพ. เอาหัวใจเลยครับย้ายคุณสุนัย มโนมัยอุดมอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเพราะเขาคือหลักในการทำให้การสอบสวนเกิดความชัดเจนเกี่ยวกับการทุจริตของอดีตผู้นำหลายคดีเลยครับ โดยย้ายก่อนตามมาด้วยอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นายตำรวจซึ่งทำคดีซื้อเสียงของ อดีตประธานสภา (และ)อีกหลายต่อหลายคนครับ ... ก็เพราะท่านยังเป็นอย่างนี้อยู่ตลอด อย่าว่าแต่ 4 เดือนเลยครับ 4 ปีมันก็จะเป็นอย่างนี้ ... ผมถึงบอกว่า 4 เดือน ถ้าเป็น 4 เดือนที่ท่านทดแทนบุญคุณของประเทศ พวกผมไม่มายืนตรงนี้หรอกครับ แต่ถ้าทดแทนบุญคุณใครไม่ทราบ แต่ว่ากระทบกระเทือนต่อประเทศ " *จากเว็บไซต์ พรรคประชาธิปัตย์
เจตนาดั้งเดิมมุ่งหวังให้ดีเอสไอเข้ามาผดุงความยุติธรรมคานอำนาจการทำหน้าที่ตามอำเภอใจของสตช.คล้ายกับเอฟบีไอ แต่ดีเอสไอก่อนหน้านี้ทำให้แทบทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมดตลอดระยะเวลาผ่านมา 7 ปีเศษคงยังไม่อาจเห็นหน้าเห็นหลังอะไรมากนัก เจ้าหน้าที่ก็มาจากหน่วยงานต่างๆอาจยังไม่จูนเครื่องได้ลงตัวกันนัก มีอธิบดีมาแล้วถึง 3 คนใช้เวลาที่ล่วงเลยไปเป็นเครื่องมือฝ่ายการเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ หรือไม่ก็เป็นเครื่องมือเพื่อดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ดีเอสไอถูกวิจารณ์ว่าเป็นแดนสนธยา เป็นรัฐตำรวจสาขาใหม่มาเรื่อยๆ แถมยังมีการดึงตำรวจมาเป็นมือเป็นเท้ากันยกใหญ่ เมื่อพล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์เริ่มเอาพ.ต.อ.ทวี สอดส่องลูกน้องใกล้ชิดของตักขี้มาเป็นรองอธิบดีพร้อมๆกับมีการดึงนายตำรวจคนอื่นๆมาเสริมอีก ห้วงเวลาที่ผ่านมามีหลายๆคดีที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ ยิ่งบุคลากรพวกนี้ไม่ค่อยชอบปฏิบัติตามระเบียบราชการและสัมพันธ์แนบแน่นกับเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับผู้บริหารระดับสูงด้วย ผู้บังคับบัญชาบางคนมีท่าทีปกป้อง ถึงขั้นทำลายหลักฐานเพื่อไม่ให้เชื่อมโยงไปถึงผู้บงการเสียอีก
ในห้วงเวลาของรัฐตำรวจนั้นข้าราชการส่วนหนึ่งก็โอนย้ายมาจากตำรวจผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ก็มาจากผู้ที่อยู่ในการอุปถัมภ์ของไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่ตักขี้ กินชะมัดและเครือข่าย เมื่อพิจารณาจากทั้งการทำงานและการบริหารก็ยิ่งดูเหมือนมีความลึกลับและมีปัญหาสลับซับซ้อนชวนให้น่าสงสัยมากขึ้นๆอยู่ตลอดเวลา ยิ่งนานวันหน่วยงานดังกล่าวก็ยิ่งห่างไกลจากเจตนารมณ์จากการก่อตั้งออกไปไกลทุกที ดีเอสไอได้กลายเป็นที่มั่นสำคัญให้กับระบอบตักขี้หลากรูปแบบหลายวิธีการทั้งทางเปิดและทางปิด จะมีก็เพียงช่วงสั้น ๆ ยุคคมช.ที่มีผู้บริหารโยกมาจากศาลอย่างท่านอดีตอธิบดีฯสุนัย มโนมัยอุดมอดีตตุลาการที่ไม่มีประวัติด่างพร้อย และทำงานตรงไปตรงมา ไม่กลัวอิทธิพลการเมืองของระบอบตักขี้ ช่วงเวลาที่ดีเอสไอดูดีก็ในยุคของสุนัย มโนมัยอุดมเป็นอธิบดีจะได้รับการจับตามองและมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าจะเป็นหน่วยงานที่สืบสาวคดีสำคัญได้ ในทันทีที่ก้าวเข้าสู่ดีเอสไออดีตอธิบดีฯสุนัย มโนมัยอุดมได้ตีขนดหางไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่ตักขี้ กินชะมัดด้วยการทำคดีเอสซีแอสเซทอย่างได้ผลไขปริศนาเงื่อนงำการทำธุรกรรมอำพรางให้คนในครอบครัวกินชะมัด-ดามาพังผู้ถือหุ้นใหญ่เอสซีฯได้อับอายกันทั้งแผ่นดิน อดีตอธิบดีฯสุนัยเป็นเพียง 1 เดียวที่สร้างผลงานยกระดับองค์กรดีเอสไอให้เป็นองค์กรบังคับใช้กฎหมายพิเศษให้ปราศจากการรับใช้พวกนักการเมืองชั่วอย่างแท้จริง แต่ท่านก็ถูกย้ายอย่างรวดเร็วในช่วงต้นปี 51 หลังจากสมัคร สุนทรราชขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนมาเป็นอธิบดีคนใหม่ ท่านอดีตอธิบดีฯสุนัยไปเป็นเลขาธิการป.ป.ท.ก่อนที่ท่านสุนัยจะขอทำเรื่องโอนกลับไปเป็นตุลาการในภายหลัง คงจำกันได้ว่าคือพ.ต.อ.ทวี สอดส่องนายตำรวจผู้เติบโตมาจากกองปราบฯซึ่งต้องดูแลหลายคดีซึ่งรวมถึงคดีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นของเอสซีแอสเสทโดยที่ผู้บริหารคณะใหม่ดำเนินการด้วยความรอบคอบจนคดีความไปไม่ถึงศาลตรงกันข้ามกับที่ท่านสุนัยผู้โดดเดี่ยวได้ทำเอาไว้ ก.ล.ต.ยื่นกล่าวโทษเอสซีแอสเซทไป 2 กรณีว่าปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นและไม่รายงานข้อมูลตามแบบ 246 ต่อมาอัยการมีความเห็นไม่ฟ้องแล้วดีเอสไอตามน้ำไม่ได้มีความเห็นแย้ง ยิ่งทวีมีกระแสข่าวถึงความใกล้ชิดสนิทสนมแนบแน่นกับยิ่งลักษณ์ มีทวีเป็นอธิบดีดีเอสไอในสมัยพรรคพังประชาชนและทำให้คดีเอสซีแอสเสทต้องเงียบหายไป
แม้ฝ่ายตักขี้อาจจะพยายามทำลายน้ำหนักการเบิกความด้วยการอ้างว่าเป็นฝายตรงข้ามตักขี้ ท่านจึงถูกรัฐบาลพังประชาชนสั่งย้ายจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ จนเมื่อท่านสุนัยต้องเดินทางไปต่างประเทศ ทีมทนายความตักขี้แจ้งกองปราบปรามดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทที่สภ.อ.วังน้อย อยุธยา ทางตำรวจได้ชงเรื่องยื่นต่อศาลอยุธยาไว้รอรับท่านสุนัยในข้อหาหมิ่นประมาทถึงสนามบิน ตำรวจได้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ไว้รอ กะจับกุมทันทีที่ก้าวลงจากเครื่องบิน ดีแต่ว่าทหารได้ช่วยเหลือท่านสุนัยจนรอดพ้นจากเงื้อมมือของตำรวจในระบอบตักขี้มาได้อย่างหวุดหวิด เป็นท่านสุนัยที่ทำให้หลายๆคนได้รถได้บ้านคืนจากการถูกยึดและยังมีสำนวนของท่านเมื่อครั้งเป็นผู้พิพากษาเก็บไว้ที่บ้านอยู่จนถึงปัจจุบันแม้ว่าเรื่องนั้นๆจะผ่านพ้นมาหลายปีแล้วก็ตาม ต่อมาในภายหลังปลายปี 52 รมว.คลังสบช่องใช้หลักฐานซิเนตรา ทรัสต์-บลูไดมอนด์จี้ก.ล.ต.-ดีเอสไอให้ฟื้นคดีเอสซีแอสเสท ท่านสุนัยได้ขึ้นเบิกความต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะตัดสินคดียึดทรัพย์จากการซื้อขายหุ้นเอสซีแอสเสทถุงเงินถุงทองของกินชะมัดที่เชื่อมโยงเป็นไยแมงมุมระหว่างพจมารกับบริษัทวินมาร์คบนเกาะสวรรค์อย่างบริติชเวอร์จิน การเบิกความของท่านสอดคล้องกับผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานก.ล.ต.จั๋งหนับ จนมีคนละโมบต้องเสียเงินเสียทองไปเป็นหมื่นๆล้าน
ดีเอสไอในยุคหลังท่านสุนัยนั่งในเก้าอี้อธิบดีดีเอสไอได้กลับมาเป็นหน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่พิฆาตสันติธรรมอีกครั้ง ไม่โปร่งใสไม่สามารถตรวจสอบได้ สร้างพยานหลักฐานเท็จ ป้ายสีใส่ร้ายผู้คน บังคับบุคคลให้ยอมให้การเท็จ รับใช้นักการเมืองอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย อย่างเรื่องกล่าวหาทีพีไอว่าทำนิติกรรมอำพรางว่าจ้างเมซไซอะแต่ไม่ได้ว่าจ้างกันจริงและได้นำเงินจำนวน 258 ล้านไปให้พรรคประชาธิปัตย์ ดีเอสไอไปคว้าเอาสิบตำรวจเอกนอกราชการนายหนึ่งมาเป็นผู้กล่าวหาซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนคนกันเองทั้งนั้น ผู้กล่าวหาเคยเป็นอดีตผู้รับใช้หน้าห้องของพ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อดีตรองอธิบดีดีเอสไอนั่นเอง ส.ต.อ.ทชภณ พรหมจันทร์คนนี้ก็เคยปราศรัยบนเวทีของฝูงไพร่แดงกบถบริเวณหน้าสำนักงานกกต.ด้วย แบบนี้ก็ไม่ต้องอธิบายกันให้เมื่อยว่าอดีตบิ๊กและรองบิ๊กดีเอสไอเป็นสีอะไร อดีตคนดีเอสไอล้วนแต่มาจากตำรวจและเคยอุ้มพยานมากักขังหน่วงเหนี่ยว ซ้อมให้รับสารภาพและบังคับข่มขืนใจให้การปรักปรำเหยื่อทำมามากต่อมากแล้วจนชิน จนวันนี้ประจวบ สังข์ขาวยังไม่มีใครพบเห็นอีก คดีนี้ก็ไม่ได้มุ่งสอบผู้เกี่ยวข้องตามพรบ.หลักทรัพย์แต่ประการใดดันให้ความสำคัญกับการยุบพรรคประชาธิปัตย์ รตอ.ดร.เป็ด-เฉ-ลิม เยสโนโอเคโคคาโคล่า อยู่ทำไมประธานส.ส.พรรคเพื่อเผาไทยนำเรื่องนี้ไปใช้อภิปรายเมื่อปีที่แล้ว เก่งโคตรๆ พูดเป็นช๊อตๆใครชงใส่มือให้ก็ไม่รุ แถมส.ต.อ.ทชภณยังได้ตังค์ภาษีของประชาชนไปกินเนื้อๆ 216,000.- ตลอด 3 เดือนอ้างว่าเพื่อคุ้มครองพยาน ยังมีเรื่องอื่นอีกที่ดีเอสไอซุกไว้ใต้พรม
เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลเป็นพรรคประชาธิปัตย์แล้วทวีก็ยังสามารถรักษาเก้าอี้ตัวเดิมได้อย่างเหนียวแน่นไม่เปลี่ยนแปลง รัฐบาลใช้ตำรวจไม่ได้อยู่แล้ว รัฐบาลแน่ใจหรือว่าดีเอสไอทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ บุคคลที่มีปัญหาคงจะใช้เวลากลางวันคอยสอดส่องหาข้อมูลให้เจ้านายและกลางคืนก็คอยสอดใส่ให้น้องสาวเจ้านายมันช่างขยันสอดตลอด 24 ชม.ทั้งๆที่eปูยิ่งลักษณ์มีสามีแล้วทั้งตัว หม้อของน้องสาวตักขี้มันคงจะหอมหวานน่าดูถึงทำให้ต้องลงทุนสอดส่องเอาตำแหน่งและชื่อเสียงของตัวเองเข้าแลก ผู้บริหารบางคนของดีเอสไอยุคนั้นใกล้ชิดกับกลุ่ม 3 เกลอแกนนำฝูงไพร่แดงกบถถึงขนาดร่วมเขียนสคริปรายการ ความเท็จวันนี้และยังร่วมวางแผนวางแนวทางมาอย่างต่อเนื่อง คนๆนี้เลวมาตั้งแต่อยู่กองปราบเนิ่นนานมาแล้ว พรรคกลับปล่อยให้อดีตผู้บริหารดีเอสไอคนนี้นั่งใหญ่คับดีเอสไออยู่อย่างสุขสบายได้ตั้งนาน แต่กว่าประชาธิปัตย์จะจัดการกับอดีตผู้บริหารดีเอสไอได้ กว่าจะโยกย้ายเปลี่ยนแปลงผู้บริหารดีเอสไอก็ล่วงเลยมาถึงกันยา 52 ซึ่งเหตุการณ์สงกรานต์เลือด 52 นั้นได้ส่งผลกระทบตามมามากมาย จนมีข่าวลือออกมามากมายถึงความเกรงใจอันไร้เหตุผลระหว่างรัฐมนตรีพีระพันธ์กับอดีตผู้บริหารดีเอสไอคนนี้เช่นเรื่องดักฟังโทรศัพท์หรือเรื่องคลิปนรก ครั้นขยับอดีตผู้บริหารดีเอสไอคนนี้ออกกลับเลื่อนมันขึ้นเป็นรองปลัดฯเสียอย่างนั้น ด้วยความที่ไม่มีเขา เราก็ไม่มีหางนี่เอง ถ้าประชาธิปัตย์กล้า....ก็คง...ไปนานแล้ว
ในปฏิบัติการ 10 เมษา 53 ที่เราต้องสูญเสียพ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมนั้นมีคนเห็นผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีรุมสังหารคุณสนธิ ลิ้มทองกุลซึ่งเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอร่วมส่วนอยู่ด้วย เกมปลดอธิบดีดีเอสไอที่ประชาธิปัตย์จ้องเชือดมาตลอดยื้อยาวมาจนบ้านเมืองแทบล่มสล่ายกว่าคำสั่งโยกย้ายทวีออกจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอและตั้งท่านธาริษ เพ็งดิษฐ์ลูกหม้อกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้มาทำหน้าที่แทน ส่วทวีดั๊นไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรมในขณะนี้ แล้วไอ้การเด้งทวีจากเก้าอี้บิ๊กดีเอสไอเกี่ยวอะไรกับเขาก็ต้องบอกว่าทวีนั้นได้เปลี่ยนสีไปเป็นนายตำรวจสีน้ำเงินมาตั้งนานนมแล้ว ทวีเติบโตมาจากระบอบตักขี้ก็จริงแต่อย่าลืมว่ารายนี้ก็อยู่ในเครือข่ายพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมายที่มุ่งมั่นอยากเป็นผบ.ตร.ในเวลานี้โดยมีพรรคภูมิใจห้อยสนับสนุนอยู่ ภูมิใจห้อยมีแผน ยัดส่งบุคคลในเครือข่ายของตัวเองลงไปในขุมอำนาจต่างๆ รวมทั้งสตช.อีกองค์กรหนึ่งที่ค่ายสีน้ำเงินพยายามแผ่อิทธิพลต้องการสยายปีกเข้าไปควบคุมเบ็ดเสร็จ การแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่ที่ยืดเยิ้อคาราคาซังมาเป็นปีๆ กลุ่มพลังในก.ตร.ได้ต้านทานอำนาจของนายกฯอภิสิทธิ์ไม่ให้เลือกพล.ต.อ.ปทีป ล่มการประชุมก็เอา ล็อบบี้ผู้ใหญ่ให้มากล่อมนายกฯก็แล้ว พ่อลูกซิโนไทยต้องออกมางัดข้อกับนายกฯอภิสิทธิ์หลายครั้ง หลังจากทนระหองระแหงกับนายกฯอภิสิทธิ์มาพักใหญ่นิพนธ์ก็ไขก๊อก รัฐตำรวจเวอร์ชันสีน้ำเงินก็จะพังพาบเอาง่ายๆ จนวันนี้ผบ.ตร.บ้านเราก็ยังไม่มีใครได้แตะแม้กระทั่งขาเก้าอี้
หลังจากอนุทินลูกเศรษฐีซิโนไทยริจะเล่นกับอำนาจ ชาญวีรกูลได้สนิทสนมร่วมวงใกล้ชิดกับแก๊งค์จิ๋กโก๋ซอยรางน้ำเชื่อมนักการเมืองระดับเก๋าเกมมีซูเปอร์คอนเนกชันชั้นพิเศษอีกทั้งได้ร่วมเป็นสมาชิกในเครือข่ายสีเขียวขั้วอำนาจใหม่กับทางปีกบูรพาพยัคฆ์ที่ผงาดยกแผงในกองทัพ เขาสามารถส่งแป๊ะชวรัตน์เข้ามานั่งเก้าอี้รมว.มหาดไทยกำอำนาจไว้ในมือค่ายสีน้ำเงินอีกแขนงหนึ่ง อนุทินคงคิดว่าตัวเองได้เรียนลัดในหลักสูตรบันไดสร้างตัวเองไปสู่ความยิ่งใหญ่ใกล้จบเล่มแล้ว แต่เขาลืมคิดไปว่าความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงต้องมาจากการสั่งสมบุญบารมีและสร้างความดีความงาม ไม่ใช่เพียงการหว่านโปรย ตีราคาความสัมพันธ์คอนเน็กชั่นอย่างผิวเผินเท่านั้น พ่อลูกคู่นี้ ดูหน้าก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดามาเพื่อครอบครัวและธุรกิจมากกว่าเพื่อชาติ
ในการแถลงข่าวร่ายยาวกว่า 30 นาทีของดีเอสไอเมื่อ 10 มิถุนา 53 ท่านธาริตที่ถือได้ว่าเป็นอัยการมือชั้นเซียนและกล้าหาญมาก สืบเนื่องจากมีข่าวเจ้าหน้าที่ดีเอสไอถูกโจรกรรมคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คในรถกระทบต่อคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีเงิน 248 ล้านบาท ในคำแถลงท่านได้พูดถึงการเข้ามาชักจูงเจ้าหน้าที่ดีเอสไอของอดีตผู้บริหารบางคนเพื่อลดความน่าเชื่อถือของดีเอสไอที่หลังเหตุการณ์วิกฤตได้รับมอบหมายให้ดูแลคดีสำคัญนับร้อยทั้งกลุ่มคดีการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย กลุ่มคดีก่อการร้ายและกลุ่มคดีดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ กดดันและความอึดอัด ศูนย์อิเหลี่ยเฉื่อยแฉะก็รวมพวกที่ก่อเหตุรุนแรงต่างๆเช่น พวกวางเพลิง ปล้นร้านค้าเป็นต้นเข้ามาเป็นเรื่องทางกฎหมายที่ทำกันอยู่เรื่องเดียวกันกับคดีที่ทางดีเอสไอทำทั้งหมด ส่วนที่ว่ามีความจำเป็นที่จะต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่นั้น ผู้สันทัดทางกฎหมายจากองค์กรต่างๆจะได้เข้ามาพิจารณากันต่อๆไป ตอนนี้ทางดีเอสไอคุมกระบวนการยุติธรรมทางอาญาขั้นต้นในคดีความทั้งหมดเกี่ยวกับนปช.และไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่ตักขี้ กินชะมัด ท่านธาริตทำงานแบบพระยาพิชัยดาบหักอยากให้รัฐบาลไปช่วยท่านธาริตมากๆเข้าไว้ เหลียวดูการจัดการในองค์กรภายในกันบ้าง อธิบดีคนเดียวที่ไม่มีมือไม่มีตีนที่ไว้วางใจได้ก็ทำงานลำบาก ลำพังแค่ทำงานเต็มที่ก็ใช้เวลาไม่น้อยแล้วกับงานยาก ๆ เช่นนี้ ความลับต่างๆก็ควบคุมยากกกกส์ “อดีตผู้บริหารดีเอสไอบางคนไปตั้งวอร์รูมช่วยนปช.ทำผิดกฎหมาย กรณีนี้ผมไม่ทราบว่ากระทรวงยุติธรรมจะจัดการอย่างไร...”, ท่านธาริตกล่าว
อดีตผู้บริหารดีเอสไอไม่กล้าออกมาตอบโต้เองต้องอาศัยส.ส.คางโคกริลล่า (คางคก + กอริลล่า) สส.สัตว์-ส่วนของพรรคเพื่อเผาไทยและแกนนำกลุ่มนปช.ออกมาโต้ว่าคนพูดเท็จที่ใส่ร้ายอดีตผู้บริหารดีเอสไอส่อให้เห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างส.ส.สัตว์ส่วนตนนี้กับอดีตผู้บริหารดีเอสไอได้เป็นอย่างดี ส่วนกรณีที่พ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัฐหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทและกรณีการใช้เงิน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ได้ถูกคนร้ายทุบกระจกรถเบนซ์ส่วนตัวและโจรกรรมโน้ตบุ๊กขณะจอดรถริมถนนรัชดาภิเษก หลังเกิดเหตุการณ์ได้แจ้งความที่สน.พหลโยธินเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ชั้นแรกเข้าใจว่าเป็นการโจรกรรมทรัพย์สินปกติแต่ไอ้ที่ไม่ปกติคือรถของพ.ต.ท.วรชัยติดฟิล์มทึบและคนร้ายไม่ได้นำทรัพย์สินอย่างอื่นภายในรถไปด้วยคงเอาไปเพียงโน้ตบุ๊กเท่านั้น ข่าวนั้นอ้างว่าภายในคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับสำนวนการสอบสวนคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทเข้าพรรคประชาธิปัตย์และคดีใช้เงินพัฒนา 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ที่นำไปสู่คณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ และได้ระบุสำทับอีกว่าก่อนหน้านี้ผู้บริหารดีเอสไอได้รับข้อมูลบางอย่าง และได้แจ้งเตือนพนักงานสอบสวนคดียุบพรรคประชาธิปัตย์อีกทั้งยังได้ติดต่อประสานงานกับกกต.ว่าตำรวจตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณยศพลตำรวจตรีอยู่กองบัญชาการตำรวจนครบาลติดตามความเคลื่อนไหวพนักงานกลุ่มนี้ตลอดเพราะคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กำลังเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ หากมติชนยกหูโทรศัพท์สอบถามเจ้าทุกข์ก็จะได้ความจริงที่ว่าในโน้ตบุ๊กก็ไม่มีสำนวนคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทแต่อย่างใดยิ่งคดีเงินพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาทนั้นยิ่งไม่เกี่ยวกับคุณวรชัยและในรถมีเพียงโน้ตบุ๊กอยู่เครื่องเดียวทรัพย์สินอย่างอื่นไม่มี นอกจากนี้ประชาธิปัตย์ก็ได้รับสำนวนคำฟ้องก่อนหน้านี้แล้ว พูกถึงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์นั้นทางเพื่อเผาไทยได้ออกหนังสือคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 ท่านคือนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์และนายจรัญ ภักดีธนากุล โดยให้เหตุผลว่าทั้งนายวสันต์และนายจรัญต่างก็มีทัศนคติด้านลบต่อตักขี้ ก็เลวชาติเสียขนาดนั้นจะมีคนที่มีทัศนคติที่ดีต่อตักขี้สักกี่คนกัน สิ่งที่บรรดาขี้ข้าม้าใช้ทั้งหลายกำลังทำกันอยู่ในเวลานี้ก็คือการลดความน่าเชื่อถือของทั้งดีเอสไอและศาลรัฐธรรมนูญ
นายกฯอภิสิทธิ์ลั่นจะไม่ละเว้นอดีตอธิบดีดีเอสไอที่คอยป้อนข้อมูลนปช.ป่วนบ้านเมือง (นายกฯนั่นลั่นมาไม่รู้กี่ร้อยครั้ง แต่ไม่เห็นเคยทำจริง ๆ สักครั้ง) ทางดีเอสไอที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์อิเหลี่ยเฉื่อยจึงได้เก็บกวาดบ้านเมืองหลังการเผาบ้านเผาเมืองของไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่ตักขี้ กินชะมัด ดีเอสไอยังได้เตรียมศึกษากฎหมายพิเศษภายใต้นโยบายเราเห็นชัดว่ากรณีที่มาชุมนุมแม้ว่าจะผิด พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ไม่ได้มีการดำเนินการไปไล่ล่าอะไรเช่นเดียวปี 52 ถ้าใครมาชุมนุมโดยสงบไม่มีอาวุธก็ไม่ไปดำเนินการ ตอนที่รัฐบาลส่งผู้ชุมนุมเขากลับบ้าน ก็ยังอำนวยความสะดวก แถมตังค์อีกคนละ 200 ครั้งต่อไปเราขออาสาไปร่วมชุมนุมด้วยหนึ่งคนนะๆ ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ รับจ้างไปนั่งตากแดด ตังคฺ์ก็ได้ กินก็ฟรี ได้สินค้าแบรนด์เนมกลับบ้านด้วย แถมยังมีรถรับส่งอีกสบายจะตายภงด. 91 ก็ไม่ต้องกรอก สัญญาณที่สับสนจากรัฐบาลว่าจะดำเนินการปูดองกันแค่ไหน อย่างไร ก็เขาจะ ปรองดอง กันอยู่แล้ว...ดีเอสไอจะไปขุดคุ้ยหาพระแสงทำไมมิทราบ และในท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ใกล้เลือกตั้ง ดีเอสไอน้ำดีทั้งหลายคงจะได้เหนื่อยกันอีกนาน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)