06 พฤษภาคม 2552

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง



ปี 2548 – 2549 สื่อมวลชนถูกแทรกแซง องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแทบทุกองค์กรถูกแทรกแซงจนไม่สามารถดำเนินคดีกับคนในรัฐบาลให้ขึ้นสู่การพิจารณาในชั้นศาลได้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถูกคุกคามอย่างหนัก เป็นเนติบริกรอย่างบวรศักดิ์ อุวรรณโณเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตรตั้งแต่ปี 2546-2549 และมีส่วนรับรู้เรื่องราวความฉ้อฉล การคอร์รัปชัน การทำผิดกฎหมาย การทำผิดธรรมเนียมประเพณีของรัฐบาลทักษิณทั้งสองสมัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญในอุโบสถวัดพระแก้วของ พ.ต.ท.ทักษิณ, การอุ้มคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดสามหนาห้าห่วงแบบสุดลิ่มทิ่มประตู เป็นบวรศักดิ์เองที่มีความคิดคับแคบ เห็นแก่ตัว ยกตนข่มท่าน อหังการ์ไร้เหตุผล หากินกับงบประมาณรัฐบาล ปรับสีไปเรื่อยทุกรัฐบาล เป็นเพียงนักฉกฉวยโอกาสกระโดดหนีออกจากข้างผู้จะแพ้ออกมาอยู่ข้างชนะทุกครั้งไปโดยไม่ต้องสนใจความผิดถูก เป็นบวรศักดิ์เองมิใช่หรือที่รู้สึกผิดจากพฤติกรรมและการเป็นเนติบริกรของตนในฐานะเลขาธิการ ครม.ช่วงรัฐบาลทักษิณจนต้องออกบวชที่วัดสระเกศเพื่อหวังจะไถ่โทษ

ในช่วงวันสองวันที่ผ่านมาใครต่อใครออกมารณรงค์เรียกร้องให้หยุดทำร้ายประเทศไทยอย่างคึกคักแต่ก็อย่าถึงกับไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันจะสามารถนำมาซึ่งความปรองดอง สมานฉันท์ ความรัก สามัคคีกันได้ง่ายๆ ถึงแม้จะเชื่อได้ว่าข้อเรียกร้อง 9 ข้อของปฏิญญาประชาชน ไม่ทำร้ายประเทศไทย ไม่ใช้ความรุนแรงที่องค์กรสื่อ ประชาชน ภาครัฐและเอกชน 21 องค์กรร่วมกันจัดกิจกรรม “หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง” นั้นรับฟังได้และเกิดจากจิตเจตนาที่ดี แต่ทำไมไม่มีแม้เพียงข้อเดียวที่เรียกร้องให้ทักษิณกลับมารับโทษและหยุดทำร้ายประเทศไทย เพราะความโลภ ความหลง ความเสื่อมโทรมทาง ศีลธรรม คุณธรรม ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ที่ซึมลึกลงไปสู่โครงสร้างของสังคมในทุกๆ ด้าน ทุกๆ ภาคส่วน ไม่ว่าจะในหมู่ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง หรือชนชั้นรากหญ้า ไม่ว่าจะมีอาชีพเป็นตำรวจ ทหาร เป็นนักการเมือง นักธุรกิจ เป็นนักวิชาการ สื่อมวลชน หรือแม้กระทั่งเป็นพระสงฆ์องค์เจ้า ฯลฯ ก็ตามดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนานจนแม้แต่สิ่งซึ่งเคยถูกยึดถือเป็นจุดศูนย์รวมความรัก ความสามัคคี ในสังคมยังต้องถูกกระทบกระเทือนไปด้วย กว่าเท่าที่เคยเป็นมาในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้

งานรณรงค์เรียกร้องครั้งนี้มีการสร้างภาพนักการเมืองเป็นชนชั้นพิเศษที่ประชาชนธรรมดาแตะต้องไม่ได้และอย่าบังอาจแตะต้องเรื่องการเมืองอยู่เฉยๆไว้เดี๋ยวนักการเมืองแบ่งเค็กกันเอง หยิบฉวยโอกาสเอาเบื้องสูงมาเล่นเพื่อลดบทบาทเสื้อเหลือง เสื้อแดงโดยพยายามถึงความแตกแยกให้เป็นฝ่ายเหลืองและแดง ซึ่งในความเเป็นจริงอาจดูว่าเหลืองกับแดงไม่ตรงกันคนละแนวทางกัน แต่ในความจริงเราไม่ใช่ศัตรูกันแต่ศัตรูที่แท้จริงของประเทศชาตินั่นทางเสื้อเหลืองเห็นคือระบอบการเมืองเก่าและระบอบทักษิณ ส่วนเสื้อแดงนั้นอาจมองว่าศัตรูของเขาคือการใช้อำนาจมิชอบกระทำการนอกประชาธิปไตยแต่ถ้าดูภาพรวมแล้วทั้งสองอย่างก็เป็นผลพวงมาจากระบอบการเมืองเก่าทั้งสิ้น งานนี้ทั้งกองทัพและสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์สนับสนุนอย่างเต็มกำลัง ดูผิวเผินก็ดูเป็นการรณรงค์ที่ดีและน่าสนับสนุนแต่ทำไมระบุว่ากลุ่มที่ทำร้ายประเทศไทยในขณะนี้คือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กับแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และมีคนใส่เสื้อขาวมีรูปธงชาติไทยในฐานะฝ่ายเป็นกลางหรือพลังเงียบออกมาเรียกร้องรณรงค์น่าจะเป็นการตั้งโจทย์ที่ผิดเพี้ยนไป ประชาชนที่เข้าร่วมจำนวนมากก็หลงเข้าใจว่าเป็นการหยุดยั้งการทำลายประเทศไทยของคนเสื้อแดงในปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีคนเสื้อแดงที่นิยมความรุนแรงในบางจังหวัดจึงได้ฉกฉวยโอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ราวกับว่าฝ่ายตัวเองไม่ได้ใช้ความรุนแรงไปเสียอีก คนที่ออกมาดำเนินกิจกรรมหลายคนถอดเสื้อแดงมาใส่เสื้อขาวพร้อมกับบอกให้หยุดทำร้าย/ทำลายประเทศไทยทั้งที่การกระทำของแต่ละคนไม่ขาวและหรือแดงโร่

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการอ้างว่าความรุนแรงและการปลุกระดมนั้นเกิดขึ้นจากการใช้คำพูดที่รุนแรงผ่านสื่อโทรทัศน์ 2 ค่าย ค่ายหนึ่งถูกปิดไปแล้ว อีกค่ายหนึ่งยังเปิดทำการอยู่ ซึ่งก็น่าจะหมายถึงสถานีโทรทัศน์ของคนเสื้อแดง ดี สเตชั่น สถานีหนึ่งและเอเอสทีวี เป็นอีกสถานีหนึ่ง คนเสื้อเหลืองยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินเป็นสิ่งที่ผิดอย่างแน่นอนรัฐบาลจะต้องจัดการให้ได้ไม่เช่นนั้นจะถูกมองว่าเป็นสองมาตรฐานและหากจัดการไม่ได้ก็ไม่ควรอยู่เป็นรัฐบาล เป็นความพยายามที่จะบอกกับสังคมว่ากลุ่มคนเสื้อแดงและเสื้อเหลืองเป็นปัญหาของประเทศเข้าทางรัฐบาลสมประโยชน์ฝ่ายทหารและกลุ่มอำนาจใหม่ที่กำลังหาทางกำจัดคนทุกสี และยังมีพยายามอย่างยิ่งยวดในการขจัดการตรวจสอบอย่างเข้มข้นจากเอเอสทีวีและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อย่าลืมไปเสียสิ้นว่า สีเหลืองคือสีแห่งธรรมประจำจิต สีแดงคือสีโลหิตประจำเดือน ---* กรณีเอเอสทีวี ทำไมต้องสองมาตรฐาน read more ---* “เสื้อแดง” ชิงการนำ-ต้องถอยปรับขบวน read more เรายังไม่เห็นว่าเอเอสทีวีหรือเว็บผู้จัดการมีข้อมูลเท็จ แต่ดี สเตชั่นถ่ายทอดเวทีเสื้อแดงเรียกได้ว่าโกหกวันละคำยังน้อยไป ถ้ามีการโกหกคนนั้นเวทีนั้นก็จะเสื่อมไปเอง

เพราะคนไทยชอบคนที่พูดจานิ่มๆนวลๆอย่างปริญญา เทวาฯ โคทม อารียา บวรศักดิ์ อุวรรณโณที่พวกเขาไม่เคยชี้ว่าอะไรถูก-ผิด ถ้ามีใครด่าคนพวกนี้สักคนว่าเป็นคนที่ไม่จุดยืนไม่มีอุดมการณ์แล้ว คนที่ได้ด่าไปแล้วนั้นก็จะกลายเป็นคนก้าวร้าวเหมือนที่สังคมมองเสื้อเหลือง แต่ไม่เคยมีใครบอกว่าทำไมเสื้อเหลืองต้องออกมาชุมนุมและชุมนุมโดยสงบแต่ก็ถูกรอบทำร้ายโดยที่ฝ่ายรัฐบาลนิ่งเฉยหรือแอบให้ความสนับสนุนทางลับ อาจารย์ นักวิชาการ สื่อมวลชนสีขาวทั้งหลายจะไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้จริงหรือ ตอนที่เสื้อแดงมันเผาเมืองตอนสงกรานต์ ปล่อยให้รัฐบาลในระบอบทักษิณ ทำลายหลักนิติรัฐเผาบ้านเผาเมือง ตอนที่พันธมิตรโดนทำร้าย สนธิโดนลอบยิง นายกฯถูกล้อม คนพวกนี้ไม่เคยออกมาเลย เพียงแค่คนพวกนี้รอเสียบในทุกจังหวะเพื่อหาประโยชน์ส่วนตัว มัวแต่คิดแต่จะตีกิน ทำลายภาคประชาชนที่สำนึกดีต่อบ้านเมืองและทำตัวเป็นสีขาวที่ไร้ความรับผิดชอบและไม่สนใจความผิดชอบชั่วดี คนกลุ่มนี้ก็เป็นคนอีกประเภทที่ทำร้ายประเทศไทย เสื้อม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง....มันเป็นเพียงผลพวงมาจากระบอบการเมืองเก่า

ทั้งประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์แห่งสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยที่ในสมัยกุมบังเหียนอยู่ที่หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจที่เป็นผู้เปิดโปงเรื่องคดีซุกหุ้นภาค1 และการเปิดโปงการซุกหุ้นภาค 2 กรณีของแอมเพิลริชในปี 2549 นั้นจะไม่รู้เลยหรือว่าใครเป็นฝ่ายทำร้ายประเทศไทย ในสถานการณ์เช่นนั้นเนติบริกรอย่างบวรศักดิ์ อุวรรณโณและพวกที่ออกมาเรียกร้องว่าให้หยุดทำร้ายประเทศไทยอยู่ที่ไหน มีปัญญาเพียงพอที่จะบอกสังคมหรือไม่ว่าใครทำร้ายประเทศไทยด้วยเรื่องอะไร

นายกอภิสิทธิ์ไม่ควรลาออกหรือยุบสภาสถานการณ์ได้สร้างวีรบุรุษขึ้นแล้ว ขอเพียงฉวยโอกาสตีเหล็กที่กำลังร้อนจัดการกับทักษิณและระบอบทักษิณให้ราบคาบ ขออย่าไปฟังนักวิชาเกินที่เอาแต่มาร่ำร้องหาความสันติ ในโลกแห่งความเป็นจริงการปกครองคนหมู่มากคือการควบคุมคนเลวไม่ให้ออกมาทำร้ายสังคม และคนเลวก็มักจะไม่รู้จักความดีเสียด้วย บทเรียนจลาจลครั้งนี้ชัดเจนแจ่มแจ้งปฏิรูปการเมืองกันทำไมอีก ประเทศไทยต้องการรัฐบาลที่ดีทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งและชอบธรรม รัฐธรรมนูญจะร่างมาดีอย่างไรก็ตามพวกนักการเมืองเลวมันก็ยังหลุดเข้ามาในสภาได้อยู่ดี รัฐจะต้องมุ่งพัฒนาให้คนจนได้มีโอกาส ระบบมีความยุติธรรม คนได้รับการศึกษาและข่าวสารที่ถูกต้องเพื่อที่จะเลือกสรรคนดีดีเป็นนักการเมืองตัวแทนไม่ใช่ลงคะแนนเพราะสินจ้าง ท่านนายกต้องปฏิรูประบบโครงสร้างตำรวจให้เป็นผลเพราะท่านเองก็เกือบพลาดท่าก็เพราะตำรวจเลวพวกนี้ที่นอกแถวใส่เกียร์ว่าง มีนายพลทหารที่เป็นนกสองหัวเห็นเงินเห็นอำนาจแล้วตาลุกก็คงต้องถูกจัดการด้วยแต่ก็นั่นแหละ ถ้ามารไม่มีบารมีก็ไม่เกิด ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจำนวนไม่น้อยนิ่ง เฉย ดูสถาบันหลักๆถูกกระทบกระแทกโดยแทบไม่ได้แสดงอาการอนาทรร้อนใจใดๆออกมาเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ...บางกลุ่ม บางรายอาจหันไปแสดงความเคารพ นบนอบ ต่อผู้ที่จ้วงจาบ หยาบช้า ผู้ที่สามารถตอบแทนผลประโยชน์ส่วนตัวให้กับตัวเองและพรรคพวกกันแทน

นักการเมืองต้องหยุดคอร์รัปชัน นักการเมืองรุ่นเก่า กรุณากลับไปเลี้ยงหลานได้แล้ว และนักวิชาการ-สื่อมวลชนต้องหยุด ทำตัวไร้เดียงสาแต่แอบรับใช้ผู้มีเงิน-มีอำนาจเสียที ซึ่งถ้าพูดกันตามความเป็นจริง การคอร์รัปชันของนักการเมือง การบิดเบือนหลักวิชาการของนักวิชาการ และการเอาสื่อไปรับใช้นักการเมืองแบบผิดๆ มาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา น่าจะสร้างความฉิบหายให้กับประเทศชาติมากกว่าสิ่งที่เสื้อเหลืองและเสื้อแดงทำในช่วงที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ หรือโดยบริบทแล้วเราชาวไทยจำต้องยอมรับว่าบ้านเมืองปกติของเราชาวไทยใครโกงโกงไปขอให้ทำงานให้แล้วค่อยเจียดเศษเนื้อที่กระเด็นหลุดออกจากปากลงพื้นเอาเท้าเหยียบให้เราชาวไทยได้กินบ้างก็แล้วกันมานานแสนนาน ประเทศนี้ต้องมีหนทางที่จะหยุดนักการเมืองชั่วที่ทำร้ายทำลายประเทศ หยุดการทุจริตคอร์รัปชัน ผลาญบ้านผลาญเมือง หยุดระบบอภิสิทธิชนที่ไม่เคารพกฎหมาย..เพราะสิ่งเหล่านี้คือชนวนเหตุที่ทำให้สังคมเกิดความรุนแรง ปัญหาบ้านเมืองเราทุกวันนี้มีสาเหตุที่สำคัญที่สุดคือคุณภาพของนักการเมืองถ้ายังไม่ปฏิรูปนักการเมืองก่อนอื่นใดก็อย่าหวังว่าบ้านเมืองเราจะพ้นจากวิกฤตและปัญหาต่าง ๆ ไปได้ คณะกรรมการ 2 ชุดที่ตั้งมาหมาด ๆ เพื่อแก้ปัญหาของชาติควรจะต้องหาทางแก้คุณภาพของพวกนักการเมืองก่อนเถิดต้องรีบทำอย่างเร่งด่วนที่สุด หากนักการเมืองรับจ้างหลายๆคนยังเป็นอย่างที่เห็นๆกันอยู่ในสภาฯทุกวันนี้อย่างไรๆก็เอาไม่อยู่ เชื่อเถิดว่าถ้านักการเมืองดี ข้าราชการก็ต้องดีตามมา ผลประโยชน์ ทรัพยากรของผ่นดินจะตกกลับสู่ประชาชนอย่างทั่วถึงอย่างแน่นอน นักการเมืองต้องเสียสละ กล้าหาญ มีคุณธรรม สื่อสารมวลชน องค์กรรัฐและเอกชน สถาบันวิชาการ ทุกภาคส่วนควรที่จะได้รณรงค์เรียกร้องแสวงหาการเมืองที่ถูกต้อง ก้าวออกจากการเมืองที่ล้มเหลวโดยด่วน

หลังจากทหารปราบแดงแล้ว หันมาฆ่าสนธิเพื่อลดกระแสเหลืองสร้างภาพทหารจงรักภักดี ทั้งที่ประเทศที่มันวุ่นวายแบบนี้ก็เพราะผู้นำกองทัพเล่นการเมืองเล่นพวก โกงกินอาวุธ หวังลาภยศ ผลประโยชน์ หยิบฉวยโอกาส เรียกว่าปล้นอำนาจไปจากประชาชน ยังหวังต่อการเรียกร้องนี้ได้อีก การออกมาพูดว่าทั้งสีแดงและสีเหลืองเป็นคนทำร้ายประเทศไทยนั้นผู้พูดไม่ได้คิดเลยว่าสีเหลืองเสียสละอะไรบ้างให้ประเทศไทย ปรากฏการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี 2551 นั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง ป้องกันมิให้คนไม่ดีมีอำนาจ มีเป้าหมายในการจงรักภักดี ออกมาปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ออกมาคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาจากการทำประชามติของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเพื่อป้องกันมิให้มีการฉีกรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดของนักการเมืองกันเองทั้งการทุจริตคอร์รัปชัน หรือการโกงการเลือกตั้งและขับไล่รัฐบาลที่มีพฤติกรรมที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างสถาบันองคมนตรีอันเป็นการลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์

ความชั่วร้ายของรัฐบาลเก่าๆที่ผ่านมาจะมีมากขึ้นๆ รัฐบาลสามานสมัคร-สมชาย ก็ยังคงดื้อด้านกับการเอาเขาพระวิหารไปยกให้กับเขมร การละเมิดรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า การสั่งให้ตำรวจเอาระเบิดแก๊สน้ำตาและอาวุธไปยิงโครมๆ ใส่กลุ่มพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมอยู่บริเวณหน้ารัฐสภา-ทำเนียบรัฐบาล การปล่อยให้นักการเมืองงาบเงินงบประมาณและเงินภาษีของประชาชนโครงการแล้วโครงการเล่า แล้วเราประชาชนจะไปทำอย่างไรได้ถัาไม่ทำอย่างนั้นถ้าไม่กดดันรัฐบาลหรือสังคมขณะนั้นด้วยการ 1. การบุกสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 หรือ NBT 2. การบุกยึดทำเนียบรัฐบาล 3. การล้อมสนามบินดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยมีเสรีรัตน์รักษาการผู้ว่าการท่าฯสั่งปิดสนามบินโดยพลการไม่มีแม้กระทั่งแผนสำรองในกรณีมีเหตุฉุกเฉิน

ถ้าไม่มีพันธมิตรฯ ออกมาในวันนั้น วันนี้ประเทศไทยล่มสลายไปแล้ว แต่ในวันนี้พันธมิตรฯ อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ยังรวมกันอยู่ด้วยความผูกพัน ยังติดตามข้อมูลข่าวสาร กระจายข่าวสารสร้างความเข้าใจให้กับกลุ่ม สร้างจุดมุ่งหมายร่วมกัน เป็นมวลชนที่ตื่นตัวทางารเมือง พันธมิตรฯคงต้องมุ่งมั่นตั้งพรรคการเมืองรณรงค์ต่อสู้เพื่อการเมืองใหม่ ในเวลานี้ยังไม่มีการเลือกตั้ง ยังไม่มีพรก.เลือกตั้งเราจึงใช้สื่อ ASTV ได้เต็มที่ กำหนดนโยบายพรรคให้ชัดเจน ต่อจากนี้ 1 ปีคงมีโอกาสมากขึ้นในการเลือกตั้ง

ดังที่เราได้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาในห้วง 8 – 13 เม.ย. 2552 ที่ผ่านมาเราๆ ท่านๆ ย่อมจะมองออกว่า ตราบใดที่เรื่องราวของคนชื่อทักษิณยังไม่จบในความเป็นจริงของสังคมการเมืองไทย ความขัดแย้ง ความวุ่นวายปั่นป่วนยังจะถูกสร้างถูกกระทำออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าแม้ว่าเราๆ ท่านๆ อยากจะให้ไปพ้นๆ ก็ตาม คนที่ตั้งโจทย์ได้ถูกต้องคมคายที่สุดก็คือนายกรัฐมนตรีของเรา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่บอกว่า... “ต้นเหตุของวิกฤต (รวมทั้งความรุนแรง การทำร้ายประเทศไทย ด้วย) เกิดจากการเมืองที่ล้มเหลว..” พวกเสื้อแดงที่ฆ่าชาวบ้านเพชรบุรี 2 คน เอารถแก๊ส ถังแก๊สหุงต้ม และขวางระเบิดขวดที่มันทำขึ้นมาเอง การจะฆ่านายกและผู้มีชื่อเสียง ทำลายทรัพย์สินย์ของหลวง ในเวลาที่วุ่นวายที่สุด ผู้นำม็อบกลับไม่อยู่ในที่ชุมนุม ปล่อยให้ประชาชนเสื้อแดงที่มาด้วยหัวใจใสๆ เผชิญสถานการณ์ที่น่าใช้ความรุนแรงยุติจลาจลและกำลังทหารตำรวจและทหารกำลังต้องใช้อำนาจรัฐที่จริงจัง

จนบัดนี้เสียงปืนแตกไปก็หลายครั้ง ผู้นำความคิดของม็อบอยู่ที่ไหนให้คนที่ตัวรักออกนอกประเทศไปหมดแล้วหลอกให้คนที่รักตัวออกมาช่วยปกป้องตัวแต่กลับจัดฉากสร้างสถานการณ์เตรียมให้เกิดการปราบปรามกันอย่างรุนแรง ให้พวกเสื้อแดงไปหยุดไอ้พวกสารพัดเลวนั้นก่อนดีกว่าไหมแล้วค่อยมาเคลื่อนไหวต่อ จะชุมนุมเคลื่อนไหวประท้วงอย่างไรก็เป็นสิทธิที่พึงกระทำได้แม้ว่าการเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดยั้งของ นปช.-กลุ่มเสื้อแดงที่ประกาศเจตนารมณ์ว่าจะเดินหน้าต่อ ตลอดจนทักษิณ ชินวัตรก็ประกาศเดินหน้าต่อเช่นเดียวกันแต่จะยึดสันติวิธี ทุกวันนี้เวทีเสื้อแดงเน้นที่การสื่อสารสมัยใหม่ที่จะชักจูงให้คนคล้อยตาม เขาใช้วิธีพูดความจริงไม่หมด หรือขยายความจริงและชักจูงเป็น package ทั้งทัศนะ ข้อมูล บิดผันหลักการ ปลูกฝังความเชื่อ ทั้งๆที่เป้าหมายของการชุมนุมนั้นมิได้ส่งเสริมประชาธิปไตยแต่ประการใดเพียงแต่ตอบสนอง-ตอบแทนบุคคลเท่านั้น

ในยุคสังคมข้อมูลข่าวสารที่บทบาทสื่อมวลชนมีอิทธิพลมากกับการรายงานข้อมูลข่าวสารไปได้ทั่วโลกเพียงไม่เกิน 1-2 ชั่วโมงการรับรู้ก็กระจายไปทั่วโลก เพียงแต่ว่าการชุมนุมแต่ละครั้งคงไม่สำคัญเท่ากับว่าสื่อสารมวลชนทุกแขนงทั้งในประเทศและต่างประเทศจะนำเสนอรายงานเป็นไปตามภารกิจหน้าที่ของสื่อมวลชน แม้ว่าจะตรงไปตรงมาก็ตามปัญหาก็จะเกิดขึ้นแก่ภาพลักษณ์ประเทศชาติเสียหายเมื่อความปั่นป่วนของประเทศชาติที่ได้กระจายไปทั่วโลก หยุดทำร้ายประเทศไทยกันเถอะ! บ้านเมืองบอบช้ำมากเกินพอแล้ว อย่างเมื่อวานก็มีกรณีหนึ่ง
เหตุเกิดเวลา 19.38-19.39 น. เพลงสดุดีมหาราชากำลังจะจบ มีเสียงเพลงแสงดาวแห่งศรัทธาเข้ามาแทรกเป็นท่อนกำลังจบ และจบในเวลาไล่ ๆ กัน และมีเสียงสารคดีครบรอบการเสียชีวิตของนายจิตร ภูมิศักดิ์เข้ามาแทรก เหตุเกิดเป็นระยะเวลาเกือบ 1 นาทีเต็ม ปกติเจ้าหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณจะต้องเฝ้าคอนโทรล อยู่แล้ว การใช้เครื่องมืออื่น ๆ แม้แต่การดูเทปรายการต่าง ๆ ก็สามารถกระทำได้ เพราะถ้าไม่ปล่อยสัญญาณก็ไม่มีปัญหา แต่กลับมีการปล่อยสัญญาณเสียงออกมาทับ และเหตุเกิดเป็นเวลานานผิดปกติ ถ้าเป็นความประมาท ก็ถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง คงต้องโดนลงโทษอย่างร้ายแรงพอสมควร เช่น พักงาน ตัดเงินเดือน โยกย้ายไปทำหน้าที่อื่นชั่วคราว อย่างน้อย 3 เดือน ถ้าเป็นความจงใจก็สมควรให้ออก .... สถานีเองน่าจะมีจดหมายขอโทษด้วย หรือนายสถานีออกมาขอโทษด้วยตัวเอง มากกว่าการชี้แจง ...เพราะเป็นกรณีที่กระทบความรู้สึกของผู้คนในวงกว้าง

เพลงแสงดาวศรัธราที่ปล่อยแทรกเพลงสรรเสริญพระบารมีมานั้นเป็นเพลงประจำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต ไม่เคยมียุคสมัยใดที่สถาบันพระมหากษัตริย์จะถูกคุกคามย่ำยีได้มากเท่ามากเช่นนี้มาก่อน ระบบออกอากาศไม่ได้ควบคุมโดยใครเพียงคนใดคนหนึ่ง ต้องทำเป็นทีม อย่างน้อยๆต้องมี
1.ผู้กำกับคิว คอยดูแลคิวในการออกอากศในแต่ละช่วง
2.ผู้ควบคุม Switcher คอยควบคุมสัญญาณที่กำลังออกอากาศ จากผู้เตรียม Tape เตรียมไว้ให้
3.ผู้เตรียม Tape เตรียมว่าจะต้องเอาอะไรออกอากาศเตรียมสัญญาณไว้ให้
4.ผู้ช่วยด้านต่างๆอีกมาย

ดังนั้น ยิ่งมีการถ่ายทอดสดด้วยแล้ว เจ้าหน้าที่จะประจำตำแหน่งมากกว่าช่วงที่ออกอากาศด้วยระบบ Automation เสียอีก

บ้านเมืองมีปัญหาไม่ได้มีสาเหตุมาจากประชาชน แต่มีสาเหตุมาจากนักการเมือง มาจากข้าแผ่นดินที่ทำงานต่างพระเนตรพระกรรณใจไม่มั่นในงานเพื่อพระราชา การคิดจะปรองดองกันระหว่างความดีกับความชั่ว สมานฉันท์ระหว่างความถูกกับความผิดก็คือความสมานฉันท์แบบไร้หลักการเป็นความสงบที่สมยอมให้อีกฝ่ายทำชั่วต่อบ้านเมือง ความรุนแรง ความขัดแย้ง ความหวาดระแวงภายในสังคม ความแตกแยก อันเป็นการทำร้ายประเทศไทยหรือกระทั่งทำร้ายสถาบันอันเป็นจุดศูนย์รวมแห่งความรัก-สามัคคีของสังคมไทยมาโดยตลอดก็ยังคงจะดำเนินต่อไป จนกว่าศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม จะกลับคืนมาสู่สังคมเท่านั้น

งานรณรงค์เรียกร้องหยุดทำร้ายประเทศไทยนี้ดีไม่มีเสีย แต่มีคำถามคาใจอัญชะลี ไพรรีรักอยากได้คำตอบว่า จะบอกให้ใครหยุดทำร้ายประเทศไทยกันหรือ?

ก. ทักษิณ
ข. พจมาร
ค. ลูกทั้งสามและนักร้องคนนั้น
ง. บริวารของทักษิณที่เลี้ยงได้ด้วยเงินกับอำนาจ
จ. สื่อมวลชนจอมบิดเบือนที่สยบยอมให้กับเศษเงินทักษิณ
ฉ. ข้าราชการ – ทหาร –ตำรวจ ที่กระหายเงินส่วนแบ่งสองหมื่นหกพันล้านบาทที่ทักษิณดำริจะแบ่งให้
ช. คนไทยขี้หงุดหงิดชอบหนีปัญหา
และซ. พันธมิตรฯ ผู้มุ่งมั่นการเมืองใหม่

04 พฤษภาคม 2552

ฉัตรมงคล

วันฉัตรมงคลก่อนสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยุ่หัวยังคงไม่มีพิธีนี้ มีแต่พิธีที่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่จัดขึ้นเป็นการส่วนตัวเพื่อฉลองเครื่องราชูปโภคและตำแหน่งซึ่งตนรักษามา และจัดให้มีขึ้นในช่วงเดือน 6 กระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ทรงกระทำพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อ 15 พฤษภาคม 2393 พระองค์ทรงพระราชดำริว่าวันบรมราชาภิเษกเป็นมหามงคลสมัย อย่างไรก็ตามพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่าเป็นว่าเป็นการยากที่จะทรงอธิบายความหมายของวันฉัตรมงคลต่อพสกนิกรของพระองค์โดยละเอียดได้จึงทรงโปรดให้เรียกชื่อ ไปตามเก่ากว่างานสมโภชเครื่องราชูปโภคแต่ทำให้วันคล้ายวันราชาภิเษกกล่าวคือในวันนั้น (วันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 6 ) แล้วนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทภายในพระบรมมหาราชวัง

วันฉัตรมงคลเป็นวันที่ระลึกในพระราชวโรกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชอาณาจักรไทยโดยสมบูรณ์ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเมื่อ 9 มิถุนายน 2489 จากนั้นพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อ จนเมื่อทรงบรรลุนิติภาวะแล้วจึงได้เสด็จนิวัตประเทศไทย รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกถวายเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 พระองค์ได้ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้นว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ในวันราชาภิเษกสมรสนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดเกล้าฯให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

ในระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม ถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน ปี พ.ศ.2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดบวรนิเวศ มีกำหนด 15 วัน ได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็น "ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ ทรงมอบหมายให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ปฏิบัติหน้าที่ "พระมหากษัตริย์" แทนพระองค์ในระหว่างนั้น
ก็ตามราชประเพณี เมื่อสมเด็จพระราชินีปฏิบัติหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เคยมีประกาศให้ออกพระนามว่า "สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ" ต่อมา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระอภิไธยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นับแต่นั้นมา นับว่าเป็น "พระบรมราชินีนาถ" องค์ที่ 2 ของประเทศไทย โดยพระองค์แรกคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็น "สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง" โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 ทรงแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะพระองค์เสด็จประพาสยุโรป

วันที่ 3 พฤษภาคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาและพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในการพระราชพิธีฉัตรมงคล ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะแล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยทรงกราบถวายบังคมพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมราชบูรพการีซึ่งประดิษฐานเหนือพระราชบัลลังก์ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร พระสงฆ์ 25 รูปสวดพระพุทธมนต์อุทิศถวายแต่พระบรมราชบุพการีเป็นพิธีสงฆ์ สดัปกรณ์พระบรมอัฐิ สมเด็จสวดพระพุทธมนต์แล้วพระราชาคณะถวายพระธรรมเทศนา

วันที่ 4 พฤษภาคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ไปยังพระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัยในพระบรมมหาราชวัง ในพระราชพิธีสมโภชพระมหาเศวตฉัตร และเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ เนื่องในการพระราชพิธีฉัตรมงคลเริ่มพระราชพิธีฉัตรมงคลมีงานเลี้ยงพระและสมโภชเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการพระพุทธปฏิมาชัยวัตรประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทุกพระองค์ ซึ่งประดิษฐานที่หน้าพระที่นั่งบุษบกมาลา จากนั้น สมเด็จพระราชาคณะถวายศีล จบแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยบูชาเทพยดารักษานพปฎลมหาเศวตรฉัตร และเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ พระราชครูวามเทพมุณี หัวหน้าคณะพราหมณ์ อ่านประกาศพระราชพิธีฉัตรมงคล จบแล้ว พระสงฆ์ 20 รูป เจริญพระพุทธมนต์ถวายอดิเรกถวายพระพรลา ตอนเที่ยงทหารบกและทหารเรือยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติฝ่ายละ 21 นัดในวันนี้โดยปรกติจะทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ผู้ที่สร้างคุณงามความดีแก่ประเทศอีกด้วย แต่ในปีนี้ 2552 พระองค์ไม่ทรงโปรดเกล้าพระราชทานให้แก่ผู้ใด

วันที่ 5 พฤษภาคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงประกอบพระราชพิธีฉัตรมงคล เนื่องในวโรกาสครบรอบปีที่ 60 แห่งการบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เปิดปราสาทพระเทพบิดร ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชน ได้ถวายราชสักการะสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า