การเมืองภาคประชาชนหรือการเมืองนอกสภาสู้รบปรบมือกันไปสุดท้ายทำให้มาจบลงด้วยการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่มีนักการเมืองชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศอยู่ดี กลับมาสู่วังวนของการช่วงชิงอำนาจ และ ช่วงชิงคะแนนนิยมทางการเมืองภายในสภาอยู่ดี ประชาธิปัตย์ไม่ได้มีเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวดังนั้นการได้เป็นรัฐบาลในครั้งนี้ต้องอาศัยโอกาสจังหวะล้มของพรรครัฐบาลเดิมโดยพึ่งเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลเดิมส่วนหนึ่ง ภาพของนักการเมืองที่ซื่อสัตย์สุจริตที่อภิสิทธิ์เก็บหอมรอบริบมาโดยตลอดก็มาช่วยให้เขานั้นได้รับการยอมรับจากภาคประชาชน นักธุรกิจเอกชน ตลอดจนได้รับการยอมรับจากฝ่ายทหาร หรือ แม้แต่สถาบันสูงสุดของประเทศที่เขาเองก็ประกาศออกมาชัดเจนแล้วว่าจะปกป้องไม่ให้ใครดึงมาเล่น เป็นเกมการเมืองได้อีกต่อไป แต่ก็พอจะหลับตาข้างหนึ่งได้กรณีประชาธิปัตย์ยอมจับมือกับนายเนวิน ชิดชอบ จัดตั้งรัฐบาล เพราะการเมืองอยู่ในภาวะไม่ปกติและวิกฤตอย่างยิ่งแม้ว่าการตั้งมาร์ค 1 ที่ผ่านมา เมื่อปรากฏชื่อผู้ที่เป็นรัฐมนตรีก็มีเสียง "ยี้" ออกมาเกือบจะกลบเสียงสดุดีตัวนายกรัฐมนตรี เพราะบุคคลหลายคนที่ได้รับแต่งตั้งนอกจากปราศจากผลงานหรือความเชื่อมั่นแล้ว ยังมีเสียงกล่าวว่า บางคนมีประวัติในเรื่องอาชีพที่สังคมไม่ยอมรับ และบางคมมีการกล่าวอ้างว่าเป็นนายทุน ประสานกับเสียงร้องไห้โหยหวน และ เสียงชอกช้ำของผู้พลาดหวังทั้งหลายแหล่ออกมาก็ตามที
ที่ผ่านมา..ชะตาชีวิตของพรรคประชาธิปัตย์คงจะเป็นอย่างที่เขาว่า คือเข้ามาเก็บกวาด ล้างชามและทำความสะอาดสิ่งที่คนอื่นทำเลอะเทอะไว้ แล้วจากนั้นคนอื่นก็เข้ามาเสวยสุขต่อยอดเอาหน้า ในเมื่อทักษิณเองก็ไม่กล้ากลับมาพิสูจน์ตัวเองในศาลและรู้ไว้ด้วยว่าเกมที่ทักษิณจะเล่นต่อไปคือการกดดันนอกสภา อภิสิทธิ์เองก็ไม่เคยแสดงทีท่าว่าจะอ่อนข้อให้ทักษิณเลย..ไม่ว่าตั้งแต่สมัยทักษิณเป็นรัฐบาลหรือมาถึงสมัยนอมินี่ทักษิณทั้งสมัครและสมชาย ตรงข้ามอภิสิทธิ์กลับมีลูกเล่นหรือทีเด็ดทีขาดในการโต้กลับหรือการประจานระบอบทักษิณอย่างเป็นขั้นเป็นตอนค่อยเป็นค่อยไป จนระบอบทักษิณค่อยๆเสื่อมสภาพไปด้วยตัวของมันเอง .. ในขณะเดียวกันอำนาจรัฐในมือเขาที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าเขาเล่นเป็น ต่อไปเราจะต้องจับตาศึกใน-ศึกนอกรุมเร้ามาร์ค 1 จนอ่วม ! ทั้งการเมือง-ศก.-ความมั่นคง-ยุติขัดแย้งเสื้อแดง-เหลือง ภาคธุรกิจเตือนอภิสิทธิ์ให้บริหาร "ผลประโยชน์"ของชาติก่อนกลุ่มการเมือง ชี้เสียงพรรครัฐบาล "ปริ่มน้ำ"-พรรคร่วมตีรวน ส่อทำเกมในสภาฯวุ่น หมอดูเผยอภิสิทธิ์ต้องใช้ความหนักแน่น อดทนบริหารประเทศ เตือนเดือนส.ค.มีสิทธิ์ตกเก้าอี้ ส่วนเนวินสิ้นบารมีปี 52 ด้วยว่าคนรอบข้างอภิสิทธิ์ทำพิษ ด้าน "ทักษิณ"ดวงชะตาถึงฆาต-ต้องระวังถูกลอบทำร้าย
อภิสิทธิ์ต้องดำเนินแนวทางตามสิ่งที่แถลงไว้ในวันรับโปรดเกล้าและกฏเหล็ก 9 ข้อเพื่อให้คณะรัฐมนตรีนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัดโดยสาระสำคัญของกฏเหล็ก 9 ประการก็คือการมุ่งทำงาน โดยยึดผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองและประชาชนเป็นที่ตั้งเพื่อทำให้ประเทศกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีความสุข ประเทศชาติรอดพ้นจากความล่มจม รัฐมนตรีทุกคนต้องซื่อสัตย์สุจริตโปร่งใส พร้อมถูกตรวจสอบ และต้องทำงานด้วยความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ นอกจากนี้ให้รัฐมนตรีทุกคนมุ่งทำงานสร้างผลงานให้ปรากฏลูกเดียวช่วยกันกดดันรัฐมนตรีที่ทำงานไม่ได้เรื่อง หรือทุจริต เพื่อเป็นเกราะกำบังหรือสร้างความชอบธรรมในการที่คุณอภิสิทธิ์จะต้องไปควบคุมหรือกำราบบุคคลเหล่านี้
จากกรณี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณน้องพล.อ.ประวิตรอย่างไม่เหมาะสมในการย้ายกลับเข้ารับตำแหน่งผบ.ตร.น่าจะเป็นบททดสอบแรกๆของอภิสิทธิ์ ทั้งจากการที่พัชรวาทมีรายชื่อเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภาจนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตกับการถูกสอบกรณีทุจริตบริษัท เอ็น เอส มีเดีย แอสโซซิเอทส์ จำกัดที่เกาะสายอำนาจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณมาโดยตลอดจนปัจจุบันรับงานในช่อง 5 กองทัพบกอยู่หลายช่วงเวลา เอ็นเอสมีเดียได้รับงานโครงการดำเนินการจัดจ้างโฆษณาและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปทั้งหมดส่วนในเรื่องการจัดการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างบริษัทผู้รับงานกับผู้อนุมัติงบประมาณในแต่ละโครงการก็มีอัตราตายตัวแบบวัดครึ่งกรรมการครึ่ง ตำรวจไทยส่วนใหญ่มักจะวนเวียนอยู่กับการคอร์รับชั่น ของเถื่อน ของผิดกฎหมาย คุมบ่อน คุมซ่อง รีดไถและขายความยุติธรรมไม่เคยมีสมัยไหนใครเป็นนายกที่กล้าทำความสะอาดกล้าเปลี่ยนโครงสร้างตำรวจเลย
นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการรถเมล์ 4 พันคันว่า เมื่อมีพิรุธ หรือไม่ถูกต้องก็สามารถแก้ไขได้ แต่ถ้าโครงการนี้ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ เรื่องนี้ไม่ว่ากลุ่มเพื่อนเนวินหรือใครจะมาผลักดัน ถ้าทำแล้วเกิดประโยชน์ก็คงต้องทำ แต่ถ้าผิดในข้อกฎหมายหรือระเบียบใครก็คงไม่กล้าทำ เพราะทุกฝ่ายก็จับตาตรวจสอบอยู่ เมื่อถามว่า แต่โครงการนี้ทางพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยมาตลอด นายโสภณกล่าวว่า ร่วมรัฐบาลกันแล้วอันไหนดีก็ทำต่อไม่ดีก็แก้ไข ส่วน นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาด ไทย ถูกผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ยืนยันมาตลอดว่าจะเดินหน้าตรวจสอบ แต่พอเป็นรัฐบาลร่วมกันทำไมท่าทีเปลี่ยนไป ไม่เกรงจะถูกสังคมประณามหรือ รมช.มหาดไทยกล่าวว่า ทุกโครงการไม่ว่าโครงการไหนต้องตั้งอยู่บนความถูกต้อง
การเมืองใหม่เป็นอย่างนี้นี่เองที่ก้าวเริ่มจากพลเมืองเข้มแข็งไปสู่ชุมชนเข้มแข็ง สังคมเข้มแข็ง และประเทศชาติเข้มแข็ง วรจรประชาธิปไตยแบบนี้ทำให้กระบวนการตรวจสอบคึกคัก
เพื่อบรรลุถึงการปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ด้วยการเผยแพร่ให้ความรู้ที่แท้จริงแก่ส่วนรวม
27 ธันวาคม 2551
25 ธันวาคม 2551
กษิต ภิรมย์
ระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา สื่อมวลชนไทยทั้ง โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ต่างพึ่งพิงและอาศัยอยู่กับทุนนิยมสามานย์ที่ครองอำนาจรัฐเสียจนเคยตัว เป็นความเคยตัวของ “สื่อ” ที่ชีวิตวนเวียนอยู่กับการประจบสอพลอนายทุน-ผู้มีอำนาจ ที่ไม่เพียงใช้อำนาจรัฐและอำนาจเงินเข้าบีบ แต่ยังกระโดดลงมาสร้าง “สื่อเทียม” และยึดครอง “สื่อรัฐ” เป็นสมบัติของตนเอง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ อิทธิพลของกลุ่มทุนสามานย์ดังกล่าวมากมายมหาศาลถึงขนาดที่ว่าครั้งหนึ่งสื่อมวลชนไทยจำนวนไม่น้อยเคยวาดฝันว่านายทุนคนนี้จะครองประเทศไทยอยู่ถึง 20 ปี ทว่าระยะเวลา 20 ปีที่เคยวาดฝันไว้ก็สั้นกว่าที่ใครหลายคนคิด … ตลอดระยะเวลา 8-9 เดือนที่ผ่านมา ช่องเอ็นบีทีปฏิบัติตนเป็นเครื่องมือของ “ระบอบทักษิณ” อย่างสมบูรณ์แบบ โดยใช้วิธีการบิดเบือนข่าวสารแต่อาศัยคำว่า “ข่าว” บังหน้า ตีข่าวเล็กให้เป็นข่าวใหญ่ ย่อข่าวใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก เพื่อมุ่งตอบสนองผลประโยชน์ทางการเมืองของตน และทำลายศัตรูทางการเมืองอย่างไม่แยแสถึงเงินภาษีของประชาชนที่ใช้ก่อตั้งและหล่อเลี้ยงสถานี นอกจากนี้ยังมีรายการที่จงใจสร้างขึ้นเพื่อโจมตีศัตรูทางการเมืองของพรรคพลังประชาชนโดยเฉพาะพันธมิตร นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งที่เราเห็นได้ชัดที่สุดก็คือรายการความจริงวันนี้ซึ่งมีความพยายามในการนำเสนอเนื้อหาที่ทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันต่างๆ ในบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง เช่น สตง. ป.ป.ช. สถาบันตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ธรรมชาติของสื่อมวลชนไทยนั้นจริงๆ แล้วก็แค่มักจะสำคัญตัวผิด ยิ่งสื่อที่อยู่ใกล้ชิดหรือสนิทสนมกับนักการเมือง-ผู้มีอำนาจมากก็ยิ่งสำคัญตัวเองผิดมากและจนกระทั้งนึกว่าตัวเองเป็นผู้มีอำนาจเสียเอง
กษิต ภิรมย์อดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศเพียบพร้อมทุกด้านทั้งชาติตระกูลและการศึกษาและการทำงาน
กษิต ภิรมย์มีความรู้ความสามารถ หลังการรับราชการในกระทรวงการต่างประเทศนับว่าโดดเด่นชนิดที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง
กษิต ภิรมย์เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยในรัสเซีย อินโดนีเซีย เยอรมันนี ญิปุ่น และสหรัฐอเมริกาก่อนเกษียณอายุราชการในตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี
กษิต ภิรมย์เข้าร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่สมัยรัฐบาลชวน 1 และในยุคที่อภิสิทธิ์เป็นผู้นำฝ่ายค้านเขาก็เป็นรองนายกฯเงา
กษิต ภิรมย์หาญกล้าทัดทานอำนาจการเมืองในเรื่องที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน
กษิต ภิรมย์ได้ทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองที่มีสำนึกรับผิดชอบและตื่นตัวต่อเรื่องราวของบ้านเมืองมีเจตนาและความตั้งใจดี
กษิต ภิรมย์รักและเป็นห่วงชาติบ้านเมืองที่กำลังตกต่ำลงมากด้วยน้ำมือของคนไทยด้วยกันที่ขายชาติขายแผ่นดินเพื่อแลกกับผลประโยชนส่วนตัว
กษิต ภิรมย์เป็นคนที่รู้จัก กาละเทศะและเป็นสุภาพบุรษเสมอ
กษิต ภิรมย์เป็นพลเมืองที่มีสำนึกต่อบ้านเมือง ควรได้รับการสดุดีมากกว่าถูกกล่าวหา
กษิต ภิรมย์รู้เท่าทันและหาญกล้าที่จะรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติมากกว่าจะไปช่วยรักษาผลประโยชน์ส่วนตัวให้ทักษิณ
กษิต ภิรมย์จะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดีขึ้น ประชาคมโลกจะไม่ตกอยู่ภายใต้อวิชชาที่บริษัทล็อบบี้ยิสต์ภายใต้การว่าจ้างของทักษิณให้บิดเบือนและใส่ร้ายประเทศไทยไว้
กษิต ภิรมย์มีข้อมูลด้านต่างประเทศอยู่เต็มมือว่าทักษิณได้ทำร้าย ทำลายประเทศตัวเอง ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปหาประโยชน์ส่วนตัวอย่างไรบ้างและยังต้องมีผลสะเทือนต่อการหลบหนีคดีในต่างประเทศ
กษิต ภิรมย์จะมีบทบาทอย่างมากในการจัดการกับอดีตนายกทักษิณบนเวทีโลก
กษิต ภิรมย์วอนทุกฝ่ายอย่าตัดตอนมองการปิดสนามบินพันธมิตรเป็นคนทำ ย้ำไม่ใช่เรื่องสนุก ชี้ต้นเหตุมาจาก รบ.ทรราช บิดเบือนความจริง แถมยกปราสาทพระวิหารให้เขมร กลับยกเป็นวีรกรรม ดังที่การทำงานของผู้สื่อข่าวต่างประเทศของเดลิเทเลกราฟเป็นการทำให้กระดาษของเดลิเทเลกราฟเปื้อนหมึกจริง ๆ ช่างคล้าย ๆ กับหนังสือพิมพ์บางฉบับของไทยเลยพยายามจะบิดเบือนบริบทของเรื่องท่านทูตที่มันตัดตอนเอาแต่เฉพาะคำพูดติดตลกของท่านกษิตเรื่องการไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรที่เรียบร้อยดีปราศจากความรุนแรง ผู้ชุมนุมสนุกสนานและอาหารอร่อยด้วย
เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าการชุมนุมเป็นไปในทางสันติ ไม่มีความรุนแรง เป็นก้าวหน้าในเรื่องของประชาธิปไตยในไทย ทำให้ประชาชนตื่นตัวเรื่องการเมืองมากขึ้นและเกลียดการคอร์รัปชั่นของรัฐบาล ตลอดจนถูกทำร้ายเข่นฆ่ารายวันอย่างไร้มนุษยธรรม ประชาชนกลุ่มนี้ได้แสดงออกให้นานาชาติรู้แล้วว่า รัฐบาลที่ผ่านๆมานี้เป็นรัฐบาลขายชาติ เข่นฆ่าประชาชนรายวันและหมดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศต่อไปเท่านั้นเอง คาดกันว่าคนที่เล่นข่าวพวกนี้ก็เลยกังวลว่าทักษิณจะสูญเสียผลประโยชน์ทำให้ในวันนี้กษิต ภิรมย์ต้องตกเป็นเป้าการเมืองของบริวารระบอบทักษิณมากที่สุดไม่ใช่เพราะว่าเป็น "ปมด้อย" หรือ "จุดอ่อน" ของรัฐบาลชุดนี้แต่น่าจะเป็นเพราะ "ความเจ็บแค้นส่วนตัวของทักษิณ" หรือ "หวาดกลัวในความเด่นดีของรัฐมนตรีคนนี้" มากกว่า
สนามบินสวรรณภูมิก็เป็นอีกแห่งที่สร้างความอัปยศอดสูให้กับคนไทยทั้งชาติ ที่เราทำการเมืองภาคประชาชนยึดแค่ทางเข้าสนามบิน..เราไม่ได้ยึดสนามบิน โกดัง ลานบิน หลายท่านก็พูดเกินไป การกระทำของเราชาวพันธมิตรถือว่าถูกต้องแล้วเพราะต้องการหยุดการกระทำที่ที่รัฐบาล ทักษิณ-สมัคร-สมชาย-กระทำการต่อๆ กัน มันเสียหายหลายแสนล้าน มากกว่าการปิดสนามบินหลายร้อยเท่า..คนไทยที่ต้องเดือดร้อนไปตลอดชีวิตหากเราเจอรัฐทรราชปกครองแผ่นดิน เพราะเรามีรัฐบาลที่คิดแต่จะกอบโกย โกงบ้านโกงเมือง ทำลายสถาบันทุกสถาบัน ไม่เว้นแม้แต่สถาบันครอบครัวตัวเอง หากเราหยุดการกระทำของทรราชได้ ประเทศไทยเราจะกลับมาอยู่กันอย่างสงบสุข ทุกคนมีสันติสุขถ้วนหน้าการที่นักท่องเที่ยวเจอปัญหานิดหน่อยไม่กี่วัน คุณที่บอกว่าจะเดินทางไปต่างประเทศแล้วไม่ได้ไป ทำให้คุณเดือดร้อน คนไทยที่ทำส่งออกตายทั้งเป็น ฝรั่งที่เขาออกมาโวยวายว่าเดือดร้อนก็ไม่ใช่จะไม่เคยเจอที่บ้านเขากัน ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวกระจายกันไปตามแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ต้อนรับกันไม่หวาดไม่ไหว มือเป็นระวิง การส่งออก นำเข้าก็ได้รับผลกระทบใช่แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นเพราะการชุมนุมต้องไม่ลืมว่าการที่อมเริกาประสบปัญหาทางเศรษฐกิจนั้นเป็นปมหลักที่ให้ตัวเลขที่เคยงามของการส่งออกนั้นลดลงเป็นหลักต่างหาก สนามบินถูกปิดลงเองโดยผู้มีอำนาจของการท่าฯอย่างไม่เป็นขั้นเป็นตอน การลงโทษคนสั่งปิดก็เพียงแค่การตักเตือนจากคณะกรรมการบริหารการท่าฯเพราะเขามีสายสัมพันธ์กับผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เป็นพิธีกรรายการความเท็จวันนี้
กษิต ภิรมย์อดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศเพียบพร้อมทุกด้านทั้งชาติตระกูลและการศึกษาและการทำงาน
กษิต ภิรมย์มีความรู้ความสามารถ หลังการรับราชการในกระทรวงการต่างประเทศนับว่าโดดเด่นชนิดที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง
กษิต ภิรมย์เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยในรัสเซีย อินโดนีเซีย เยอรมันนี ญิปุ่น และสหรัฐอเมริกาก่อนเกษียณอายุราชการในตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี
กษิต ภิรมย์เข้าร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่สมัยรัฐบาลชวน 1 และในยุคที่อภิสิทธิ์เป็นผู้นำฝ่ายค้านเขาก็เป็นรองนายกฯเงา
กษิต ภิรมย์หาญกล้าทัดทานอำนาจการเมืองในเรื่องที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน
กษิต ภิรมย์ได้ทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองที่มีสำนึกรับผิดชอบและตื่นตัวต่อเรื่องราวของบ้านเมืองมีเจตนาและความตั้งใจดี
กษิต ภิรมย์รักและเป็นห่วงชาติบ้านเมืองที่กำลังตกต่ำลงมากด้วยน้ำมือของคนไทยด้วยกันที่ขายชาติขายแผ่นดินเพื่อแลกกับผลประโยชนส่วนตัว
กษิต ภิรมย์เป็นคนที่รู้จัก กาละเทศะและเป็นสุภาพบุรษเสมอ
กษิต ภิรมย์เป็นพลเมืองที่มีสำนึกต่อบ้านเมือง ควรได้รับการสดุดีมากกว่าถูกกล่าวหา
กษิต ภิรมย์รู้เท่าทันและหาญกล้าที่จะรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติมากกว่าจะไปช่วยรักษาผลประโยชน์ส่วนตัวให้ทักษิณ
กษิต ภิรมย์จะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดีขึ้น ประชาคมโลกจะไม่ตกอยู่ภายใต้อวิชชาที่บริษัทล็อบบี้ยิสต์ภายใต้การว่าจ้างของทักษิณให้บิดเบือนและใส่ร้ายประเทศไทยไว้
กษิต ภิรมย์มีข้อมูลด้านต่างประเทศอยู่เต็มมือว่าทักษิณได้ทำร้าย ทำลายประเทศตัวเอง ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปหาประโยชน์ส่วนตัวอย่างไรบ้างและยังต้องมีผลสะเทือนต่อการหลบหนีคดีในต่างประเทศ
กษิต ภิรมย์จะมีบทบาทอย่างมากในการจัดการกับอดีตนายกทักษิณบนเวทีโลก
กษิต ภิรมย์วอนทุกฝ่ายอย่าตัดตอนมองการปิดสนามบินพันธมิตรเป็นคนทำ ย้ำไม่ใช่เรื่องสนุก ชี้ต้นเหตุมาจาก รบ.ทรราช บิดเบือนความจริง แถมยกปราสาทพระวิหารให้เขมร กลับยกเป็นวีรกรรม ดังที่การทำงานของผู้สื่อข่าวต่างประเทศของเดลิเทเลกราฟเป็นการทำให้กระดาษของเดลิเทเลกราฟเปื้อนหมึกจริง ๆ ช่างคล้าย ๆ กับหนังสือพิมพ์บางฉบับของไทยเลยพยายามจะบิดเบือนบริบทของเรื่องท่านทูตที่มันตัดตอนเอาแต่เฉพาะคำพูดติดตลกของท่านกษิตเรื่องการไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรที่เรียบร้อยดีปราศจากความรุนแรง ผู้ชุมนุมสนุกสนานและอาหารอร่อยด้วย
เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าการชุมนุมเป็นไปในทางสันติ ไม่มีความรุนแรง เป็นก้าวหน้าในเรื่องของประชาธิปไตยในไทย ทำให้ประชาชนตื่นตัวเรื่องการเมืองมากขึ้นและเกลียดการคอร์รัปชั่นของรัฐบาล ตลอดจนถูกทำร้ายเข่นฆ่ารายวันอย่างไร้มนุษยธรรม ประชาชนกลุ่มนี้ได้แสดงออกให้นานาชาติรู้แล้วว่า รัฐบาลที่ผ่านๆมานี้เป็นรัฐบาลขายชาติ เข่นฆ่าประชาชนรายวันและหมดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศต่อไปเท่านั้นเอง คาดกันว่าคนที่เล่นข่าวพวกนี้ก็เลยกังวลว่าทักษิณจะสูญเสียผลประโยชน์ทำให้ในวันนี้กษิต ภิรมย์ต้องตกเป็นเป้าการเมืองของบริวารระบอบทักษิณมากที่สุดไม่ใช่เพราะว่าเป็น "ปมด้อย" หรือ "จุดอ่อน" ของรัฐบาลชุดนี้แต่น่าจะเป็นเพราะ "ความเจ็บแค้นส่วนตัวของทักษิณ" หรือ "หวาดกลัวในความเด่นดีของรัฐมนตรีคนนี้" มากกว่า
สนามบินสวรรณภูมิก็เป็นอีกแห่งที่สร้างความอัปยศอดสูให้กับคนไทยทั้งชาติ ที่เราทำการเมืองภาคประชาชนยึดแค่ทางเข้าสนามบิน..เราไม่ได้ยึดสนามบิน โกดัง ลานบิน หลายท่านก็พูดเกินไป การกระทำของเราชาวพันธมิตรถือว่าถูกต้องแล้วเพราะต้องการหยุดการกระทำที่ที่รัฐบาล ทักษิณ-สมัคร-สมชาย-กระทำการต่อๆ กัน มันเสียหายหลายแสนล้าน มากกว่าการปิดสนามบินหลายร้อยเท่า..คนไทยที่ต้องเดือดร้อนไปตลอดชีวิตหากเราเจอรัฐทรราชปกครองแผ่นดิน เพราะเรามีรัฐบาลที่คิดแต่จะกอบโกย โกงบ้านโกงเมือง ทำลายสถาบันทุกสถาบัน ไม่เว้นแม้แต่สถาบันครอบครัวตัวเอง หากเราหยุดการกระทำของทรราชได้ ประเทศไทยเราจะกลับมาอยู่กันอย่างสงบสุข ทุกคนมีสันติสุขถ้วนหน้าการที่นักท่องเที่ยวเจอปัญหานิดหน่อยไม่กี่วัน คุณที่บอกว่าจะเดินทางไปต่างประเทศแล้วไม่ได้ไป ทำให้คุณเดือดร้อน คนไทยที่ทำส่งออกตายทั้งเป็น ฝรั่งที่เขาออกมาโวยวายว่าเดือดร้อนก็ไม่ใช่จะไม่เคยเจอที่บ้านเขากัน ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวกระจายกันไปตามแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ต้อนรับกันไม่หวาดไม่ไหว มือเป็นระวิง การส่งออก นำเข้าก็ได้รับผลกระทบใช่แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นเพราะการชุมนุมต้องไม่ลืมว่าการที่อมเริกาประสบปัญหาทางเศรษฐกิจนั้นเป็นปมหลักที่ให้ตัวเลขที่เคยงามของการส่งออกนั้นลดลงเป็นหลักต่างหาก สนามบินถูกปิดลงเองโดยผู้มีอำนาจของการท่าฯอย่างไม่เป็นขั้นเป็นตอน การลงโทษคนสั่งปิดก็เพียงแค่การตักเตือนจากคณะกรรมการบริหารการท่าฯเพราะเขามีสายสัมพันธ์กับผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เป็นพิธีกรรายการความเท็จวันนี้
23 ธันวาคม 2551
มันยังไม่เลิกจองเวร
เดลินิวส์-ข่าวสด ไม่เลิกจองเวรพันธมิตรฯ มั่วข้อมูลกล่าวหาควักพระเนตร พระพรหม ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ทั้งๆ ที่ความจริง กรมศิลป์-ลอยเลื่อนยืนยันว่า เป็นแค่เป็นการปิดทองคำเปลวเท่านั้น ชี้ชัด บิดเบือนข้อมูลมาตั้งแต่กล่าวหาศิลปิน พธม.กำระเบิดทั้งๆ ที่เจ้าตัวปางตาย-แค่กำกุญแจ หลายครั้งที่หนังสือพิมพ์ทั้ง 2 ฉบับ ถือว่าเป็นสื่อที่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงหลายประการโดยในครั้งนี้ที่หน้า 1 ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับเมื่อวันเสาร์ ที่ผ่านมา ได้มีพาดหัวข่าวใหญ่ว่า “ทำคุณไสยทั่วทำเนียบฯ ควักเนตร ท้าวมหาพรหมไทยคู่ฟ้า” ซึ่งถือว่าเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน และเป็นการสร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน ในวันเดียวกันหนังสือพิมพ์ข่าวสด ก็พาดหัวว่า “ผงะคุณไสย “พธม.” เต็มทำเนียบ ปิดเนตรพระพรหม” แม้ว่าในหัวข่าวจะไม่ได้ระบุว่ามีการควักพระเนตรท้าวมหาพรหมก็ตาม แต่ในเนื้อข่าวกลับเขียนว่าพบที่ดวงตาท้าวมหาพรหม ซึ่งมีอยู่ทั้ง 4 หน้า ถูกควักออกไปเหลือแต่รูโบ๋ นักวิชาการช่างศิลป์หรือประติมากรควรจะได้ออกมาให้ข้อมูลทางศิลปะให้สื่อมวลชนและประชาชนเข้าใจว่าการปั้นรูปเหมือนโดยเฉพาะดวงตา ช่างเขาจะคว้านดวงตาให้มีลักษณะกลมลึกเพื่อเกิดแสงเงาดูเหมือนดวงตาจริงนี่คือวิธีทางการช่างไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นการควักลูกตา การนำเสนอข่าวดังกล่าวของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และข่าวสดถูกสื่อโทรทัศน์หลายช่องได้นำไปอ่านออกอากาศและสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนทั่วไป ทั้งๆ ที่ความจริงเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากรและนายลอยเลื่อน บุนนาครองเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกมายืนยันแล้วว่า จากการสำรวจองค์พระพรหมนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่ได้มีการควักพระเนตรอะไรออกไป เพียงแต่เป็นการเอาแผ่นทองคำเปลวไปปิดเท่านั้น
เหตุการณ์เช้าตรู่ของวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ใครจะคาดคิดว่าประชาชนที่เรียกร้องต่อสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณเพียงเพื่อคนคนเดียว! ภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลัง อาวุธหนัก และแก๊สน้ำตาเข้าสลายฝูงชนที่เข้าร่วมชุมนุมอยู่ เป็นเหตุให้มีประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บสาหัส นอกจากนั้นยังมีประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมเสียชีวิตด้วย สิ่งที่ประชาชนทั่วไปได้เห็นและรับรู้ก็คือ รัฐบาล นายตำรวจใหญ่ สื่อมวลชนบางค่ายและคนที่มีอคติต่อพันธมิตรฯ กลับมองและบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างไม่รู้สึกละอายแก่ใจ “ผู้ชุมนุมพกระเบิดมาเอง” “คนขาขาดคือขอทานพิการอยู่แล้ว” “แก๊สน้ำตาไม่ได้ทำให้คนเสียชีวิต” และอีกหลายต่อหลายกรณีที่ถูกแต่งเติมออกมาจากสมองของคนบาปพวกนี้ ชาวบล็อกของเว็บไซต์ต่างๆก็ส่วนหนึ่งก็เป็นแหล่งรวมข้อมูลของผู้อยู่ในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาฯ หรือร่วมชุมนุมกับพันธมิตรมาอย่างต่อเนื่องพวกเขาเขียนบันทึกจากความเป็นจริงที่เห็นและสัมผัส หลายเรื่องสะท้อนอารมณ์ความรู้สึก คุณค่าความเป็นมนุษย์ การให้ความเคารพ คำสดุดีแด่วีรชนและเรื่องราวมากมายที่กลั่นกรองมาจากประสบการณ์จริงยกตัวอย่างเช่น “…เราเห็นกับตาว่าคนที่แต่งกายแบบตำรวจ ทำร้ายประชาชนบาดเจ็บ มีผู้หญิงตาย 1 คน มีคนขาขาด มีคนแขนขาด เราพยายามโทร.ตามหาเพื่อนๆน้องๆ ที่เป็นทหารด้วยกัน และคุมกำลัง ขอร้องให้ออกไปช่วยประชาชน…” เมื่อรวมกันหลายๆ คนหลายๆ เรื่อง ผู้อ่านก็จะต่อภาพรวมได้ตามทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น นี่จึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรมองข้าม และอาจจะทรงคุณค่าเสียยิ่งกว่าข้อมูลจากสื่อเสียด้วยซ้ำ หลังจากนั้นเป็นเวลาสองเดือนเศษนับจากวันที่ 7 ตุลาคม 2551 กว่าที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะสรุป และส่งผลการสอบสวนเรื่อง “ความรุนแรงและการสูญเสียจากกรณีการสลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 7 ตุลาคม 2551” ภาพการสลายการชุมนุมเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ได้รับอันตรายสาหัส ฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้กับคณะกรรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
คนทั่วไปที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ก็คงเห็นแต่ยอดภูเขาน้ำแข็งว่าคนพวกนี้(พันธมิตร) ทำเรื่องวุ่นวาย แต่สิ่งที่พวกนักการเมืองชั่วทำกันไว้ ไม่เคยมองเห็นสื่อสัญดานจิ้งจกอย่าง NBT ที่เป็นของรัฐก็พูดจาข้างเดียวไม่เคยนำคนที่เป็นกลางจริงๆมาพูดเลย มีแต่คนของอดีตรัฐบาลทั้งนั้นทั้งๆที่ปัญหาวันนี้อยู่ที่คนคนเดียวเพราะมันคนเดียว “การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น เป็นสิ่งที่ชาวต่างประเทศควรจะดีใจ เพราะถือว่าเป็นครั้งแรกที่ประชาชนคนธรรมดา มีอำนาจเต็มที่ในการต่อต้านการคอร์รัปชัน และการที่สังคมต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้ ก็จำเป็นต้องมีราคาที่ต้องจ่าย” รมว.ต่างประเทศคนใหม่ นายกษิต ภิรมย์อดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศได้กล่าวไว้เมื่อมีชาวต่างประเทศตั้งคำถามโดยกล่าวหาว่า กลุ่มพันธมิตรมีการว่าจ้าง “การ์ด” ติดอาวุธต่างๆ ทั้งไม้พลอง ปืน และ ระเบิด นายกษิตก็ได้กล่าววิพากษ์ว่าเป็นคำถามที่ชักจูงให้รู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรนั้นมีการใช้ความรุนแรง ทั้งๆ ที่ผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการชุมนุม 193 วันนั้นเป็นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพันธมิตรทั้งหมด นอกจากนี้นายกษิตยังตอบกลับไปด้วยว่า “คนอื่นหาว่าเรามีอาวุธ แต่ภรรยาผมก็ไปร่วมชุมนุมทุกเย็น แล้วเธอพกอาวุธอะไรไปน่ะเหรอ ก็อาหารกับยาน่ะซิ!”
เหตุการณ์เช้าตรู่ของวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ใครจะคาดคิดว่าประชาชนที่เรียกร้องต่อสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณเพียงเพื่อคนคนเดียว! ภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลัง อาวุธหนัก และแก๊สน้ำตาเข้าสลายฝูงชนที่เข้าร่วมชุมนุมอยู่ เป็นเหตุให้มีประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บสาหัส นอกจากนั้นยังมีประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมเสียชีวิตด้วย สิ่งที่ประชาชนทั่วไปได้เห็นและรับรู้ก็คือ รัฐบาล นายตำรวจใหญ่ สื่อมวลชนบางค่ายและคนที่มีอคติต่อพันธมิตรฯ กลับมองและบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างไม่รู้สึกละอายแก่ใจ “ผู้ชุมนุมพกระเบิดมาเอง” “คนขาขาดคือขอทานพิการอยู่แล้ว” “แก๊สน้ำตาไม่ได้ทำให้คนเสียชีวิต” และอีกหลายต่อหลายกรณีที่ถูกแต่งเติมออกมาจากสมองของคนบาปพวกนี้ ชาวบล็อกของเว็บไซต์ต่างๆก็ส่วนหนึ่งก็เป็นแหล่งรวมข้อมูลของผู้อยู่ในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาฯ หรือร่วมชุมนุมกับพันธมิตรมาอย่างต่อเนื่องพวกเขาเขียนบันทึกจากความเป็นจริงที่เห็นและสัมผัส หลายเรื่องสะท้อนอารมณ์ความรู้สึก คุณค่าความเป็นมนุษย์ การให้ความเคารพ คำสดุดีแด่วีรชนและเรื่องราวมากมายที่กลั่นกรองมาจากประสบการณ์จริงยกตัวอย่างเช่น “…เราเห็นกับตาว่าคนที่แต่งกายแบบตำรวจ ทำร้ายประชาชนบาดเจ็บ มีผู้หญิงตาย 1 คน มีคนขาขาด มีคนแขนขาด เราพยายามโทร.ตามหาเพื่อนๆน้องๆ ที่เป็นทหารด้วยกัน และคุมกำลัง ขอร้องให้ออกไปช่วยประชาชน…” เมื่อรวมกันหลายๆ คนหลายๆ เรื่อง ผู้อ่านก็จะต่อภาพรวมได้ตามทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น นี่จึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรมองข้าม และอาจจะทรงคุณค่าเสียยิ่งกว่าข้อมูลจากสื่อเสียด้วยซ้ำ หลังจากนั้นเป็นเวลาสองเดือนเศษนับจากวันที่ 7 ตุลาคม 2551 กว่าที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะสรุป และส่งผลการสอบสวนเรื่อง “ความรุนแรงและการสูญเสียจากกรณีการสลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 7 ตุลาคม 2551” ภาพการสลายการชุมนุมเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ได้รับอันตรายสาหัส ฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้กับคณะกรรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
คนทั่วไปที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ก็คงเห็นแต่ยอดภูเขาน้ำแข็งว่าคนพวกนี้(พันธมิตร) ทำเรื่องวุ่นวาย แต่สิ่งที่พวกนักการเมืองชั่วทำกันไว้ ไม่เคยมองเห็นสื่อสัญดานจิ้งจกอย่าง NBT ที่เป็นของรัฐก็พูดจาข้างเดียวไม่เคยนำคนที่เป็นกลางจริงๆมาพูดเลย มีแต่คนของอดีตรัฐบาลทั้งนั้นทั้งๆที่ปัญหาวันนี้อยู่ที่คนคนเดียวเพราะมันคนเดียว “การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น เป็นสิ่งที่ชาวต่างประเทศควรจะดีใจ เพราะถือว่าเป็นครั้งแรกที่ประชาชนคนธรรมดา มีอำนาจเต็มที่ในการต่อต้านการคอร์รัปชัน และการที่สังคมต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้ ก็จำเป็นต้องมีราคาที่ต้องจ่าย” รมว.ต่างประเทศคนใหม่ นายกษิต ภิรมย์อดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศได้กล่าวไว้เมื่อมีชาวต่างประเทศตั้งคำถามโดยกล่าวหาว่า กลุ่มพันธมิตรมีการว่าจ้าง “การ์ด” ติดอาวุธต่างๆ ทั้งไม้พลอง ปืน และ ระเบิด นายกษิตก็ได้กล่าววิพากษ์ว่าเป็นคำถามที่ชักจูงให้รู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรนั้นมีการใช้ความรุนแรง ทั้งๆ ที่ผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการชุมนุม 193 วันนั้นเป็นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพันธมิตรทั้งหมด นอกจากนี้นายกษิตยังตอบกลับไปด้วยว่า “คนอื่นหาว่าเรามีอาวุธ แต่ภรรยาผมก็ไปร่วมชุมนุมทุกเย็น แล้วเธอพกอาวุธอะไรไปน่ะเหรอ ก็อาหารกับยาน่ะซิ!”
22 ธันวาคม 2551
การเมืองเก่า
การเมืองเก่าไม่ได้แก้ปัญหาและรับใช้ประชาชน แต่เข้ามาเพื่อรับใช้นายทุนและแสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง ทำงานไม่เท่าไรก็มีร่ำรวยแบบก้าวกระโดด แค่เพียงการนำ ปตท.เข้าตลาดหลักทรัพย์ทำให้ประเทศไทยสูญเสียเม็ดเงินกว่าหนึ่งล้านล้านบาทเพราะระบอบทักษิณ ทำให้ประชาชนมีค่าครองชีพสูงอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เพื่อขูดเลือดเนื้อให้คนกลุ่มหนึ่งร่ำรวยเท่านั้น ปัจจุบันสังคมไทยกลายเป็นสังคมประหลาด ทั้งๆที่ระบอบเนวินเป็นระบอบที่มีเครือข่ายมากมายในภาคอีสานซึ่งเป็นระบอบที่ไม่ดีเลยเป็นเรื่องประหลาดที่แม้แต่ระบอบทักษิณก็เอาเนวินไม่อยู่ยิ่งในยามที่ทักษิณตกต่ำเนวินกลับแข็งขึ้นและหันมาซบอกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเข้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้งทั้งๆที่เชื่อได้ยากว่าเนวินจะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็นคนดีได้เคยดูดเลือดจนทักษิณอิบอ๋ายมาแล้ว นายเนวิน ชิดชอบเป็นหมัดตัวหนึ่งทางการเมืองที่กระโดดออกจากตัว “ทักษิณ” ที่พี่น้องร่วมขับไล่มาโดยตลอดและเป็นบุคคลที่ต้องจับตาให้มากที่สุด แต่เวลานี้คนไทยกลับบอกว่าโปรดให้โอกาสพวกเขาและมัน รัฐบาลในปัจจุบันนั้นแม้ว่าจะไม่ปฎิเสธที่จะยอมรับแต่เราหลายๆคนไม่พอใจที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์อ้างว่าถ้าไม่มีกลุ่มเพื่อนเนวินก็ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลในวันนี้ แต่ถึงรัฐบาลใหม่เป็น ปชป. เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแต่ก็ยังอยู่ในระบบการเมืองเก่าและรมต.ไม้ประดับหลายๆคนที่เป็นเห็บเหาทางการเมือง
แม้ว่าเราจะได้รัฐบาลที่ไม่ค่อยสมใจอยากเท่าใดนักแต่จะทำอย่างไรได้เล่าเพราะหมากกระดานนี้ไม่ใช่เริ่มต้นกระดานใหม่ๆ แต่เป็นหมากที่เล่นคากระดานกันอยู่มีตัวหมากอยู่เท่าไหนก็เล่นได้เท่านั้นแต่นี้ไปจะเล่นได้ดีแค่ไหนหรือจะต้องล้มกระดานกันไปเลย การเมืองจะเปลี่ยนขั้วอย่างไรพรรคไหนจะเป็นรัฐบาลก็ได้แต่ขอไม่ให้ไม่มีพฤติกรรมซ้ำรอยการเมืองเก่าโดยเฉพาะหลังการแถลงนโยบายไปแล้ว คณะบริหารมักจะไม่ฟังเสียงของประชาชนแต่ใช้อำนาจปู้ยี่ปู้ยำประเทศเพราะฉะนั้นกระบวนการภาคประชาชนจึงต้องหลอมรวมด้วยภูมิปัญญาที่มีอยู่และความเข้าใจเพื่อผลักดันให้ข้ามพ้นการเมืองเส็งเคร็งที่เน้นที่การโกงชาติแบบหน้าด้านๆ การโกงภาษีประชาชน และยังโลภโมโทสันกับครอบงำสื่อ หรือปล่อยลูกน้องและพวกโกงเอาๆ คิดทำแต่ประโยน์ส่วนตน แถมยังสร้างค่นิยมผิดๆ ค่านิยมเสื่อมๆให้ประชาชนทุกระดับด้วย ทั้งๆที่เรายังมีพ่อหลวงคอยอุ้มชูและเตือนสติ สิ่งที่ท่านสั่งสอนตักเตือนก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องถูกต้องควรกระทำทั้งสิ้น หากพวกนักการเมืองยังไม่ลดละเลิก ยังไม่สำเหนียกบ้างและเห็นแก่ตัวน้อยลงบ้าง ใครจะมาเป็นรัฐบาลเราก็มีสิทธิขับไล่ได้ ถ้าไม่ทำประโยชน์ให้กับประเทศเพื่อเปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถเข้ามา ทำงานให้ประชาชนแทน ถ้านักการเมืองทำงานเพื่อประชาชนแล้วไม่มีใครเลยที่จะร่ำรวยแต่จะอยู่อย่างสมถะ มีความประพฤติที่เป็นแบบอย่าง ดังตัวอย่างที่เห็น อาทิ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นต้น สิ่งที่ประชาชนต้องการคือการเมืองใหม่คือการมีผู้บริหารรัฐบาลเป็นลูกจ้างที่รับใช้ประชาชน ไม่ใช่เลือกมาเป็นเจ้านายและเหยียบย่ำประชาชนเพื่อก้าวสู่ที่สูง ผู้คนในบ้านในเมืองเราคงเป็นสุขมาก ดังนั้นชาวไทยทุกคนต้องสร้างความรัก สามัคคีต่อกัน และจัดเวทีให้ความรู้ทางการเมืองเพื่อรู้เท่าทันเกมนักการเมืองต่อไป ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันให้ประเทศอยู่ได้ และให้การต่อสู้ ตรวจสอบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องอยู่ในทุกลมหายใจเข้าออก
แม้ว่าเราจะได้รัฐบาลที่ไม่ค่อยสมใจอยากเท่าใดนักแต่จะทำอย่างไรได้เล่าเพราะหมากกระดานนี้ไม่ใช่เริ่มต้นกระดานใหม่ๆ แต่เป็นหมากที่เล่นคากระดานกันอยู่มีตัวหมากอยู่เท่าไหนก็เล่นได้เท่านั้นแต่นี้ไปจะเล่นได้ดีแค่ไหนหรือจะต้องล้มกระดานกันไปเลย การเมืองจะเปลี่ยนขั้วอย่างไรพรรคไหนจะเป็นรัฐบาลก็ได้แต่ขอไม่ให้ไม่มีพฤติกรรมซ้ำรอยการเมืองเก่าโดยเฉพาะหลังการแถลงนโยบายไปแล้ว คณะบริหารมักจะไม่ฟังเสียงของประชาชนแต่ใช้อำนาจปู้ยี่ปู้ยำประเทศเพราะฉะนั้นกระบวนการภาคประชาชนจึงต้องหลอมรวมด้วยภูมิปัญญาที่มีอยู่และความเข้าใจเพื่อผลักดันให้ข้ามพ้นการเมืองเส็งเคร็งที่เน้นที่การโกงชาติแบบหน้าด้านๆ การโกงภาษีประชาชน และยังโลภโมโทสันกับครอบงำสื่อ หรือปล่อยลูกน้องและพวกโกงเอาๆ คิดทำแต่ประโยน์ส่วนตน แถมยังสร้างค่นิยมผิดๆ ค่านิยมเสื่อมๆให้ประชาชนทุกระดับด้วย ทั้งๆที่เรายังมีพ่อหลวงคอยอุ้มชูและเตือนสติ สิ่งที่ท่านสั่งสอนตักเตือนก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องถูกต้องควรกระทำทั้งสิ้น หากพวกนักการเมืองยังไม่ลดละเลิก ยังไม่สำเหนียกบ้างและเห็นแก่ตัวน้อยลงบ้าง ใครจะมาเป็นรัฐบาลเราก็มีสิทธิขับไล่ได้ ถ้าไม่ทำประโยชน์ให้กับประเทศเพื่อเปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถเข้ามา ทำงานให้ประชาชนแทน ถ้านักการเมืองทำงานเพื่อประชาชนแล้วไม่มีใครเลยที่จะร่ำรวยแต่จะอยู่อย่างสมถะ มีความประพฤติที่เป็นแบบอย่าง ดังตัวอย่างที่เห็น อาทิ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นต้น สิ่งที่ประชาชนต้องการคือการเมืองใหม่คือการมีผู้บริหารรัฐบาลเป็นลูกจ้างที่รับใช้ประชาชน ไม่ใช่เลือกมาเป็นเจ้านายและเหยียบย่ำประชาชนเพื่อก้าวสู่ที่สูง ผู้คนในบ้านในเมืองเราคงเป็นสุขมาก ดังนั้นชาวไทยทุกคนต้องสร้างความรัก สามัคคีต่อกัน และจัดเวทีให้ความรู้ทางการเมืองเพื่อรู้เท่าทันเกมนักการเมืองต่อไป ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันให้ประเทศอยู่ได้ และให้การต่อสู้ ตรวจสอบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องอยู่ในทุกลมหายใจเข้าออก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)