11 กรกฎาคม 2552

หลังวัน 7 ตุลาคม 2551 เราเคยได้ยินกันบ้างไหมว่า ....

วันก่อนพบรายงานข่าวของเพื่อนพ้องชาวพันธมิตร การย้อนกลับไปอ่านบทความ.อาลัย และ กำลังใจแด่ วีรชนคนกล้า 7 ตุลาคม 2551. วันนี้“สารวัตรจ๊าบ” พ.ต.ท.เมธีที่ภรรยาเผยสามีภาคภูมิใจใน “พันธมิตรฯ” มากยังคงถูกแกนนำชาวเสื้อแดงปั่นหัวลิ่วล้ออย่างไม่สิ้นสุดทาง เลวสเตชัน อย่างล่าสุดก็เมื่อค่ำคืนที่ 11 ก.ค.ว่าสารวัตรจ๊าบนำอาวุธเข้ามาเพื่อก่อจราจลแต่เกิดเหตุรถเชอโรกีระเบิดที่หน้าพรรคชาติไทยเสียก่อน ชาวบ้านตาใสๆที่ถูกปั่นหัวจะมีโอกาสรู้ไหมว่า สารวัตรจ๊าบเป็นคนในพื้นที่บุรีรัมย์ที่คนตระกูลโฉดที่ยึดเขากระโดงไปทั้งลูกจากชาวไทยทั้งปวงสั่งเก็บ

ตี๋ - ชิงชัย อุดมเจริญกิจ ในวันที่มือมิอาจจับพู่กันเขียนภาพ ก็ถูกแกนนำชาวเสื้อแดงตำหนิว่า ยังกำระเบิดอยู๋เลยหลังบาดเจ็บ

ภาพตี๋ ชิงชัยที่ได้รับบาดเจ็บในวันสลายม็อบโดยในมือกำพวงกุญแจไว้ แต่ตำรวจระบุในตอนนั้นว่ากำระเบิด จนนำไปสู่การฟ้องร้อง พล.ต.ต.สุรพล ทวนทองรองโฆษกสตช.ยอมขอโทษศิลปินกู้ชาติตี๋ ชิงชัยที่เคยให้ข่าวผิดพลาดว่าตี๋พกระเบิดทั้งที่จริงเป็นเพียงพวงกุญแจหนังเมื่อ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส่วนคอลัมนิสต์ข่าวสด จำเลยร่วม ยินดีแก้ไขข่าวลงนสพ. ให้ขณะที่ทนายสุวัตรได้ถอนฟ้องคดีแล้วถึงแม้ว่าจะยังมีผู้บาดเจ็บอีกหลายต่อหลายรายถูกแกนนำหัวขวดจาบจ้วงไม่เลิก

อีกเพียง 3 เดือนก็จะครบรอบหนึ่งปีของเหตุการณ์ 7 ตุลาเลือดแล้วแต่ในส่วนของการดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายกับนักการเมืองชั่วซึ่งสั่งให้หมู่ตำรวจโฉดเข้ากลุ้มรุมทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ในนามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วยอาวุธสงครามนานาชนิดกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ โดยเรื่องยังค้างคาอยู่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ไต่สวนแจ้งข้อกล่าวหาและพิจารณาส่งฟ้องศาล ทว่าในทางกลับกันอีกคดีหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในวันเดียวกันกลับถูกดำเนินการไปอย่างรวดเร็วเช่นที่ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ พนักงานอัยการพิเศษเป็นโจทก์ฟ้องนายปรีชา ตรีจรูญข้าราชการวัยใกล้เกษียณก็เป็นผู้หนึ่งที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดดังกล่าวด้วยเป็นจำเลยข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่โดยไต่ตรองไว้ก่อน,มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย, ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยผู้กระทำผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธขับรถยนต์กระบะพุ่งชนตำรวจในเหตุการณ์ตำรวจสลายการชุมนุม 7 ต.ค.51 โดยจำเลยกับพวกเป็นกลุ่มพันธมิตรฯได้มาชุมนุมขับไล่รัฐบาลสมชายกระโปรง โดยปิดล้อมถนนและทางเข้าออกรัฐสภาโดยวางแผนล่วงหน้าเตรียมรถยนต์กระบะที่ใช้ทำร้ายจอดไว้ในกลุ่มผู้ชุมนุมฯ ต่อมาจำเลยได้ขับรถยนต์กระบะไล่ชนเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากผู้เสียหายหลบได้ทันและมีผู้เข้าช่วยเหลือ นายปรีชา ตรีเจริญปฏิเสธไม่ได้มีเจตนาฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยวางแผนหรือไตร่ตรองไว้ก่อนแต่ทำไปเพราะรู้สึกโกรธมากที่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาทำร้ายประชาชนผู้ชุมนุมตลอดทั้งวันและถูกกระสุนยิงเข้าที่ตาข้างขวาจนแหลกละเอียดและดั้งจมูกหักเข้ารักษานานประมาณ 2 เดือนและพิการต้องใส่ดวงตาเทียมในเวลาต่อมา


“วันนั้นผมมาชุมนุมตั้งแต่คืนวันที่ 6 ตุลาฯซึ่งมีการประกาศระดมพล พอเช้าวันที่ 7 ตำรวจก็เริ่มยิงระเบิดเข้าใส่ผู้ชุมนุม มีคนบาดเจ็บเลือดสาดเต็มไปหมดคือเห็นภาพแล้วมันเศร้ามาก แต่เราทำอะไรไม่ได้รถพยาบาลวิ่งขนคนเจ็บออกมาคันแล้วคันเล่าผมเองไม่ได้นั่งชุมนุมอยู่กับที่ ไปทางโน้นทีทางนี้ที อย่างตอนที่ตำรวจกักรถพยาบาลไม่ให้พาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล ผมก็ขับรถออกไปวนออกดูรอบๆ ... ผมก็เพลียมากเลยออกไปหาที่พักนอนแถวๆถนนสุโขทัยเพราะตรงลานพระรูปทรงม้าร้อนมาก ไม่มีที่หลบแดดเลย พอตื่นมารู้สึกหิวมากก็เลยขับรถออกไปหาอะไรกิน นั่งกินข้าวอยู่เห็นข่าวในทีวีว่าตำรวจเริ่มยิงอีก โอย..พวกเราโดนอีกแล้ว ผมก็เลยรีบกลับไปสมทบ ขับมาทางถนนราชวิถีจนมาถึงแยกอู่ทอง ผมก็ปะทะกับตำรวจตรงนั้น คือมันอัดอั้นมาก เราโดนกราดยิง โดนระเบิดกันมาตั้งแต่เช้า รถผมอยู่ด้านราชวิถี ส่วนตำรวจอยู่ด้านแยกการเรือน ผมก็ขับรถพุ่งไปทางตำรวจ คือตอนนั้นมันทนไม่ไหวแล้ว ตำรวจยิงถล่มตั้งแต่เช้าจนบ่ายทั้งๆที่ตำรวจก็เห็นว่าพวกเราไม่มีอาวุธอะไร ถ้าพวกเรามีอาวุธนะตำรวจก็ต้องถูกยิงบาดเจ็บบ้างแล้ว แต่นี่เขายิงเราข้างเดียว ยิงอย่างคะนองมือ ... ตอนขับรถพุ่งไปเนี่ยผมโกรธจนตัวสั่น ไม่รู้หรอกว่ามีตำรวจกี่คน ตอนนั้นรู้แต่ว่ารถบัสของตำรวจพยายามมาขวางทาง ผมก็ขับถอยหลัง ตอนนั้นก็ไม่เห็นว่าข้างหลังรถเนี่ยมีตำรวจหรือเปล่า เพราะว่ารถผมมันสูง เป็นรถปิ๊กอัพ โฟร์วิล ยกสูง ตอนนั้นผมโกรธจนปากสั่นตัวสั่น เบลอไปหมดแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าชนอะไรบ้างหรือเปล่า ตอนนั้นจำได้ว่าผมขับรถเคลื่อนไปข้างหน้า พอเห็นว่ามีรถบัสของตำรวจขวางอยู่ ผมก็เข้าเกียร์ถอยหลัง แล้วก็รู้สึกว่ามีอะไรมากระแทกที่หน้า แล้วผมก็มองอะไรไม่เห็นอีกเลย ตอนนั้นยังไม่รู้สึกเจ็บนะ ก็รู้สึกว่ามีคนมาพาออกไปจากรถ แต่ไม่รู้ว่าใคร มารู้ทีหลังว่าถูกตำรวจยิงแล้วมีคนพาส่งโรงพยาบาลรามาฯ ปรากฏว่าตาขวาแตก แล้วก็บอดสนิท ดั้งจมูกหัก ก็รักษาอยู่นานหลายเดือนครับ ผมเพิ่งใส่ลูกตาเทียมเมื่อตอนต้นปี ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ หรือ มีนาคม นี่แหล่ะ แต่สภาพร่างกายอะไรมันก็ไม่เหมือนเดิมหรอกเพราะเราแก่แล้ว ยิงโดนประสาทตาซึ่งเป็นจุดสำคัญและเราเสียเลือดไปเยอะ"

รัศมี (เพ็ญสุข) ไวยเนตรกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความในฐานะทนายผู้รับผิดชอบคดีของปรีชาได้ตั้งข้อสังเกตในหลายประเด็นและมีความเห็นที่น่าสนใจว่า "ถ้าพิจารณาจากเหตุการณ์แล้วจะเห็นได้ว่าในวันนั้นพันธมิตรฯถูกตำรวจทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมและได้รับบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก ทำให้บรรดาพันธมิตรฯ รวมถึงคุณปรีชาด้วยรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว คุณปรีชาก็เลยขับรถเข้าไป สถานการณ์ขณะนั้นเป็นเหตุเฉพาะหน้า ไม่มีพันธมิตรฯ คนไหนมีเวลามาไตร่ตรองมาอะไรหรอก การที่คุณปรีชาขับรถพุ่งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เพราะเกิดจากความกดดันที่เห็นเพื่อนพันธมิตรฯ ถูกทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม มีการระดมยิงตั้งแต่เช้า กระทั่งตกเย็นตำรวจก็ยังยิงใส่พันธมิตรฯ อยู่ ... แม้แต่คนที่ดูข่าวทางทีวีก็ไม่มีใครทนได้หรอก คุณปรีชาก็เลยขับรถพุ่งเข้าไปเพราะบันดาลโทสะแต่ไม่ได้มีเจตนาฆ่าตำรวจ ... ถ้ามีการไตร่ตรองไว้ก่อนทำไมคุณปรีชาถึงไม่ถอดแผ่นป้ายทะเบียนรถออกก่อน ที่บอกว่าคุณปรีชาพยายาฆ่านั้นนายตำรวจที่อ้างว่าถูกรถคุณปรีชาชนนั้นเราก็ยังไม่เห็นหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์จริงหรือไม่ เพราะจากภาพวิดีโอที่เราเห็นนั้นมันไม่ชัดว่าใครเป็นใคร ชนลักษณะไหน บาดเจ็บตรงไหนอย่างไร ... การระบุในข้อกล่าวหาว่า มีการมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก็ดูจะไม่สมเหตุสมผล เพราะหากจะแจ้งข้อหานี้ก็ต้องแจ้งจับพันธมิตรฯทุกคนที่มาร่วมชุมนุม แต่ทำไมจึงจับปรีชาเพียงคนเดียว ...ตำรวจพยายามสร้างประเด็นว่ามีการสมคบกันทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเตรียมอาวุธมาเพื่อก่อการด้วย ทั้งๆที่ตอนนั้นตัวคุณปรีชามาคนเดียว ตัวเขาเองและผู้ชุมนุมคนอื่นๆก็ไม่ได้มีอาวุธอะไร แต่คนที่ถืออาวุธและใช้อาวุธนั้นทำร้ายคนอื่นคือเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งระดมยิงผู้ชุมนุมอย่างไร้ความปราณี การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าทำตามหน้าที่นั้นก็ต้องถามกลับว่ามีระเบียบปฏิบัติข้อไหนที่ระบุว่าตำรวจมีหน้าที่ทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชน เขาอ้างหน้าที่ไม่ได้เลย เพราะวันนั้นตำรวจไม่ได้ทำหน้าที่ดูแลการชุมนุม ไม่ได้เกิดการปะทะหรือเกิดความรุนแรงแล้วตำรวจต้องเข้ามาสลายการชุมนุม แต่เหตุการณ์วันนั้นคือตำรวจถล่มยิงพันธมิตรที่ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ไม่มีระเบียบปฏิบัติข้อไหนที่ระบุว่าตำรวจสามารถทำร้ายหรือฆ่าประชาชนได้ตามอำเภอใจ” รัศมี กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

คำให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นผู้เสียหายขัดแย้งกันอีกด้วยคือ ส.ต.ท.เศรษฐวุฒิ บัวทุมเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษได้ให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวันเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2551 ว่า “ ผมได้รับบาดเจ็บจากการถูกรถยนต์ชนและลากไปไกลพอสมควร ใต้คาง รูจมูกเป็นแผล ฟันหัก 3 ซี่ ศีรษะแตก สมองได้รับความกระทบกระเทือน ผมไม่รู้เรื่องเพราะสลบไป เพื่อนเล่าให้ฟังว่ามีคนจะขับรถมาทับแต่ทำไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าเขาโกรธแค้นผมมาจากไหน” ขณะที่ในคำฟ้องกลับระบุว่า “จำเลย (ปรีชา ตรีจรูญ) ได้บังอาจได้บังอาจขับรถยนต์กระบะที่เตรียมการไว้ไล่ชนผู้เสียหายที่ 4 (ส.ต.ท.เศรษฐวุฒิ บัวทุม) อย่างแรง จนผู้เสียหายที่ 4 ล้มลง แต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากผู้เสียหายที่ 4 หลบทันและมีผู้เข้าช่วยเหลือ” รัศมีกล่าวต่อว่า จะเห็นได้ชัดว่าแม้แต่การให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นคู่กรณียังมีลักษณะบิดเบือนให้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงแล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ตลอดจนการแจ้งข้อกล่าวหาแก่ปรีชาซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาที่มีคดีความกับตำรวจที่สลายการชุมนุมในวันที่ 7 ต.ค. นั้นจะเป็นไปด้วยความเป็นธรรมและโปร่งใส ในเมื่อคนทำคดีก็อยู่ในเครื่องแบบสีกากีเช่นกัน อีกทั้งปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังจากถูกสังคมตั้งคำถามต่อการใช้กำลังอาวุธเข้าปราบปรามประชาชนเพื่อสลายการชุมนุม 7 ต.ค.
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามทุกวิถีทางที่จะสร้างความชอบธรรมต่อปฎิบัติการดังกล่าว เมื่อเหยื่อกลับกลายเป็นผู้ต้องหา นี่หรือคือผลตอบแทนของ “การทำเพื่อชาติ”?

ขนาดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนายกษิต ภิรมย์ยังได้รู้ฤทธิ์ของสีกากีดี

ผู้สื่อข่าวถามนายกษิตกรณีทหารขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีปลดตัวเขาออกจากตำแหน่ง นายกษิตไม่ทราบว่านายทหารเหล่านั้นเป็นใครและหนังสือพิมพ์ไปเอาข้อมูลมาจากไหนตนไม่มีอำนาจอะไรไปกลั่นแกล้งหรือโยกย้ายทหารดังนั้นเขาไม่ต้องกลัวการเปิดเผยตัวเพราะถ้ากล้าพูดแล้วก็ต้องกล้าแสดงตัวด้วยเป็นลูกผู้ชายก็ต้องออกมาแสดงตัวจะกลัวอะไรและบอกด้วยว่าเนื้อหาแท้ๆ มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับตน

ถามต่อว่ารัฐบาลมีท่าทีที่จะให้ลาออกจากตำแหน่งหรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า ไม่มี ใครอยากผลักดันก็ผลักดันมา แต่ต้องมีเนื้อหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่พูดกันลอยๆ แล้วทำไมไม่ตั้งคำถามว่าการตั้งข้อหาก่อการร้ายเกิดขึ้นได้อย่างไร ตอนนี้เหมือนเอาหลายๆ เรื่องมารวมกันเหมารุมกินโต๊ะ แล้วทำไมนักการเมืองเลวๆ ตั้งเยอะตั้งแยะเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ในสภาและนอกสภา ทำไมไม่ออกไปวิพากษ์วิจารณ์และขับไล่คนพวกนั้นและทำไมกราบไหว้คนเลวๆ ตั้งเยอะตั้งแยะและหนังสือพิมพ์บางท่านที่ด่าตนอยู่ทำไมไม่ไปขุดคุ้ยความเลวระยำของคนอื่นอีกเยอะแยะที่มีอำนาจ กลัวเขาหรือ หรือว่ารับเงินเขา และที่สำคัญต้องถามว่ารัฐบาลนี้ทำอะไรผิด นายอภิสิทธิ์และตนทำอะไรผิด ทำไมเพิ่งมารักบ้านเมืองตอนนี้ แล้วตอนที่พ.ต.ท.ทักษิณปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองหายไปไหน ทำไมไม่ออกมาปกป้องสถาบัน
ไม่ใช่ว่าตนเป็นพลเรือนและไม่มีอำนาจ พอมีกระแสทีหนึ่งก็ลุกขึ้นมาผสมโรงด้วย แล้วตอนที่บ้านเมืองคับขันพวกนี้หายไปไหน หรือว่าเกรงกลัวพวกรุ่น 10 แล้วตอนที่บ้านเมืองถูกโกงกินพวกนี้หายไปไหน

“หรือทุกวงการที่บอกว่าตัวเองถวายสัตย์ปฏิญาณ
บอกว่าตัวเองต้องมีจรรยาบรรณของอาชีพ
ต้องถามคนแต่ละคนว่าได้ทำในสิ่งที่ควรทำหรือเปล่า
คนเลวๆ ตั้งเยอะอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์
ทำไมไม่ออกมาประณามกันละครับ และปล่อยให้คนเลวๆ
อยู่ในสังคมเป็นข่าวอยู่ได้ยังไงทุกวัน
ลงข่าวเกี่ยวกับคนเลวๆ
ที่พูดโกหกพกลมประชาชนอยู่ได้ยังไงทุกวัน
เรื่องโกหกก็มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ
บิดเบือนข้อเท็จจริง บ่อนทำลายรัฐบาล
และคนที่โจมตีผมแล้วบอกว่าพูดเรื่องหลักการ
ทำไมยังบินไปกราบไปไหว้คุณทักษิณซึ่งทำผิด
ทำไมไม่พิจารณาตัวเอง ทำไมมี 2 มาตรฐาน
ไปกราบไปไหว้ ทำตัวเป็นทาสคนที่ผิดอย่างคุณทักษิณ
ทีกับผมกลับพยายามจะมาเล่นงานในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิด"

08 กรกฎาคม 2552

พระเจ้าอยู่หัวฯทำได้แค่เพียงหวังให้พวกคุณทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท









บรรดาลิ่วล้อขบวนการเครือข่ายเพื่อแม้วทั้งหลายต่างฉวยโอกาสออกมากดดันจี้ให้นายกฯอภิสิทธิ์ให้ปลดนายกษิต ภิรมย์พ้นเก้าอี้รมว.ต่างประเทศหลังจากที่นายกษิตถูกฝ่ายตำรวจตั้งข้อหาร้ายแรงและถูกออกหมายเรียกในความผิดฐานก่อการร้ายกรณีร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบินทั้งสองเมื่อปลายปีที่แล้ว
การไม่มีนายกษิตจะทำให้
ทักษิณตกลงผลประโยชน์กับฮุนเซนได้ง่ายขึ้นดังนั้นหากนายกษิตลาออกเท่ากับรัฐบาลยอมถอยในทางนโยบายต่อเขมรและถือว่าเพลี่ยงพล้ำในทางยุทธวิธี ที่น่าจับตามากที่สุดในเวลานี้เป็นเรื่อง
ผลประโยชน์อันมหาศาลในเรื่องปราสาทพระวิหารพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร และดินแดนอธิปไตยของไทย 1.5 ล้านไร่ ตลอดจนผลประโยชน์ทางพลังงานในพื้นที่อ่าวไทยที่ฝ่ายกัมพูชากำลังรุกล้ำอย่างหนัก ซึ่งเชื่อว่าไม่สามารถที่จะเจรจากับนายกษิต ภิรมย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ยินยอมในเรื่องเหล่านี้ได้ ในวันนั้นนายกษิต ภิรมย์คราวที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาชุมนุมอยู่บนสะพานชมัยมรุเชฐเสนอทางออกเรื่องปราสาทพระวิหารว่า“ให้ทำหนังสือยกเลิกแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาส่งให้ประเทศกัมพูชาและคณะกรรมการมรดกโลก”ซึ่งถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่ได้ทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว ช่างบังเอิญว่านายกษิต ภิรมย์ในช่วงหลังไม่ได้เป็นผู้เจรจากับฮุนเซนในเรื่องปราสาทพระวิหารและผลประโยชน์ในอ่าวไทยอีกต่อไป แต่กลับเป็นนายสุเทพ เทือกฯไม่เจรจาเรื่องปราสาทพระวิหารและการรุกล้ำอธิปไตยไทยของเขมรแต่กลับไปเจรจาอย่างขะมักเขม้นในเรื่องผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทยซึ่งดูเหมือนว่าจุดยืนจะไม่เหมือนกับนายกฯอภิสิทธิ์ แต่ทะลึ่งเป็นเป็นความคิดที่เหมือนเป็นพวกเดียวกันกับนพดล ปัสสาวะและสมัคร สุนทรราชไม่ผิดเพี้ยน ฝ่ายกัมพูชามีแต่ได้กับได้มีแต่โอกาสที่จะได้ดินแดนทางบกและทางทะเลตลอดจนพลังงานในอ่าวไทยเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ฝ่ายไทยได้แต่นับวันมีแต่ความเสี่ยงที่เสียดินแดนทั้งทางบกและทางทะเลตลอดจนสูญเสียพลังงานในอ่าวไทยเพิ่มมากขึ้นทุกวันเพราะคนที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่คำนึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนแต่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติตัวเอง คนอย่างนายกษิต ภิรมย์จึงย่อมไม่เป็นที่พึงปรารถนาของคนเสื้อแดงและระบอบทักษิณไม่เป็นที่ต้องการในการเจรจาของฝ่ายกัมพูชาและคนขายชาติยังต้องการกำจัดอีกด้วย

สมัยรัฐบาลเป็นฝ่ายค้านก็เคยเห็นดีเห็นงามในการคัดค้านขึ้นทะเบียนเขาวิหาร ก่อนนี้รัฐบาลเองก็เคยคัดค้านการขึ้นทะเบียนมาตลอดและกัมพูชามันผิดกฎหมายอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกต้องไม่กระทบกับอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของอีกประเทศหนึ่ง ไม่มีเขตุกันชน ไม่มีเขตพัฒนา ไม่มีแผนบริหารจัดการ ผิดหลักการคุ้มครองมรดกโลก กัมพูชาจะทำได้จะต้องได้รับการสนับสนุนจากไทยอย่างแรงกล้า กัมพูชาจะไม่ผิดหลักการถ้ารัฐบาลไทยจะขึ้นร่วมจดทะเบียนให้กัมพูชา รัฐบาลไทยจะยื่นแผนที่ของรัฐบาลไทยตอนนี้มันไม่ทันกรรมการมรดกโลกจะดูแผนที่ทั้ง 2 ถ้ารัฐบาลไทยจะเข้าไปจดทะเบียนร่วมตั้งแต่แรกแล้วบอกว่าแผนที่ไม่เหมือนกันกลับไปตกลงกันก่อนถึงจะต้องยื่นพร้อมกัน

ถ้ารัฐบาลไทยคัดค้านจริงไทยต้องไม่เข้าประชุมตามข้อ 14 คือการไม่ไปสเปญของสุวิทย์ คุณกิตติแล้วออกมาบอกคนไทยว่าได้ประโยชน์อย่างโน้นอย่างนี้เป็นเรื่องเก่ามีอยู่แล้วในคำตัดสินของคณะกรรมการในการประชุมมรดกโลก การขึ้นทะเบียนของกัมพูชาจะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ส่งเอกสารคำยืนยันทั้งหมดต่อศูนย์มรดกโลกในเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 การเลื่อนขึ้นทะเบียนจึงไม่ใช่การไปแสดงจุดยืนหรือคัดค้าน แต่กลับพยายามออกข่าวว่ามีการคัดค้าน เหตุการณ์ทางชายแดนเขาวิหารก็ตึงเครียดที่สุดก็ออกมาบอกว่าท่ามกลางความขัดแย้งอย่างนี้เรามาขึ้นทะเบียนร่วมกันดีกว่า

การขึ้นทะเบียนร่วมกับกัมพูชาไม่เป็นไฟท์บังคับ ถ้ายอมรับการขึ้นทะเบียนร่วมกันหรือไม่ก็ตามก็เท่ากับยอมรับแผนที่ที่กัมพูชาใช้อ้างอิงจะทำให้ไทยเสียดินแดนอีก 1.5 ล้านไร่ตามมาเพราะเราถือแผนที่คนละฉบับกัน การกระทำของรัฐบาลปัจจุบันจึงเป็นการพยายามทำให้กัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนเขาวิหารได้โดยไม่ผิดหลักการจริงๆแล้วรัฐบาลไทยโดยข้าราชการไทยและนักการเมืองไทยหัวใสมีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเรียบร้อยแล้วแต่ไม่ได้บอกความจริงเรื่องนี้ต่อประชาชนโดยมีการแอบร่างทีโออาร์ให้เอกชนมาเซ็นสัญญาแล้วเพื่อดำเนินโครงการสมัยรัฐบาลสมัครสุนทรราชในการพัฒนาพื้นที่รอบเขาพระวิหารเป็นหมื่นๆ ไร่เป็นแสนๆ ไร่ให้เป็นไปตามเงื่อนไขของมรดกโลกนี่คือขบวนการปล้นชาติปล้นแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

แต่เมื่อรัฐบาลไทยยอมรับตรงนี้ไปแม้ว่าตอนที่ฝรั่งเศสคืนดินแดนให้ไทยเขายอมรับแผนที่ฉบับของเราเกาะกูดเป็นของเราทั้งเกาะจนกระทั่งทักษิณมาเป็นนายกได้แอบเจรจาผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในอ่าวไทยกับฮุนเซนโดยไปยอมรับอย่างไม่เป็นทางการว่าแผนที่ที่เขมรใช้อ้างอิงเรื่องเขาพระวิหารนั้นถูกต้อง วันดีคืนดีลูกฮุนเซนอาจยื่นข้อเรียกร้องว่าเมื่อประเทศไทยยอมรับแผนที่ตามที่เสนอมรดกโลกเพราะไปร่วมจัดการลงทะเบียนร่วมจัดการพื้นที่รอบๆเขาอาจจะขอลากแผนที่ต่ออีก 7 แห่งใน 3 จังหวัด 1.5 ล้านไร่ในอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ ลากเส้นลงไปอ่าวไทยจากหมุด 73 ที่กำลังดำเนินการวางจุดกันอยู่มีผลกระทบต่อเกาะกูดโดยแบ่งเกาะกูดออกไปครึ่งหนึ่งกับพื้นที่ทางทะเลที่มีน้ำมันและแก๊สธรรมชาติให้เป็นของเขมรแต่ผู้เดียว

นายกษิตอาจจะไปขัดผลประโยชน์ของใครในเรื่องกรณีปราสาทพระวิหารที่มีผลประโยชน์มากมายรวมถึงเรื่องผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพราะเห็นได้ว่านายกษิตถูกลดบทบาทลงอย่างชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา แทนที่จะเป็นนายกษิตในฐานะ รมว.ต่างประเทศดำเนินการเจรจานี้กลับเป็นสุเทพเทือกรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ดูเหมือนว่าท่าทีการแก้ปัญหาเรื่องปราสาทพระวิหารของนายกฯอภิสิทธิ์และสุเทพในเรื่องนี้มีความแตกต่างกันและเป็นทิศทางที่ไม่เหมือนกับที่พรรคประชาธิปัตย์เคยเป็นฝ่ายค้าน รัฐบาลจึงควรทบทวน หยุดพฤติกรรม และ คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งชาติมากกว่าแห่งตน

ขบวนการคนเสื้อเหลืองจะยึดหลักสันติวิธีและความชอบธรรมในการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอดไม่เคยใช้วิธีการแบบถ่อยดิบเถื่อนอันจะเป็นการทำร้ายประเทศ อันที่จริงหากพิจารณาความผิดของขบวนการเสื้อแดงที่เผาบ้านป่วนเมืองช่วงสงกรานต์ด้วยการบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียน(อาเซียนซัมมิต)แล้วก่อจลาจลทั่วเมืองหลวงช่วงสงกรานต์แดงเดือดที่ผ่านมาจนสร้างความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างยับเยินแล้วขบวนการเสื้อแดงสมควรที่จะถูกดำเนินคดีในข้อหาก่อการร้ายมากกว่าด้วยซ้ำและยิ่งไปเทียบกับพฤติกรรมของนักโทษชายแม้วที่กำลังหลบหนีโทษจำคุก 2 ปีหัวซุกหัวซุนแล้วบรรดาแกนนำลิ่วล้อขบวนการเพื่อแม้วทั้งหลายน่าจะถามหาจิตสำนึกและความรับผิดชอบจากนายใหญ่ของตัวเองมากกว่า

ตามมาตรา 182 (3) ของรัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ว่า "ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเมื่อต้องคำพิพากษาให้จำคุกแม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษเว้นแต่เป็นกรณีที่คดียังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทความผิดลหุโทษหรือความผิดฐานหมิ่นประมาท" แม้จะเป็นเพียงในขั้นตอนของศาลชั้นต้นก็ตาม เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งนายกฯอภิสิทธิ์ก็บอกแล้วว่าจะตัดสินใจตามกฏเหล็กเมื่อถึงตอนนั้นหากนายกฯอภิสิทธิ์ไม่ทำตามที่พูดก็จะถือว่าล้มละลายทางความน่าเชื่อถือและสูญเสียวุฒิภาวะความเป็นผู้นำรวมทั้งจะเกิดผลเสียต่ออนาคตของรัฐบาลแน่นอน

การตั้งข้อหานายกษิตครั้งนี้ต้องเป็นฝีมือนายตำรวจใหญ่บางคนที่ทำไปเพื่อหวังรับใช้นายหวังแลกกับตำแหน่งช่วงฤดูกาลโยกย้ายนายตำรวจประจำปีนี้แว่วมาว่ามีกระบวนการเสนอชื่อพล.ต.ท.เจ้าของสำนวนคนหนึ่งให้เลื่อนยศ กระนั้นการตั้งข้อหาด้วยข้อหาร้ายแรงถึงขั้นก่อการร้ายที่มีโทษประหารชีวิตพนักงานสอบสวนกลับแค่ออกหมายเรียกผู้ที่ถูกตั้งข้อหาว่าก่อการร้ายทั้งหลายเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยยาวนานถึง 9 เดือนโดยไม่จับกุมแต่แรก ขบวนการเสื้อแดงเคลื่อนไหวกดดันเริ่มก่อจลาจลป่วนเมืองอีกครั้ง ทีมทนายความพันธมิตรฯอาจร้องต่อศาลว่าพนักงานสอบสวนตั้งข้อหาเกินความเป็นจริง การชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญโดยมีนายกษิตไปร่วมการชุมนุมในฐานะวิทยากร ที่ผ่านมาเคยมีการตั้งข้อหาพันธมิตรฯเกินสมควรโดยเมื่อผู้ถูกกล่าวหาไปร้องต่อศาลศาลได้วินิจฉัยลดข้อกล่าวหาลงหลายต่อหลายครั้ง กระบวนการยุติธรรมยังต้องผ่านการตรวจสอบอีกหลายชั้นทั้งการวินิจฉัยของอัยการและศาลต้องยึดหลักกฎหมาย

กฎหมายอาญาระบุลักษณะความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายและยังระบุด้วยว่าการกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือหรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ก็ในเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ชุมนุมได้ไปทำลายระบบขนส่งทำลายระบบการบินโดยการเข้าไปยึดรันเวย์ขึ้น-ลงหรือทำลายระบบเรดาร์หรือคอมพิวเตอร์การบินใดๆ หรือแม้กระทั่งไปทำร้ายข่มขู่ผู้โดยสารเห็นมีแต่การถ่ายรูปกับตำรวจและนักท่องเที่ยวอย่างชื่นมื่น เพียงแค่วันเดียวหลังการส่งมอบสนามบินคืนธุรกรรมต่างๆก็ดำเนินต่อไปได้ตามปรกติทันทีดดยไม่มีการซ่อมแซมใดๆ สันติ พร้อมพัฒน์รักษาการ รมว.คมนาคมขณะนั้นบอกว่าไม่มีอะไรเสียหาย ใช้ได้เลย ทั้งดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ใครเป็นคนรวบรัดตัดตอนปิดสนามบินเพียงเพราะตั้องการโยนบาปให้ผู้ชุมนุมที่อยู่รอบๆทั้งๆที่ผู้โดยสารพร้อมออกเดินทางไม่ได้มีใครไปขัดขวางกระบวนการบินนั้นๆ คำตอบคือในวันนั้นที่พันธมิตรฯ ไปมีกลุ่มคนขับแท็กซี่ชุมนุมอยู่ก่อนแล้วและมาไล่ตีพันธมิตรฯบางส่วน แล้วหลังจากนั้นเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ผอ.สนามบินสุวรรณภูมิ ก็ประกาศปิดสนามบินทันทีอ้างว่ากลัวความวุ่นวายและผู้โดยสารไม่ได้รับความสะดวกสบาย เสรีรัตน์สั่งหยุดทำงานหมด ผู้โดยสารที่ขึ้นเครื่องแล้วก็สั่งให้ลง ผู้โดยสารบนเครื่องที่อยู่บนท้องฟ้าก็ไม่มีที่ลงไม่วางแผนอะไรรองรับ แต่ไม่เคยมีใครให้เสรีรัตน์ต้องรับผิดชอบ

"ผมทำอะไรผิด ขณะนี้เป็นข้อกล่าวหาเท่านั้นเอง การก่อการร้ายคืออะไร ตีความว่าก่อการร้าย ไปเอามาจากไหน ผมไปร่วมงานอภิปรายกับพันธมิตรฯ มีอยู่ 2 อย่างคือ ปากกับปากกา ผมไม่ได้มีอาวุธไปนี่ครับ"

น่าสังเกตตำรวจได้ตั้งข้อหากับบรรดาแกนนำและผู้ที่เข้าร่วมจำนวน 25 คนมี กษิต ภิรมย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซึ่งไม่ได้นำชุมนุมไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติการไม่ได้เป็นผู้สั่งการเพียงแค่เป็นผู้ปราศรัยให้ความรู้กับผู้ชุมนุม นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์เป็นถึงสส.สัดส่วนของประชาธิปัติย์เป็นถึงแกนนำนำการชุมนุมแต่ไม่มีขบวนการเสื้อแดงกล่าวถึงเลยเพราะอะไร ก็ในเมื่อตุ๊ดตู่แกนนำขบวนการเสื้อแดงที่แม่คิดถึงมากกับอัยการสิ้นคิดมานิต จิตตกต่ำแกนนำอีกตัวก็เป็นสส.สัดส่วนของเพื่อทุย การตีคุณสมเกียรติก็คือการตีควายสองตัวที่นำแผนอุบาทว์ขอถวายฎีกาด้วยนั่นเอง อย่าช่วยกันสร้างบรรทัดฐานผิดๆต่อสังคมเพราะอีกหน่อยใครอยากจะให้นักการเมืองลาออกก็ไปตั้งข้อกล่าวหากันหมด อย่าให้สื่อมวลชนรับจ้าง นักวิชาเกินหน้าเงินมาชี้นำสังคมสร้างบรรทัดฐานผิดๆถูกๆ ในส่วนของพันธมิตรฯนั้นมีหลายต่อหลายคดีที่ผู้ร้องเป็นตำรวจ ดังนั้นการสร้างฐานแบบนี้อาจจะเป็นการสร้างรัฐตำรวจได้ในอนาคต

คำยืนยันจากทนาย-อดีตอธิบดีตำรวจ


หลังจากที่เสื้อแดงกำลังเอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือต่อรองถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษช่วยทักษิณให้รอดพ้นความผิด เรียกคะแนนสงสารจากประชาชน ตอกย้ำว่าเสื้อแดงเป็นผู้ถูกกระทำ และจะนำรายชื่อที่ตั้งเป้า 1 ล้ายรายชื่อไปเป็นฐานในการเคลื่อนไหวต่างๆในอนาคตเหมาเอาว่าการเคลื่อนไหวนั้น ๆ มีคนทั้งประเทศเห็นด้วย พฤติกรรมในการถวายฎีกามีเจตนาเพื่อกดดันพระเจ้าอยู่หัวก้าวล่วงพระราชอำนาจที่มิบังควรอย่างยิ่งคนพวกนี้ก็ไม่สำเหนียกยังคงเดินหน้าและอ้างหน้าตาเฉยว่าเป็นความประสงค์ของชาวบ้าน นับตั้งแต่มีประเทศไทยมาไม่เคยมีสามัญชนคนใดใช้ท้องสนามหลวงจัดงานฉลองวันเกิดอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้บรรดาลิ่วล้อขบวนการเครือข่ายเพื่อแม้วเหิมเกริมจะจัดงานวันเกิดทำพิธีทางศาสนาจัดเลี้ยงอาหารแล้วจัดคอนเสิร์ตสลับการปราศรัยที่ท้องสนามหลวงใน 26 ก.ค. มีเจตนาส่งสัญญาณตีตัวเสมอเจ้า

ประวัติศาสตร์ชาติไทยในทศวรรษที่ผ่านมามีเรื่องโชคร้ายที่สุดเพราะดันมีมหาเศรษฐีคนหนึ่งสร้างภาพหลอกผู้คนว่าเป็น “เทพ” แต่เนื้อแท้คือ “วรนุช” ชั่วร้ายได้ก้าวขึ้นมาบริหารชาติอย่างอธรรม ฉ้อฉลโกงกินบ้านเมืองอย่างตะกละตะกลาม ไร้คุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ ที่สำคัญบังอาจจาบจ้วงล่วงเกิน ทำร้ายทำลายต่อองค์ราชันย์ ผู้ทรงทศพิธราชธรรมและปวงชนชาวไทยเคารพเทิดทูนอย่างต่อเนื่องชนิดที่ไม่อาจให้อภัยได้อีกต่อไป การจาบจ้วงทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเกิดขึ้นมากมายเป็นขบวนการในยุคเสื่อมโดยประดาคนชั่วเหล่านั้นบังอาจกระทำการประสงค์ร้ายต่อสถาบันสำคัญของชาติโดยที่รัฐบาลวรนุชนั้นมิได้ดำเนินการลงโทษทางกฎหมายอย่างจริงจัง ยิ่งไปกว่านั้นวรนุชตัวลูกที่ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เหล่านั้นคือคนที่วรนุชตัวพ่อได้ชุบเลี้ยงเป็นลูกน้องทั้งลับและเปิดเผย วรนุชตัวลูกของมันก็ช่วยกันโฆษณาชวนเชื่อปลุกปั่นให้เกิดการต่อต้านสถาบันด้วยวิธีการค่อยทำลายล้างสถาบันมาตลอด

หลังจากที่ผ่านมาวรนุชตัวพ่อนี้ก็ทำให้สาธารณชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในพฤติการณ์ที่ไม่บังควรอาทิ การทำบุญวัดเกิดในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม การเดินทางไปต่างจังหวัดโดยมีประชาชนใช้ธงที่มีคำว่าทรงพระเจริญโบกสะบัดต้อนรับรวมทั้งพฤติกรรมของบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงที่ส่อเจตนาจาบจ้วงเบื้องสูงซึ่งหลายคนถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขณะที่หลายคนหลบหนีความผิดออกนอกประเทศ หลบไปหลบมาอยู่ที่ชายแดนไทยมาเลย์แค่คืบนี่เอง หลังรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย. 49 วรนุชตัวพ่อได้ใช้เงินมหาศาลซื้อเสียงและโกงการเลือกตั้งจัดตั้งรัฐบาลนอมินีถึง 2 รัฐบาล วรนุชตัวพ่อจึงได้ลงเหยียบแผ่นดินไทยจนแผ่นดินถึงกับเอียงกระเท่เร่แล้วค่อยมาปะหน้าสื่อมวลชนเกิดเป็นลมก้มลงจูบพื้น จูบดินแล้วเลียต่อไปอีก 3 เมตรเกิดไหวตัวทันเวลาที่ศาลแผนกคดีอาญานักการเมืองใกล้จะตัดสินก็เผ่นเตลิดเปิดเปิงไปไกล ปฏิเสธไม่ได้ว่าจริงๆแล้วการนำเข้าวรนุชตัวนี้จากต่างประเทศตลอดมานั้นไม่ได้มีใครขัดขวางเลยแม้แต่น้อย เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันภายใต้การบริหารชาติของรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ วรนุชตัวพ่อและพวกพ้องอหังการยิ่งขึ้นจาบจ้วงทำร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นทำให้บ้านเมืองก้าวเข้าสู่วิกฤตในทุกด้านแต่นายกฯ อภิสิทธิ์ยังคงบริหารบ้านเมืองราวกับสถานการณ์ปกติ เรากำลังมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไม่รู้จะทันเกมนี้หรือไม่ก็ทองไม่รู้ร้อน ยังปล่อยให้สื่อมวลชนต่างๆนั่งเงียบอยู่ พระเจ้าอยู่หัวฯไม่สามารถจะพูดอะไรได้พระองค์ทำได้แค่เพียงหวังให้พวกคุณทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทให้ถูกต้อง ในการกระบวนการถวายฎีกานั้นทำไม่ได้ทักษิณไปเป่าหูประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ว่าสถาบันกษัตริย์นั้นรังแกทักษิณใครจะลุกขึ้นมาปกป้องพระเจ้าอยู่หัวฯ ถึงแม้ว่ายังไม่เสียพื้นที่อีก 1.5 ล้านไร่บริเวณปราสาทเขาพระวิหารตอนนี้แต่การกระทำของรัฐบาลแบบนี้ก็ทำให้เหมือนกับเสียไปแล้ว การปล่อยให้ฮุนเซนมาถ่มถุยข่มขู่ รัฐบาลไทยไม่กล้าปกป้องอธิปไตยชาติ

เทพเทือกไม่เคยคิดตรงนี้บ้างหรือ การเป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงแตกต่างจากการเป็นกำนันบ้านนอกมากมายนักจึงไม่ควรสับสนในบทบาทเหล่านั้น หรือต้องให้ตัวเองและพรรคพวกมั่นคงก่อน เหนือสิ่งอื่นใด

สถาบันหลักของชาติและผลประโยชน์อันมหาศาลของชาติ








บรรดาลิ่วล้อขบวนการเครือข่ายเพื่อแม้วทั้งหลายต่างฉวยโอกาสออกมากดดันจี้ให้นายกฯอภิสิทธิ์ให้ปลดนายกษิต ภิรมย์พ้นเก้าอี้รมว.ต่างประเทศหลังจากที่นายกษิตถูกฝ่ายตำรวจตั้งข้อหาร้ายแรงและถูกออกหมายเรียกในความผิดฐานก่อการร้ายกรณีร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบินทั้งสองเมื่อปลายปีที่แล้ว การไม่มีนายกษิตจะทำให้ทักษิณตกลงผลประโยชน์กับฮุนเซนได้ง่ายขึ้นดังนั้นหากนายกษิตลาออกเท่ากับรัฐบาลยอมถอยในทางนโยบายต่อเขมรและถือว่าเพลี่ยงพล้ำในทางยุทธวิธี ที่น่าจับตามากที่สุดในเวลานี้เป็นเรื่องผลประโยชน์อันมหาศาลในเรื่องปราสาทพระวิหารพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร และดินแดนอธิปไตยของไทย 1.5 ล้านไร่ ตลอดจนผลประโยชน์ทางพลังงานในพื้นที่อ่าวไทยที่ฝ่ายกัมพูชากำลังรุกล้ำอย่างหนัก ซึ่งเชื่อว่าไม่สามารถที่จะเจรจากับนายกษิต ภิรมย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ยินยอมในเรื่องเหล่านี้ได้ ในวันนั้นนายกษิต ภิรมย์คราวที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาชุมนุมอยู่บนสะพานชมัยมรุเชฐเสนอทางออกเรื่องปราสาทพระวิหารว่า“ให้ทำหนังสือยกเลิกแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาส่งให้ประเทศกัมพูชาและคณะกรรมการมรดกโลก”ซึ่งถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่ได้ทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว ช่างบังเอิญว่านายกษิต ภิรมย์ในช่วงหลังไม่ได้เป็นผู้เจรจากับฮุนเซนในเรื่องปราสาทพระวิหารและผลประโยชน์ในอ่าวไทยอีกต่อไป แต่กลับเป็นนายสุเทพ เทือกฯไม่เจรจาเรื่องปราสาทพระวิหารและการรุกล้ำอธิปไตยไทยของเขมรแต่กลับไปเจรจาอย่างขะมักเขม้นในเรื่องผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทยซึ่งดูเหมือนว่าจุดยืนจะไม่เหมือนกับนายกฯอภิสิทธิ์ แต่ทะลึ่งเป็นเป็นความคิดที่เหมือนเป็นพวกเดียวกันกับนพดล ปัสสาวะและสมัคร สุนทรราชไม่ผิดเพี้ยน ฝ่ายกัมพูชามีแต่ได้กับได้มีแต่โอกาสที่จะได้ดินแดนทางบกและทางทะเลตลอดจนพลังงานในอ่าวไทยเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ฝ่ายไทยได้แต่นับวันมีแต่ความเสี่ยงที่เสียดินแดนทั้งทางบกและทางทะเลตลอดจนสูญเสียพลังงานในอ่าวไทยเพิ่มมากขึ้นทุกวันเพราะคนที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่คำนึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนแต่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติตัวเอง คนอย่างนายกษิต ภิรมย์จึงย่อมไม่เป็นที่พึงปรารถนาของคนเสื้อแดงและระบอบทักษิณไม่เป็นที่ต้องการในการเจรจาของฝ่ายกัมพูชาและคนขายชาติยังต้องการกำจัดอีกด้วย

สมัยรัฐบาลเป็นฝ่ายค้านก็เคยเห็นดีเห็นงามในการคัดค้านขึ้นทะเบียนเขาวิหาร ก่อนนี้รัฐบาลเองก็เคยคัดค้านการขึ้นทะเบียนมาตลอดและกัมพูชามันผิดกฎหมายอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกต้องไม่กระทบกับอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของอีกประเทศหนึ่ง ไม่มีเขตุกันชน ไม่มีเขตพัฒนา ไม่มีแผนบริหารจัดการ ผิดหลักการคุ้มครองมรดกโลก กัมพูชาจะทำได้จะต้องได้รับการสนับสนุนจากไทยอย่างแรงกล้า กัมพูชาจะไม่ผิดหลักการถ้ารัฐบาลไทยจะขึ้นร่วมจดทะเบียนให้กัมพูชา รัฐบาลไทยจะยื่นแผนที่ของรัฐบาลไทยตอนนี้มันไม่ทันกรรมการมรดกโลกจะดูแผนที่ทั้ง 2 ถ้ารัฐบาลไทยจะเข้าไปจดทะเบียนร่วมตั้งแต่แรกแล้วบอกว่าแผนที่ไม่เหมือนกันกลับไปตกลงกันก่อนถึงจะต้องยื่นพร้อมกัน

ถ้ารัฐบาลไทยคัดค้านจริงไทยต้องไม่เข้าประชุมตามข้อ 14 คือการไม่ไปสเปนของสุวิทย์ คุณกิตติแล้วออกมาบอกคนไทยว่าได้ประโยชน์อย่างโน้นอย่างนี้เป็นเรื่องเก่ามีอยู่แล้วในคำตัดสินของคณะกรรมการในการประชุมมรดกโลก การขึ้นทะเบียนของกัมพูชาจะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ส่งเอกสารคำยืนยันทั้งหมดต่อศูนย์มรดกโลกในเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 การเลื่อนขึ้นทะเบียนจึงไม่ใช่การไปแสดงจุดยืนหรือคัดค้าน แต่กลับพยายามออกข่าวว่ามีการคัดค้าน เหตุการณ์ทางชายแดนเขาวิหารก็ตึงเครียดที่สุดก็ออกมาบอกว่าท่ามกลางความขัดแย้งอย่างนี้เรามาขึ้นทะเบียนร่วมกันดีกว่า

การขึ้นทะเบียนร่วมกับกัมพูชาไม่เป็นไฟท์บังคับ ถ้ายอมรับการขึ้นทะเบียนร่วมกันหรือไม่ก็ตามก็เท่ากับยอมรับแผนที่ที่กัมพูชาใช้อ้างอิงจะทำให้ไทยเสียดินแดนอีก 1.5 ล้านไร่ตามมาเพราะเราถือแผนที่คนละฉบับกัน การกระทำของรัฐบาลปัจจุบันจึงเป็นการพยายามทำให้กัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนเขาวิหารได้โดยไม่ผิดหลักการจริงๆแล้วรัฐบาลไทยโดยข้าราชการไทยและนักการเมืองไทยหัวใสมีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเรียบร้อยแล้วแต่ไม่ได้บอกความจริงเรื่องนี้ต่อประชาชนโดยมีการแอบร่างทีโออาร์ให้เอกชนมาเซ็นสัญญาแล้วเพื่อดำเนินโครงการสมัยรัฐบาลสมัครสุนทรราชในการพัฒนาพื้นที่รอบเขาพระวิหารเป็นหมื่นๆ ไร่เป็นแสนๆ ไร่ให้เป็นไปตามเงื่อนไขของมรดกโลกนี่คือขบวนการปล้นชาติปล้นแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

แต่เมื่อรัฐบาลไทยยอมรับตรงนี้ไปแม้ว่าตอนที่ฝรั่งเศสคืนดินแดนให้ไทยเขายอมรับแผนที่ฉบับของเราเกาะกูดเป็นของเราทั้งเกาะจนกระทั่งทักษิณมาเป็นนายกได้แอบเจรจาผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในอ่าวไทยกับฮุนเซนโดยไปยอมรับอย่างไม่เป็นทางการว่าแผนที่ที่เขมรใช้อ้างอิงเรื่องเขาพระวิหารนั้นถูกต้อง วันดีคืนดีลูกฮุนเซนอาจยื่นข้อเรียกร้องว่าเมื่อประเทศไทยยอมรับแผนที่ตามที่เสนอมรดกโลกเพราะไปร่วมจัดการลงทะเบียนร่วมจัดการพื้นที่รอบๆเขาอาจจะขอลากแผนที่ต่ออีก 7 แห่งใน 3 จังหวัด 1.5 ล้านไร่ในอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ ลากเส้นลงไปอ่าวไทยจากหมุด 73 ที่กำลังดำเนินการวางจุดกันอยู่มีผลกระทบต่อเกาะกูดโดยแบ่งเกาะกูดออกไปครึ่งหนึ่งกับพื้นที่ทางทะเลที่มีน้ำมันและแก๊สธรรมชาติให้เป็นของเขมรแต่ผู้เดียว

นายกษิตอาจจะไปขัดผลประโยชน์ของใครในเรื่องกรณีปราสาทพระวิหารที่มีผลประโยชน์มากมายรวมถึงเรื่องผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพราะเห็นได้ว่านายกษิตถูกลดบทบาทลงอย่างชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา แทนที่จะเป็นนายกษิตในฐานะ รมว.ต่างประเทศดำเนินการเจรจานี้กลับเป็นสุเทพเทือกรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ดูเหมือนว่าท่าทีการแก้ปัญหาเรื่องปราสาทพระวิหารของนายกฯอภิสิทธิ์และสุเทพในเรื่องนี้มีความแตกต่างกันและเป็นทิศทางที่ไม่เหมือนกับที่พรรคประชาธิปัตย์เคยเป็นฝ่ายค้าน
รัฐบาลจึงควรทบทวน หยุดพฤติกรรม และ คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งชาติมากกว่าแห่งตน


ขบวนการคนเสื้อเหลืองจะยึดหลักสันติวิธีและความชอบธรรมในการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอดไม่เคยใช้วิธีการแบบถ่อยดิบเถื่อนอันจะเป็นการทำร้ายประเทศ อันที่จริงหากพิจารณาความผิดของขบวนการเสื้อแดงที่เผาบ้านป่วนเมืองช่วงสงกรานต์ด้วยการบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียน(อาเซียนซัมมิต)แล้วก่อจลาจลทั่วเมืองหลวงช่วงสงกรานต์แดงเดือดที่ผ่านมาจนสร้างความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างยับเยินแล้วขบวนการเสื้อแดงสมควรที่จะถูกดำเนินคดีในข้อหาก่อการร้ายมากกว่าด้วยซ้ำและยิ่งไปเทียบกับพฤติกรรมของนักโทษชายแม้วที่กำลังหลบหนีโทษจำคุก 2 ปีหัวซุกหัวซุนแล้วบรรดาแกนนำลิ่วล้อขบวนการเพื่อแม้วทั้งหลายน่าจะถามหาจิตสำนึกและความรับผิดชอบจากนายใหญ่ของตัวเองมากกว่า

ตามมาตรา 182 (3) ของรัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ว่า "ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเมื่อต้องคำพิพากษาให้จำคุกแม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษเว้นแต่เป็นกรณีที่คดียังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทความผิดลหุโทษหรือความผิดฐานหมิ่นประมาท" แม้จะเป็นเพียงในขั้นตอนของศาลชั้นต้นก็ตาม เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งนายกฯอภิสิทธิ์ก็บอกแล้วว่าจะตัดสินใจตามกฏเหล็กเมื่อถึงตอนนั้นหากนายกฯอภิสิทธิ์ไม่ทำตามที่พูดก็จะถือว่าล้มละลายทางความน่าเชื่อถือและสูญเสียวุฒิภาวะความเป็นผู้นำรวมทั้งจะเกิดผลเสียต่ออนาคตของรัฐบาลแน่นอน

การตั้งข้อหานายกษิตครั้งนี้ต้องเป็นฝีมือนายตำรวจใหญ่บางคนที่ทำไปเพื่อหวังรับใช้นายหวังแลกกับตำแหน่งช่วงฤดูกาลโยกย้ายนายตำรวจประจำปีนี้แว่วมาว่ามีกระบวนการเสนอชื่อพล.ต.ท.เจ้าของสำนวนคนหนึ่งให้เลื่อนยศ กระนั้นการตั้งข้อหาด้วยข้อหาร้ายแรงถึงขั้นก่อการร้ายที่มีโทษประหารชีวิตพนักงานสอบสวนกลับแค่ออกหมายเรียกผู้ที่ถูกตั้งข้อหาว่าก่อการร้ายทั้งหลายเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยยาวนานถึง 9 เดือนโดยไม่จับกุมแต่แรก ขบวนการเสื้อแดงเคลื่อนไหวกดดันเริ่มก่อจลาจลป่วนเมืองอีกครั้ง ทีมทนายความพันธมิตรฯอาจร้องต่อศาลว่าพนักงานสอบสวนตั้งข้อหาเกินความเป็นจริง การชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญโดยมีนายกษิตไปร่วมการชุมนุมในฐานะวิทยากร ที่ผ่านมาเคยมีการตั้งข้อหาพันธมิตรฯเกินสมควรโดยเมื่อผู้ถูกกล่าวหาไปร้องต่อศาลศาลได้วินิจฉัยลดข้อกล่าวหาลงหลายต่อหลายครั้ง กระบวนการยุติธรรมยังต้องผ่านการตรวจสอบอีกหลายชั้นทั้งการวินิจฉัยของอัยการและศาลต้องยึดหลักกฎหมาย

กฎหมายอาญาระบุลักษณะความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายและยังระบุด้วยว่าการกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือหรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ก็ในเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ชุมนุมได้ไปทำลายระบบขนส่งทำลายระบบการบินโดยการเข้าไปยึดรันเวย์ขึ้น-ลงหรือทำลายระบบเรดาร์หรือคอมพิวเตอร์การบินใดๆ หรือแม้กระทั่งไปทำร้ายข่มขู่ผู้โดยสารเห็นมีแต่การถ่ายรูปกับตำรวจและนักท่องเที่ยวอย่างชื่นมื่น เพียงแค่วันเดียวหลังการส่งมอบสนามบินคืนธุรกรรมต่างๆก็ดำเนินต่อไปได้ตามปรกติทันทีดดยไม่มีการซ่อมแซมใดๆ สันติ พร้อมพัฒน์รักษาการ รมว.คมนาคมขณะนั้นบอกว่าไม่มีอะไรเสียหาย ใช้ได้เลย ทั้งดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ใครเป็นคนรวบรัดตัดตอนปิดสนามบินเพียงเพราะตั้องการโยนบาปให้ผู้ชุมนุมที่อยู่รอบๆทั้งๆที่ผู้โดยสารพร้อมออกเดินทางไม่ได้มีใครไปขัดขวางกระบวนการบินนั้นๆ คำตอบคือในวันนั้นที่พันธมิตรฯ ไปมีกลุ่มคนขับแท็กซี่ชุมนุมอยู่ก่อนแล้วและมาไล่ตีพันธมิตรฯบางส่วน แล้วหลังจากนั้นเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ผอ.สนามบินสุวรรณภูมิ ก็ประกาศปิดสนามบินทันทีอ้างว่ากลัวความวุ่นวายและผู้โดยสารไม่ได้รับความสะดวกสบาย เสรีรัตน์สั่งหยุดทำงานหมด ผู้โดยสารที่ขึ้นเครื่องแล้วก็สั่งให้ลง ผู้โดยสารบนเครื่องที่อยู่บนท้องฟ้าก็ไม่มีที่ลงไม่วางแผนอะไรรองรับ แต่ไม่เคยมีใครให้เสรีรัตน์ต้องรับผิดชอบ

"ผมทำอะไรผิด ขณะนี้เป็นข้อกล่าวหาเท่านั้นเอง การก่อการร้ายคืออะไร ตีความว่าก่อการร้าย ไปเอามาจากไหน ผมไปร่วมงานอภิปรายกับพันธมิตรฯ มีอยู่ 2 อย่างคือ ปากกับปากกา ผมไม่ได้มีอาวุธไปนี่ครับ"


น่าสังเกตตำรวจได้ตั้งข้อหากับบรรดาแกนนำและผู้ที่เข้าร่วมจำนวน 25 คนมี กษิต ภิรมย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซึ่งไม่ได้นำชุมนุมไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติการไม่ได้เป็นผู้สั่งการเพียงแค่เป็นผู้ปราศรัยให้ความรู้กับผู้ชุมนุม นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์เป็นถึงสส.สัดส่วนของประชาธิปัติย์เป็นถึงแกนนำนำการชุมนุมแต่ไม่มีขบวนการเสื้อแดงกล่าวถึงเลยเพราะอะไร ก็ในเมื่อตุ๊ดตู่แกนนำขบวนการเสื้อแดงที่แม่คิดถึงมากกับอัยการสิ้นคิดมานิต จิตตกต่ำแกนนำอีกตัวก็เป็นสส.สัดส่วนของเพื่อทุย การตีคุณสมเกียรติก็คือการตีควายสองตัวที่นำแผนอุบาทว์ขอถวายฎีกาด้วยนั่นเอง
อย่าช่วยกันสร้างบรรทัดฐานผิดๆต่อสังคมเพราะอีกหน่อยใครอยากจะให้นักการเมืองลาออกก็ไปตั้งข้อกล่าวหากันหมด อย่าให้สื่อมวลชนรับจ้าง นักวิชาเกินหน้าเงินมาชี้นำสังคมสร้างบรรทัดฐานผิดๆถูกๆ ในส่วนของพันธมิตรฯนั้นมีหลายต่อหลายคดีที่ผู้ร้องเป็นตำรวจ การสร้างฐานแบบนี้อาจจะเป็นการสร้างรัฐตำรวจได้ในอนาคต





หลังจากที่เสื้อแดงกำลังเอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือต่อรองถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษช่วยทักษิณให้รอดพ้นความผิด เรียกคะแนนสงสารจากประชาชน ตอกย้ำว่าเสื้อแดงเป็นผู้ถูกกระทำ และจะนำรายชื่อที่ตั้งเป้า 1 ล้ายรายชื่อไปเป็นฐานในการเคลื่อนไหวต่างๆในอนาคตเหมาเอาว่าการเคลื่อนไหวนั้น ๆ มีคนทั้งประเทศเห็นด้วย พฤติกรรมในการถวายฎีกามีเจตนาเพื่อกดดันพระเจ้าอยู่หัวก้าวล่วงพระราชอำนาจที่มิบังควรอย่างยิ่งคนพวกนี้ก็ไม่สำเหนียกยังคงเดินหน้าและอ้างหน้าตาเฉยว่าเป็นความประสงค์ของชาวบ้าน นับตั้งแต่มีประเทศไทยมาไม่เคยมีสามัญชนคนใดใช้ท้องสนามหลวงจัดงานฉลองวันเกิดอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้บรรดาลิ่วล้อขบวนการเครือข่ายเพื่อแม้วเหิมเกริมจะจัดงานวันเกิดทำพิธีทางศาสนาจัดเลี้ยงอาหารแล้วจัดคอนเสิร์ตสลับการปราศรัยที่ท้องสนามหลวงใน 26 ก.ค. มีเจตนาส่งสัญญาณตีตัวเสมอเจ้า

ประวัติศาสตร์ชาติไทยในทศวรรษที่ผ่านมามีเรื่องโชคร้ายที่สุดเพราะดันมีมหาเศรษฐีคนหนึ่งสร้างภาพหลอกผู้คนว่าเป็น “เทพ” แต่เนื้อแท้คือ “วรนุช” ชั่วร้ายได้ก้าวขึ้นมาบริหารชาติอย่างอธรรม ฉ้อฉลโกงกินบ้านเมืองอย่างตะกละตะกลาม ไร้คุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ ที่สำคัญบังอาจจาบจ้วงล่วงเกิน ทำร้ายทำลายต่อองค์ราชันย์ ผู้ทรงทศพิธราชธรรมและปวงชนชาวไทยเคารพเทิดทูนอย่างต่อเนื่องชนิดที่ไม่อาจให้อภัยได้อีกต่อไป การจาบจ้วงทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเกิดขึ้นมากมายเป็นขบวนการในยุคเสื่อมโดยประดาคนชั่วเหล่านั้นบังอาจกระทำการประสงค์ร้ายต่อสถาบันสำคัญของชาติโดยที่รัฐบาลวรนุชนั้นมิได้ดำเนินการลงโทษทางกฎหมายอย่างจริงจัง ยิ่งไปกว่านั้นวรนุชตัวลูกที่ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เหล่านั้นคือคนที่วรนุชตัวพ่อได้ชุบเลี้ยงเป็นลูกน้องทั้งลับและเปิดเผย วรนุชตัวลูกของมันก็ช่วยกันโฆษณาชวนเชื่อปลุกปั่นให้เกิดการต่อต้านสถาบันด้วยวิธีการค่อยทำลายล้างสถาบันมาตลอด

หลังจากที่ผ่านมาวรนุชตัวพ่อนี้ก็ทำให้สาธารณชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในพฤติการณ์ที่ไม่บังควรอาทิ การทำบุญวัดเกิดในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม การเดินทางไปต่างจังหวัดโดยมีประชาชนใช้ธงที่มีคำว่าทรงพระเจริญโบกสะบัดต้อนรับรวมทั้งพฤติกรรมของบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงที่ส่อเจตนาจาบจ้วงเบื้องสูงซึ่งหลายคนถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขณะที่หลายคนหลบหนีความผิดออกนอกประเทศ หลบไปหลบมาอยู่ที่ชายแดนไทยมาเลย์แค่คืบนี่เอง หลังรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย. 49 วรนุชตัวพ่อได้ใช้เงินมหาศาลซื้อเสียงและโกงการเลือกตั้งจัดตั้งรัฐบาลนอมินีถึง 2 รัฐบาล วรนุชตัวพ่อจึงได้ลงเหยียบแผ่นดินไทยจนแผ่นดินถึงกับเอียงกระเท่เร่แล้วค่อยมาปะหน้าสื่อมวลชนเกิดเป็นลมก้มลงจูบพื้น จูบดินแล้วเลียต่อไปอีก 3 เมตรเกิดไหวตัวทันเวลาที่ศาลแผนกคดีอาญานักการเมืองใกล้จะตัดสินก็เผ่นเตลิดเปิดเปิงไปไกล ปฏิเสธไม่ได้ว่าจริงๆแล้วการนำเข้าวรนุชตัวนี้จากต่างประเทศตลอดมานั้นไม่ได้มีใครขัดขวางเลยแม้แต่น้อย เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันภายใต้การบริหารชาติของรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ วรนุชตัวพ่อและพวกพ้องอหังการยิ่งขึ้นจาบจ้วงทำร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นทำให้บ้านเมืองก้าวเข้าสู่วิกฤตในทุกด้านแต่นายกฯ อภิสิทธิ์ยังคงบริหารบ้านเมืองราวกับสถานการณ์ปกติ เรากำลังมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไม่รู้จะทันเกมนี้หรือไม่ทองไม่รู้ร้อน ยังปล่อยให้สื่อมวลชนต่างๆนั่งเงียบอยู่ พระเจ้าอยู่หัวฯไม่สามารถจะพูดอะไรได้พระองค์ทำได้แค่เพียงหวังให้พวกคุณทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทให้ถูกต้อง ในการกระบวนการถวายฎีกานั้นทำไม่ได้ทักษิณไปเป่าหูประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ว่าสถาบันกษัตริย์นั้นรังแกทักษิณใครจะลุกขึ้นมาปกป้องพระเจ้าอยู่หัวฯ ถึงแม้ว่ายังไม่เสียพื้นที่อีก 1.5 ล้านไร่บริเวณปราสาทเขาพระวิหารตอนนี้แต่การกระทำของรัฐบาลแบบนี้ก็ทำให้เหมือนกับเสียไปแล้ว การปล่อยให้ฮุนเซนมาถ่มถุยข่มขู่ รัฐบาลไทยกลับไม่กล้าปกป้องอธิปไตยชาติ

เทพเทือกไม่เคยคิดตรงนี้บ้างหรือ การเป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงแตกต่างจากการเป็นกำนันบ้านนอกมากมายนักเทพเทือกจึงไม่ควรสับสนในบทบาทเหล่านั้น หรือต้องให้ตัวเองและพรรคพวกมั่นคงก่อน เหนือสิ่งอื่นใด