ตี๋ - ชิงชัย อุดมเจริญกิจ ในวันที่มือมิอาจจับพู่กันเขียนภาพ ก็ถูกแกนนำชาวเสื้อแดงตำหนิว่า ยังกำระเบิดอยู๋เลยหลังบาดเจ็บ
ภาพตี๋ ชิงชัยที่ได้รับบาดเจ็บในวันสลายม็อบโดยในมือกำพวงกุญแจไว้ แต่ตำรวจระบุในตอนนั้นว่ากำระเบิด จนนำไปสู่การฟ้องร้อง พล.ต.ต.สุรพล ทวนทองรองโฆษกสตช.ยอมขอโทษศิลปินกู้ชาติตี๋ ชิงชัยที่เคยให้ข่าวผิดพลาดว่าตี๋พกระเบิดทั้งที่จริงเป็นเพียงพวงกุญแจหนังเมื่อ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส่วนคอลัมนิสต์ข่าวสด จำเลยร่วม ยินดีแก้ไขข่าวลงนสพ. ให้ขณะที่ทนายสุวัตรได้ถอนฟ้องคดีแล้วถึงแม้ว่าจะยังมีผู้บาดเจ็บอีกหลายต่อหลายรายถูกแกนนำหัวขวดจาบจ้วงไม่เลิก
อีกเพียง 3 เดือนก็จะครบรอบหนึ่งปีของเหตุการณ์ 7 ตุลาเลือดแล้วแต่ในส่วนของการดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายกับนักการเมืองชั่วซึ่งสั่งให้หมู่ตำรวจโฉดเข้ากลุ้มรุมทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ในนามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วยอาวุธสงครามนานาชนิดกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ โดยเรื่องยังค้างคาอยู่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ไต่สวนแจ้งข้อกล่าวหาและพิจารณาส่งฟ้องศาล ทว่าในทางกลับกันอีกคดีหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในวันเดียวกันกลับถูกดำเนินการไปอย่างรวดเร็วเช่นที่ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ พนักงานอัยการพิเศษเป็นโจทก์ฟ้องนายปรีชา ตรีจรูญข้าราชการวัยใกล้เกษียณก็เป็นผู้หนึ่งที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดดังกล่าวด้วยเป็นจำเลยข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่โดยไต่ตรองไว้ก่อน,มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย, ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยผู้กระทำผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธขับรถยนต์กระบะพุ่งชนตำรวจในเหตุการณ์ตำรวจสลายการชุมนุม 7 ต.ค.51 โดยจำเลยกับพวกเป็นกลุ่มพันธมิตรฯได้มาชุมนุมขับไล่รัฐบาลสมชายกระโปรง โดยปิดล้อมถนนและทางเข้าออกรัฐสภาโดยวางแผนล่วงหน้าเตรียมรถยนต์กระบะที่ใช้ทำร้ายจอดไว้ในกลุ่มผู้ชุมนุมฯ ต่อมาจำเลยได้ขับรถยนต์กระบะไล่ชนเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากผู้เสียหายหลบได้ทันและมีผู้เข้าช่วยเหลือ นายปรีชา ตรีเจริญปฏิเสธไม่ได้มีเจตนาฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยวางแผนหรือไตร่ตรองไว้ก่อนแต่ทำไปเพราะรู้สึกโกรธมากที่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาทำร้ายประชาชนผู้ชุมนุมตลอดทั้งวันและถูกกระสุนยิงเข้าที่ตาข้างขวาจนแหลกละเอียดและดั้งจมูกหักเข้ารักษานานประมาณ 2 เดือนและพิการต้องใส่ดวงตาเทียมในเวลาต่อมา
“วันนั้นผมมาชุมนุมตั้งแต่คืนวันที่ 6 ตุลาฯซึ่งมีการประกาศระดมพล พอเช้าวันที่ 7 ตำรวจก็เริ่มยิงระเบิดเข้าใส่ผู้ชุมนุม มีคนบาดเจ็บเลือดสาดเต็มไปหมดคือเห็นภาพแล้วมันเศร้ามาก แต่เราทำอะไรไม่ได้รถพยาบาลวิ่งขนคนเจ็บออกมาคันแล้วคันเล่าผมเองไม่ได้นั่งชุมนุมอยู่กับที่ ไปทางโน้นทีทางนี้ที อย่างตอนที่ตำรวจกักรถพยาบาลไม่ให้พาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล ผมก็ขับรถออกไปวนออกดูรอบๆ ... ผมก็เพลียมากเลยออกไปหาที่พักนอนแถวๆถนนสุโขทัยเพราะตรงลานพระรูปทรงม้าร้อนมาก ไม่มีที่หลบแดดเลย พอตื่นมารู้สึกหิวมากก็เลยขับรถออกไปหาอะไรกิน นั่งกินข้าวอยู่เห็นข่าวในทีวีว่าตำรวจเริ่มยิงอีก โอย..พวกเราโดนอีกแล้ว ผมก็เลยรีบกลับไปสมทบ ขับมาทางถนนราชวิถีจนมาถึงแยกอู่ทอง ผมก็ปะทะกับตำรวจตรงนั้น คือมันอัดอั้นมาก เราโดนกราดยิง โดนระเบิดกันมาตั้งแต่เช้า รถผมอยู่ด้านราชวิถี ส่วนตำรวจอยู่ด้านแยกการเรือน ผมก็ขับรถพุ่งไปทางตำรวจ คือตอนนั้นมันทนไม่ไหวแล้ว ตำรวจยิงถล่มตั้งแต่เช้าจนบ่ายทั้งๆที่ตำรวจก็เห็นว่าพวกเราไม่มีอาวุธอะไร ถ้าพวกเรามีอาวุธนะตำรวจก็ต้องถูกยิงบาดเจ็บบ้างแล้ว แต่นี่เขายิงเราข้างเดียว ยิงอย่างคะนองมือ ... ตอนขับรถพุ่งไปเนี่ยผมโกรธจนตัวสั่น ไม่รู้หรอกว่ามีตำรวจกี่คน ตอนนั้นรู้แต่ว่ารถบัสของตำรวจพยายามมาขวางทาง ผมก็ขับถอยหลัง ตอนนั้นก็ไม่เห็นว่าข้างหลังรถเนี่ยมีตำรวจหรือเปล่า เพราะว่ารถผมมันสูง เป็นรถปิ๊กอัพ โฟร์วิล ยกสูง ตอนนั้นผมโกรธจนปากสั่นตัวสั่น เบลอไปหมดแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าชนอะไรบ้างหรือเปล่า ตอนนั้นจำได้ว่าผมขับรถเคลื่อนไปข้างหน้า พอเห็นว่ามีรถบัสของตำรวจขวางอยู่ ผมก็เข้าเกียร์ถอยหลัง แล้วก็รู้สึกว่ามีอะไรมากระแทกที่หน้า แล้วผมก็มองอะไรไม่เห็นอีกเลย ตอนนั้นยังไม่รู้สึกเจ็บนะ ก็รู้สึกว่ามีคนมาพาออกไปจากรถ แต่ไม่รู้ว่าใคร มารู้ทีหลังว่าถูกตำรวจยิงแล้วมีคนพาส่งโรงพยาบาลรามาฯ ปรากฏว่าตาขวาแตก แล้วก็บอดสนิท ดั้งจมูกหัก ก็รักษาอยู่นานหลายเดือนครับ ผมเพิ่งใส่ลูกตาเทียมเมื่อตอนต้นปี ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ หรือ มีนาคม นี่แหล่ะ แต่สภาพร่างกายอะไรมันก็ไม่เหมือนเดิมหรอกเพราะเราแก่แล้ว ยิงโดนประสาทตาซึ่งเป็นจุดสำคัญและเราเสียเลือดไปเยอะ"
รัศมี (เพ็ญสุข) ไวยเนตรกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความในฐานะทนายผู้รับผิดชอบคดีของปรีชาได้ตั้งข้อสังเกตในหลายประเด็นและมีความเห็นที่น่าสนใจว่า "ถ้าพิจารณาจากเหตุการณ์แล้วจะเห็นได้ว่าในวันนั้นพันธมิตรฯถูกตำรวจทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมและได้รับบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก ทำให้บรรดาพันธมิตรฯ รวมถึงคุณปรีชาด้วยรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว คุณปรีชาก็เลยขับรถเข้าไป สถานการณ์ขณะนั้นเป็นเหตุเฉพาะหน้า ไม่มีพันธมิตรฯ คนไหนมีเวลามาไตร่ตรองมาอะไรหรอก การที่คุณปรีชาขับรถพุ่งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เพราะเกิดจากความกดดันที่เห็นเพื่อนพันธมิตรฯ ถูกทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม มีการระดมยิงตั้งแต่เช้า กระทั่งตกเย็นตำรวจก็ยังยิงใส่พันธมิตรฯ อยู่ ... แม้แต่คนที่ดูข่าวทางทีวีก็ไม่มีใครทนได้หรอก คุณปรีชาก็เลยขับรถพุ่งเข้าไปเพราะบันดาลโทสะแต่ไม่ได้มีเจตนาฆ่าตำรวจ ... ถ้ามีการไตร่ตรองไว้ก่อนทำไมคุณปรีชาถึงไม่ถอดแผ่นป้ายทะเบียนรถออกก่อน ที่บอกว่าคุณปรีชาพยายาฆ่านั้นนายตำรวจที่อ้างว่าถูกรถคุณปรีชาชนนั้นเราก็ยังไม่เห็นหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์จริงหรือไม่ เพราะจากภาพวิดีโอที่เราเห็นนั้นมันไม่ชัดว่าใครเป็นใคร ชนลักษณะไหน บาดเจ็บตรงไหนอย่างไร ... การระบุในข้อกล่าวหาว่า มีการมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก็ดูจะไม่สมเหตุสมผล เพราะหากจะแจ้งข้อหานี้ก็ต้องแจ้งจับพันธมิตรฯทุกคนที่มาร่วมชุมนุม แต่ทำไมจึงจับปรีชาเพียงคนเดียว ...ตำรวจพยายามสร้างประเด็นว่ามีการสมคบกันทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเตรียมอาวุธมาเพื่อก่อการด้วย ทั้งๆที่ตอนนั้นตัวคุณปรีชามาคนเดียว ตัวเขาเองและผู้ชุมนุมคนอื่นๆก็ไม่ได้มีอาวุธอะไร แต่คนที่ถืออาวุธและใช้อาวุธนั้นทำร้ายคนอื่นคือเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งระดมยิงผู้ชุมนุมอย่างไร้ความปราณี การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าทำตามหน้าที่นั้นก็ต้องถามกลับว่ามีระเบียบปฏิบัติข้อไหนที่ระบุว่าตำรวจมีหน้าที่ทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชน เขาอ้างหน้าที่ไม่ได้เลย เพราะวันนั้นตำรวจไม่ได้ทำหน้าที่ดูแลการชุมนุม ไม่ได้เกิดการปะทะหรือเกิดความรุนแรงแล้วตำรวจต้องเข้ามาสลายการชุมนุม แต่เหตุการณ์วันนั้นคือตำรวจถล่มยิงพันธมิตรที่ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ไม่มีระเบียบปฏิบัติข้อไหนที่ระบุว่าตำรวจสามารถทำร้ายหรือฆ่าประชาชนได้ตามอำเภอใจ” รัศมี กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
คำให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นผู้เสียหายขัดแย้งกันอีกด้วยคือ ส.ต.ท.เศรษฐวุฒิ บัวทุมเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษได้ให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวันเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2551 ว่า “ ผมได้รับบาดเจ็บจากการถูกรถยนต์ชนและลากไปไกลพอสมควร ใต้คาง รูจมูกเป็นแผล ฟันหัก 3 ซี่ ศีรษะแตก สมองได้รับความกระทบกระเทือน ผมไม่รู้เรื่องเพราะสลบไป เพื่อนเล่าให้ฟังว่ามีคนจะขับรถมาทับแต่ทำไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าเขาโกรธแค้นผมมาจากไหน” ขณะที่ในคำฟ้องกลับระบุว่า “จำเลย (ปรีชา ตรีจรูญ) ได้บังอาจได้บังอาจขับรถยนต์กระบะที่เตรียมการไว้ไล่ชนผู้เสียหายที่ 4 (ส.ต.ท.เศรษฐวุฒิ บัวทุม) อย่างแรง จนผู้เสียหายที่ 4 ล้มลง แต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากผู้เสียหายที่ 4 หลบทันและมีผู้เข้าช่วยเหลือ” รัศมีกล่าวต่อว่า จะเห็นได้ชัดว่าแม้แต่การให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นคู่กรณียังมีลักษณะบิดเบือนให้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงแล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ตลอดจนการแจ้งข้อกล่าวหาแก่ปรีชาซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาที่มีคดีความกับตำรวจที่สลายการชุมนุมในวันที่ 7 ต.ค. นั้นจะเป็นไปด้วยความเป็นธรรมและโปร่งใส ในเมื่อคนทำคดีก็อยู่ในเครื่องแบบสีกากีเช่นกัน อีกทั้งปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังจากถูกสังคมตั้งคำถามต่อการใช้กำลังอาวุธเข้าปราบปรามประชาชนเพื่อสลายการชุมนุม 7 ต.ค.
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามทุกวิถีทางที่จะสร้างความชอบธรรมต่อปฎิบัติการดังกล่าว เมื่อเหยื่อกลับกลายเป็นผู้ต้องหา นี่หรือคือผลตอบแทนของ “การทำเพื่อชาติ”?
ขนาดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนายกษิต ภิรมย์ยังได้รู้ฤทธิ์ของสีกากีดี
ผู้สื่อข่าวถามนายกษิตกรณีทหารขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีปลดตัวเขาออกจากตำแหน่ง นายกษิตไม่ทราบว่านายทหารเหล่านั้นเป็นใครและหนังสือพิมพ์ไปเอาข้อมูลมาจากไหนตนไม่มีอำนาจอะไรไปกลั่นแกล้งหรือโยกย้ายทหารดังนั้นเขาไม่ต้องกลัวการเปิดเผยตัวเพราะถ้ากล้าพูดแล้วก็ต้องกล้าแสดงตัวด้วยเป็นลูกผู้ชายก็ต้องออกมาแสดงตัวจะกลัวอะไรและบอกด้วยว่าเนื้อหาแท้ๆ มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับตน
ถามต่อว่ารัฐบาลมีท่าทีที่จะให้ลาออกจากตำแหน่งหรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า ไม่มี ใครอยากผลักดันก็ผลักดันมา แต่ต้องมีเนื้อหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่พูดกันลอยๆ แล้วทำไมไม่ตั้งคำถามว่าการตั้งข้อหาก่อการร้ายเกิดขึ้นได้อย่างไร ตอนนี้เหมือนเอาหลายๆ เรื่องมารวมกันเหมารุมกินโต๊ะ แล้วทำไมนักการเมืองเลวๆ ตั้งเยอะตั้งแยะเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ในสภาและนอกสภา ทำไมไม่ออกไปวิพากษ์วิจารณ์และขับไล่คนพวกนั้นและทำไมกราบไหว้คนเลวๆ ตั้งเยอะตั้งแยะและหนังสือพิมพ์บางท่านที่ด่าตนอยู่ทำไมไม่ไปขุดคุ้ยความเลวระยำของคนอื่นอีกเยอะแยะที่มีอำนาจ กลัวเขาหรือ หรือว่ารับเงินเขา และที่สำคัญต้องถามว่ารัฐบาลนี้ทำอะไรผิด นายอภิสิทธิ์และตนทำอะไรผิด ทำไมเพิ่งมารักบ้านเมืองตอนนี้ แล้วตอนที่พ.ต.ท.ทักษิณปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองหายไปไหน ทำไมไม่ออกมาปกป้องสถาบัน
ไม่ใช่ว่าตนเป็นพลเรือนและไม่มีอำนาจ พอมีกระแสทีหนึ่งก็ลุกขึ้นมาผสมโรงด้วย แล้วตอนที่บ้านเมืองคับขันพวกนี้หายไปไหน หรือว่าเกรงกลัวพวกรุ่น 10 แล้วตอนที่บ้านเมืองถูกโกงกินพวกนี้หายไปไหน
บอกว่าตัวเองต้องมีจรรยาบรรณของอาชีพ
ต้องถามคนแต่ละคนว่าได้ทำในสิ่งที่ควรทำหรือเปล่า
คนเลวๆ ตั้งเยอะอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์
ทำไมไม่ออกมาประณามกันละครับ และปล่อยให้คนเลวๆ
อยู่ในสังคมเป็นข่าวอยู่ได้ยังไงทุกวัน
ลงข่าวเกี่ยวกับคนเลวๆ
ที่พูดโกหกพกลมประชาชนอยู่ได้ยังไงทุกวัน
เรื่องโกหกก็มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ
บิดเบือนข้อเท็จจริง บ่อนทำลายรัฐบาล
และคนที่โจมตีผมแล้วบอกว่าพูดเรื่องหลักการ
ทำไมยังบินไปกราบไปไหว้คุณทักษิณซึ่งทำผิด
ทำไมไม่พิจารณาตัวเอง ทำไมมี 2 มาตรฐาน
ไปกราบไปไหว้ ทำตัวเป็นทาสคนที่ผิดอย่างคุณทักษิณ
ทีกับผมกลับพยายามจะมาเล่นงานในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิด"