25 กรกฎาคม 2552

เวลาของท่านนายกฯ เหลือน้อยแล้ว


โดย พลอากาศเอกเทอดศักดิ์ สัจจะรักษ์24 กรกฎาคม 2552 14:57 น.
หลังจาก ฯพณฯ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้บริหารประเทศผ่านพ้นไป 6 เดือน ได้มีบุคคลต่างๆ ทั้งพวกที่สนับสนุนและต่อต้านท่าน พากันออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้น ไม่ว่าสื่อมวลชน คอลัมนิสต์ นักวิชาการจากสถาบัน และอิสระไม่เว้นแม้คอการเมืองทั่วไปที่เข้าไปแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อทางอินเทอร์เน็ต สำหรับพวกที่คัดค้านหรือต่อต้านท่านนายกฯ แบบขวาตกขอบ ผมขอข้ามไปไม่ขอพูดถึงเพราะคนพวกนี้ ไม่ว่าท่านนายกฯ จะถูกหรือผิด ดีหรือเลว แม่ง.......ก็ด่าได้ทุกเรื่อง ค้านได้ทุกเรื่องไป

แต่ที่ผมอยากพูดถึงและออกจะแปลกใจเอามากๆ ก็คือ ได้มีกลุ่มคนที่ออกตัวว่าเคยรักใคร่และสนับสนุนท่านนายกฯ อยากให้อยู่นานๆ เพื่อแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง พากันออกมาติติงในลักษณะต่างๆ กันมากขึ้น บ้างก็ติเพื่อก่อบ้างติติงการทำงานที่ไม่มีเอกภาพไปยอมพรรคร่วมรัฐบาลมากไป ติว่าไม่มีผลงานผ่านไป 6 เดือนเปรียบเทียบกับรัฐบาลสมัย คมช.ที่ว่าแย่กลับแย่กว่า ปัญหาด้านความมั่นคงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาชายแดนกัมพูชา ปัญหาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงโดยกลุ่มผู้ไม่หวังดีและวิทยุชุมชนบางแห่งรัฐบาลยังแก้ไขไม่ได้เลย ทั้งที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือซ้ำร้ายสถานการณ์กลับเลวลงกว่าเก่า ขนาดนายกฯ และคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่บางจังหวัดไม่ได้ ไม่มีความปลอดภัย และที่น่าเป็นห่วงเอามากๆ ก็เห็นจะเป็นบรรดาลูกพรรคประชาธิปัตย์และคนที่สนับสนุนพรรคพากันออกมาแสดงอาการรังเกียจ และไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพรรคในระยะหลังๆ แบบชนิดไม่เกรงใจหัวหน้าพรรคกันอีกต่อไปแล้ว

ถ้าท่านนายกฯ เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนคำพังเพยที่ว่า คนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อถือเป็นเรื่องปกติทางการเมืองก็ไม่ว่ากัน แต่ผมว่าท่านอย่าใจเย็นนะครับท่าน น่าจะให้ทีมงานที่ปรึกษาวิเคราะห์ดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วรีบหาทางแก้ไขในกรณีที่ท่านห็นว่าข้อติติงนั้นมีเหตุผลและรับฟังได้

ผมเองก็เป็นแฟนคลับของท่านคนหนึ่ง จากสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ ผมอยากให้ท่านนายกฯ มีโอกาสได้บริหารบ้านเมืองเพื่อแก้วิกฤตชาติไปนานๆ เพราะผมยังมีความเชื่อและศรัทธา ถ้าจะนำนักการเมืองที่สังกัดพรรคการเมืองทั้งซีกฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลที่มีอยู่ในเวลานี้ มาเปรียบเทียบคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ ความเหมาะสมในการเป็นนายกรัฐมนตรีแบบภาษานักมวยที่พูดว่า หมัดต่อหมัด น้ำหนักปอนด์ต่อปอนด์ ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ชนะขาดในเวลานี้ แม้จะเป็นนักมวยหน้าใหม่ โอกาสแสดงฝีมือยังน้อยแต่ก็แฝงเสน่ห์ไว้ด้วยความสุภาพเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าวและแถมรูปหล่ออีกต่างหาก

แต่อย่างไรก็ตาม คนที่รักกันและมีความปรารถนาดีต่อกันใช่ว่าจะตัองชมกันทุกเรื่องไป บางครั้งก็จำเป็นต้องท้วงติงกันบ้าง เสนอแนะกันบ้างส่วนว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็คงไม่ว่ากัน แต่ก็ขอกราบเรียนว่ากระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ เหมือนบทความที่ผมเคยเขียนเรื่อง ต้องกล้าๆ หน่อยท่านนายกฯ ภายหลังพวก นปช.ปฏิบัติการสงกรานต์เลือดไม่กี่วัน ผมเคยเชียร์ให้ท่านนายกฯ กล้าตัดสินใจ ให้มีความเด็ดขาดในการแก้ปัญหา อย่าซื้อเวลากับเรื่องบางเรื่อง ในฐานะที่เคยเป็นทหารเก่าแม้จะเกษียณราชการมาแล้วก็ตาม ผมรู้สึกไม่สบายใจและไม่เห็นด้วยกับนโยบายด้านความมั่นคงบางเรื่องของท่านนายกฯ และบรรดาน้องๆ นายทหารที่เป็นบิ๊กๆ อยู่ขณะนี้เกี่ยวกับการซื้อเวลา

เรื่องแรก ก็คือ การปล่อยให้คนกลุ่มเสื้อแดงและคนกลุ่มที่เคยแสดงออกถึงการไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ออกมาปลุกระดมล่ารายชื่อ หนึ่งล้านชื่อเพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ นช.ทักษิณ ชินวัตรโดยไม่แคร์ต่อความรู้สึกของประชาชนผู้มีความจงรักภักดี ได้มีบุคคลมากมายที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เป็นนักวิชาการด้านกฎหมาย เป็นสื่อสารมวลชน ฯลฯ พากันออกมาทักท้วง บอกว่ามันทำไม่ได้ มันผิดขั้นตอน เพราะทักษิณยังไม่เคยรับโทษในคุก มันไม่ถูกขั้นตอนตามกฎหมาย

ไม่ว่าจะล่ารายชื่อได้ครบหรือไม่ จะได้มีโอกาสถวายฎีกาหรือไม่ก็ตาม การที่นายกฯ ปล่อยเวลาให้ยาวนานออกไป โดยที่กลุ่มผู้ดำเนินการยังไม่ยอมยุติได้สร้างความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้ เป็นการยอมให้คนผู้ไม่หวังดีแต่ประสงค์ร้ายดึงสถาบันลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทุกวันนี้เพื่อชักชวนประชาชนให้มาลงชื่อร่วมด้วย ได้มีสถานีวิทยุชุมชนบางแห่งปลุกระดมข้อความอันเป็นเท็จรวมถึงใบปลิวเถื่อนโจมตีสถาบันว่อนไปทั่วทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน ผมมีความเชื่อโดยไม่มีความสงสัยว่าท่านนายกฯ ก็ทราบเรื่องนี้ รองนายกฯ สุเทพก็ทราบหน่วยงานความมั่นคงก็ทราบ แต่ทำไมไม่ดำเนินการยุติเรื่องนี้โดยเร็วจะรอให้เกิดความเสียหายมากไปถึงไหน ท่านเป็นผู้บริหารสูงสุดของชาติจะรอให้ใครมาสั่ง คงไม่มีแล้วท่านต้องกล้าตัดสินใจเองเพื่อรักษาสถาบันเอาไว้

กลุ่มบุคคลต่อไปที่ผมเห็นสมควรถูกตำหนิในเรื่องเดียวกันนี้ ก็คือบรรดาบิ๊กๆทหารของกองทัพและและรมว.กห.ซึ่งเป็นอดีตทหารเก่าเช่นเดียวกับผม ตลอดเวลาที่เกิดเรื่องนี้ ผมไม่เห็นบิ๊กทหารคนไหนออกมากล่าวปกป้องสถาบันในฐานะที่ดำรงตำแหน่งนายทหารราชวัลลภรักษาพระองค์ ท่านทั้งหลายล้วนเคยกล่าวคำปฏิญาณตนต่อหน้าพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแล้วทั้งนั้นว่า ข้าฯ จะยอมตายเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า แล้วทำไมเมื่อถึงเวลาและโอกาสที่สมควรพูดหรือแสดงออกกลับไม่มีเหมือนกลัวดอกพิกุลจะหลุดจากปาก

เรื่องการจาบจ้วงสถาบันมีมานานและหนักขึ้นเรื่อยๆ ผ่านมาถึงรัฐบาลปัจจุบันนึกว่าจะเบาลงก็เหลว มันเป็นหน้าที่ของพวกท่านแล้วที่จะต้องบอกรัฐบาลว่าเรื่องนี้ทหารรับไม่ได้ ถ้าท่านได้พูดด้วยเหตุผลและความบริสุทธิ์ใจแล้วรัฐบาลยังเฉยหรือเข้าเกียร์ว่าง ก็คงตัองจับเข่าคุยกันระหว่างพี่ๆ น้องๆ ในฐานะทหารรักษาพระองค์ว่าจะทำอย่างไรดี เพื่อรักษาคำปฏิญาณนั้นไว้ให้ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่ทำอะไรเลยแล้ว วันที่ 3 ธันวาคมที่จะถึงนี้พวกท่านจะกล่าวคำปฏิญาณว่าอย่างไร

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมขอแสดงความเห็นต่างมุมกับท่านนายกฯ กรณีตำรวจตั้งข้อหาแกนนำ พธม.และคณะว่าเป็นผู้ก่อการร้ายสากล ท่านนายกฯ ได้แสดงจุดยืนว่าท่านจะไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่ ในเรื่องนี้ได้มีผู้รู้ออกมาแสดงความคิดเห็นประเด็นของข้อหาว่าน่าจะไม่ถูกต้องและไม่เข้าหลักเกณฑ์ และเรื่องนี้มีการเมืองเข้ามาชี้นำอย่างแน่นอน พธม.ไปรายงานตัวแต่ไม่ยอมรับข้อกล่าวหาแถมมีการฟ้องกลับเรื่องจึงทำท่าจะบานปลายและผลเสียของเรื่องนี้จะกระทบต่อท่านนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์อย่างไม่ต้องสงสัย ข้อหานี้แม้จะมีโทษหนักถึงประหารชีวิต แต่คนเหล่านั้นเขาไม่เคยกลัวเพราะข้อหากบฏก็โดนมาแล้ว เพราะตั้งตามใบสั่งทางการเมืองท้ายสุดศาลท่านก็ไม่รับฟ้อง แต่ที่เขาโกรธก็เพราะข้อหานี้มีเจตนาจะกำจัด รัฐมนตรี กษิต ภิรมย์แต่เพียงผู้เดียว โดยฝีมือคนในพรรคประชาธิปัตย์บางคนร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลและการร่วมกระทืบซ้ำโดยพรรคฝ่ายค้าน เพราะเรื่องนี้มันเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน เพราะรัฐมนตรีกษิตเป็นคนที่รู้ทันทักษิณ เกาะติด กัดไม่ปล่อยเป็นมวยที่ถูกคู่ที่สุดและเป็นคนที่ทำให้ทักษิณเหลือที่ยืนในต่างประเทศน้อยลงเรื่อยๆ

ท่านกษิตแม้จะเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์แต่ก็เป็นฮีโร่ในดวงใจของ พธม.จึงไม่ต้องแปลกใจ ถ้ากษิตถูกต้อนจนตกเวทีเมื่อไร ท่านนายกฯ และพรรคการเมืองของท่านก็จะถูกบรรดา พธม.ทำให้เวทีทางการเมืองของประชาธิปัตย์เล็กลงอย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะเพียงท่านอยากจะบอกว่าท่านเป็นกลางแม้ข้อหาจะไม่ถูกต้องและเป็นธรรม จะทำอะไรก็ต้องรีบแล้วละครับ ผมเดาว่าท่านนายกฯ ก็คงรู้ข้อหาการเมืองเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร ถึงวันนี้คนตั้งข้อหาเขาพูดว่าผู้ก่อการดี แล้วทำไมท่านปล่อยบรรดาคนรอบข้างและพรรคฝ่ายค้านละเลงสีจนเลอะ ท่านนายกฯ เองก็เปลืองตัวเอาเวลาเรื่องนี้ไปใช้แก้ปัญหาบ้านเมืองดีกว่า

ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์มีประวัติในอดีตที่งดงาม มีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่วัยเด็ก วันนี้ความฝันของท่านก็เป็นจริงแล้ว ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย แต่ผมไม่ทราบว่าท่านฝันจะเป็นนายกฯ ที่ประชาชนคนไทยจดจำและยกย่องเชิดชูในคุณงามความดี หรือสักแต่ได้ชื่อว่าเป็นนายกฯ เหมือนอดีตนายกฯ คนก่อนๆ ก็พอแล้ว ท่านอาสาเข้ามาบริหารประเทศในเวลาที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤต ประชาชนต้องการผู้นำที่กล้าหาญ เด็ดขาดและมือสะอาด ท่านต้องไม่ลืมธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่องมงคลชีวิต 38 ข้อแรกเลยคือ การไม่คบคนชั่วเป็นมิตร

ผมขอเรียนว่าคนรอบข้างท่านช่วยเหลืองานท่านมีทั้งคนดี คนไม่หวังดีและคนชั่ว ถ้าท่านยังแยกแยะไม่ออก หรือมัวแต่เกรงใจ เวลาในการบริหารบ้านเมืองที่ดูเหมือนว่ามันเหลือน้อยอยู่แล้วจะยิ่งน้อยไปอีก มิตรเทียมของท่านกำลังทำลายท่านตลอดเวลา และคนที่เคยรักและชอบท่านกำลังจะลดน้อยลงและทิ้งท่านไปเรื่อยๆ เพราะท่านไม่ได้ทำตามที่ท่านเคยเขียนไว้ในหนังสือของท่านเลย

และสุดท้ายอยากกราบเรียนว่า คดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำมวลชนและสื่อมวลชนอย่างโหดเหี้ยมและอุกอาจ เป็นเสมือนฝีร้ายในตัวรัฐบาลที่กำลังอักเสบและรอเวลาที่จะแตก ความลับมันไม่มีในโลก ใครเกี่ยวข้องบ้าง ท่านนายกฯ ก็คงทราบนานแล้วจากการรายงานของตำรวจ แต่การไม่รีบเร่งดำเนินการเพราะคิดว่ายังเก็บความลับไว้ได้หรือเกรงใจคนบางกลุ่ม จนคนร้ายหลบหนีทำลายหลักฐาน ท่านให้สัมภาษณ์ว่าเจอแต่ตอ ถ้าไม่รีบผ่าตัดเอาฝีร้ายออกก่อนที่มันจะแตกหนทางที่จะรอดก็เหลือน้อยแล้วละครับ

24 กรกฎาคม 2552

ตัดกรรม มันยาก กรรมออนไลน์ตามตัวได้ทุกหนแห่ง

คนคนหนึ่งอาจถูกมองถูกวิเคราะห์ได้หลายมุม ทักษิณ ชินวัตรก็เช่นกัน ถ้ามองที่การทำงานบางคนก็บอกว่าทักษิณไว ทักษิณตัดสินใจเด็ดขาด อีกคนกลับบอกว่าทักษิณทำงานเอาหน้า จับจด ครั้นมองที่การชี้นำเสียงหนึ่งก็ว่าทักษิณมีวิสัยทัศน์ รู้ปัญหาปัจจุบันและเล็งเห็นอนาคตชัดเจน อีกเสียงหนึ่งกลับแย้งออกมาว่าทักษิณน่าจะเป็นคนไม่สบาย คิดเห็นอะไรวุ่นวายไปหมดจนทำอะไรไม่เห็นสำเร็จเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้ฯ ถ้าถามกันว่า ทักษิณเป็นคนดีไหม?ขี้โกงจริงหรือไม่ด้วยข้อเท็จจริงและหลักแห่งความถูกผิดที่อธิบายได้กลุ่มคน Thaksin Watchจึงได้ทุ่มเทขุดคุ้ยและขบคิดจนสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเองแล้วว่าทักษิณ..คือคนขี้โกงอย่างมหาวายร้ายเลยทีเดียว (..โกงบ้าง..แต่ทำงานดีก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร..ใครมันก็โกงกันทั้งนั้นแหละคุณ..) คดโกงถึงกระดูกและถึงระดับสร้างสรรค์ ทั้งชง ทั้งฉวย แล้วคาบวิ่ง ซุกซ่อน แพรวพราวทุกจังหวะ กินได้ทั้งลึกทั้งตื้น ทุกกิจการ ทุกเวลา เมื่อได้ขึ้นเป็นนายกฯแล้วเขาก็ลงมือโกงกินบ้านเมืองราวกับตะกวดที่หลุดเข้าไปในเล้าไก่เลยทีเดียว ดังจะขอรายงานให้เหยื่อหรือไก่ที่ยังไม่รู้ตัวทั้งหลายได้ทราบและร่วมตัดสินด้วยดังสมการความคิดโกงที่กลายเป็นความร่ำรวยดังต่อไปนี้

ตัวแทนเชิด + กองทุนลับ + ข้อมูลภายใน + ยักยอกอำนาจรัฐ = ความร่ำรวยของทักษิณ

ทักษิณเป็นนักเชิดหุ่นที่มีหุ่นหลายตัวเต็มไม้เต็มมือไปหมด
1-หุ้นชินคอร์ป 49.6% ทักษิณเชิดหุ่นบริษัทแอมเพิลริช 11.2%, พานทองแท้ 10.49%, พินทองทา 15%, บรรณพจน์ 12.7% และยิ่งลักษณ์ 0.7% แก้ไขกฎหมายโทรคมนาคมให้ต่างด้าวแล้วจึงรวมหุ้นขายให้ทุนสิงคโปร์ 7.3 หมื่นล้านในที่สุดและไม่เสียภาษีโดยคนเซ็นโอนหุ้นโยกย้ายหุ้นชินฯของแอมเพิลริชชื่อทักษิณ ชินวัตร
2-หุ้นเอสซี แอสเสท ที่มีบริษัทวินมาร์คเป็นผู้ถือหุ้นร่วมกับนางสาวพินทองทา แต่ดีเอสไอก็ตามค้นจนได้หลักฐานจากธนาคารว่าผู้มีอำนาจลงนามในวินมาร์คก็คือทักษิณ ชินวัตร อีกเช่นกัน
3-ใช้ชื่อโอ๊คเอาเงินปันผลชินฯไปช้อนหุ้นธนาคารทหารไทยและไอเอฟซีทีแล้วขายออกตัวได้กำไรส่งเงินคืนให้มารดา มารดาก็ซื้อตึกไอเอฟซีทีในราคาถูก นอกจากนี้บริษัทประไหมสุหรีของพจมาร (ชื่อประไหมสุหรีนี้แปลว่ามเหสีเอก!), บริษัท เอสซี แมนเนจเมนท์, บริษัท บีโอที อินเวสเมนต์, บริษัทยูเคสปอร์ตอินเวสท์เมนต์ที่ถือหุ้นแมนซิตีทั้งหมดนี้ล้วนเรียงรายอยู่ในเส้นทางฟอกเงินของทักษิณทั้งสิ้น
4-กองทุนลับ ทักษิณเอาเงินที่ได้จากการแอบขายบาทซื้อดอลลาร์เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540, เงินที่แอบปั่นหุ้นหรือใช้ข้อมูลภายในเล่นหุ้นโดยผิดกฎหมายเป็นต้น เงินเหล่านี้ต้องถือครองโดยนิติบุคคลต่างประเทศและให้เล่นหุ้นหรือถือเงินไว้ในธนาคารสิงคโปร์เพื่อให้พ้นการตรวจสอบของกฎหมายไทย บริษัทวินมาร์คคือคำตอบ คำถามต่อมาคือเงินเพิ่มทุนหุ้นชินคอร์ป 2 พันล้านบาทซึ่งไม่มีที่มาที่ไป เงินซื้อหุ้นเอสซีแอสเสท 1.5 พันล้านบาทนอกจากจะซุกหุ้นชินคอร์ปวินมาร์คนำเงินลับมาซื้อหุ้นกลุ่มบริษัทบริษัท เอสซี แอสเสท กับบริษัทในกลุ่มอีก 4 บริษัทไป
5-หุ้นชินทักษิณให้แอมเพิลริชถือไว้ให้ โดยมีการตรวจสอบพบว่าคนคนหนึ่งถือหุ้นชินเพิ่มขึ้นถึงเกณฑ์ 5% ซึ่งก็คงจะเป็นตัวทักษิณนั่นเอง ทักษิณใช้เงินผ่านวินมาร์คเล่นหุ้นชินในตลาดและมีการใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขายต่อไปอีกจนมีการซื้อขายฟันกำไรโดยมิชอบไปกว่า 400 ล้านในที่สุด ตรงจุดนี้ก็น่าเสียดายที่ก.ล.ต.ไทยไม่ใช้ความสัมพันธ์ตามข้อตกลงกับก.ล.ต.สิงคโปร์ให้ช่วยตรวจสอบว่าบุคคลนี้คือใคร? ใช่ทักษิณหรือไม่

ทักษิณเกิดมาโกงมหาชนโดยเฉพาะทั้งบริษัทมหาชนและรัฐของมหาชน ในยามที่ยังไม่ถืออำนาจรัฐความเสียหายจะไม่มาก แต่เมื่อเขาครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมือหนึ่งก็ถืออำนาจเหนือหน่วยงานรัฐทั้งปวง อีกมือหนึ่งก็เชิดหุ่นเป็นสิบๆ ตัวพร้อมกองทุนลับนับพันล้านแล้วเมื่อนั้นหายนะของชาติก็มาถึง การถือประโยชน์ทับซ้อนโดยในด้านหนึ่งนั้นทักษิณต้องควบคุมดูแลสัมปทานชินคอร์ปให้ซื่อตรงต่อมหาชนหรือประโยชน์สาธารณะในขณะเดียวกันก็ต้องการหาประโยชน์จากธุรกิจชินคอร์ปให้มากเข้าไว้

การใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของทักษิณที่เกิดขึ้นใน 6 ปีที่ผ่านมาและเขาพยายามดันทุรังยังไม่ยอมให้ผ่านไป ถ้าเอไอเอสได้ 1 บาททักษิณจะได้ 1 สลึง ทักษิณระดมทุนชาวบ้านมาขุนเอไอเอสของตนเองให้อ้วนท้วนแล้วคอยหาจังหวะขายฟันกำไรเข้ากระเป๋าเป็นหมื่นๆ ล้านจนได้ ทักษิณยักยอกอำนาจรัฐไปเลี้ยงชินคอร์ปจนอ้วนท้วนด้วยยุทธศาสตร์ผูกขาด 4 ขนานคือแทรกซึม เอาเปรียบ สกัดกั้น แล้วทำลาย อำนาจรัฐจึงเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่จะเกื้อหนุนหรือทำลายอำนาจเหนือตลาดของเอไอเอสที่ยึดครองมาตลอด การปล่อยให้หัวหน้าชินคอร์ปขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีจึงมีค่าเท่ากับยกหน่วยงานของรัฐ ทั้ง กสท, ทศท. และกระทรวงไอซีทีให้กลายมาเป็นแผนกการตลาดภาครัฐของชินคอร์ปเลยทีเดียว ผู้บริหารหน่วยงานรัฐทำงานให้แผนกนี้ได้ดิบได้ดีเกษียณแล้วก็ไปนั่งเป็นผู้บริหารเอไอเอสกับผู้บริหารยูคอมของเจ๊แดง มีการลดค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบเติมเงินล่วงหน้าจึงเป็นเรื่องที่ทำให้เอไอเอสได้ 2 เด้งคือคงความได้เปรียบอันไม่เป็นธรรมที่มีเหนือดีแทคไว้ได้เหมือนเดิม การแข่งขันที่แท้จริงจึงไม่เกิดขึ้น เด้งที่ 2 คือด้วยตลาดมือถือแบบเติมเงินที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว หมอเลี๊ยบทำการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตที่คิดขึ้นมาเพื่อทำลายระบบโทรคมนาคมเสรีเป็นสำคัญ หากปล่อยให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันโดยแบกรับเฉพาะค่าธรรมเนียมราคาถูก (5%) ไม่ต้องแบกค่าสัมปทาน 20% เหมือนเอไอเอสแล้วบริษัทเหล่านี้จะตีตลาดเขาได้อย่างถนัดมือและยังเป็นการตัดรายได้ของกสทและทศท.ที่จะไปเข้ากระเป๋ารัฐโดยตรงอีก

ที่สุดเทมาเส็กเข้ามาจับมือร่วมลงทุนในไทยแลนด์อิงก์ของทักษิณและมีเงินจากกองทุนลับของทักษิณปนอยู่ในบริษัทกุหลาบแก้วด้วย สิงคโปร์จะโง่เข้ามาฮุบกิจการในไทยโดยไม่มีนายกรัฐมนตรีร่วมให้ความคุ้มครองอยู่ด้วยนั้นคงเป็นไปไม่ได้แน่ จากหนังสือแจกฟรีที่ประเทืองปัญญาชื่อ “ทักษิณ...Who are you?” รวบรวมกรณีทักษิณโดย Thanksin watch กลุ่มคนที่ประกาศไม่ยอมอยู่ในสวนสัตว์ของใครทั้งสิ้นโดยเฉพาะไม่ยอมเป็นสัตว์ในกรงทักษิณ หนังสือเล่มเล็กๆ เล่มนี้เขียนง่ายเข้าใจเร็วนำเสนอเพื่อการเรียนรู้ของคนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยังรู้จักถูก-ผิดเท่านั้น

ทักษิณ ชินวัตรเกิดวันที่ 26 กรกฎาคม 2492 ที่อำเภอสันกำแพง จ.เชียงใหม่เป็นลูกคนหัวปีของครอบครัวพ่อค้าท้องถิ่นที่ขยับขยายไต่เต้าขึ้นมาเป็นนักธุรกิจบันเทิงและนักการเมืองในที่สุดนามของบิดาคือ เลิศ และมารดาคือ ยินดี โดยมีพี่น้องคลานตามกันมาอีก 8 คน ประวัติทักษิณ อ่านต่อได้ที่นี่ ไม่แปลกที่คุณทักษิณจะรวยเป็นมหาเศรษฐีได้ อ่านต่อได้ที่นี่ เศรษฐีหมื่นล้าน อ่านต่อได้ที่นี่ ก่อนจะถวายฎีกาก่อนจะจัดงานวันเกิดอันยิ่งใหญ่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 20 ที่ผ่านเวลา 15.15 น. ดีเจคลื่น 95.25 เอฟเอ็มได้ประกาศเชิญชวนให้พี่น้องเสื้อแดงอวยพรวันเกิดให้นายใหญ่ผ่านทางโฟนอินโดยใช้คำว่า “เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 พรรษา” ดีเจไม่มีร้องอุ๊ย หรือโอ๊ย หรือขอโทษว่าพูดผิดไป แต่เขาพูดคำนี้ซ้ำๆเหมือนย้ำว่าถูกแล้ว ทักษิณอาจไม่ต้องเผชิญชะตาไม่ต้องสูญเสียทรัพย์สินลูกเมียและชื่อเสียงเพียงแค่ทักษิณรู้จักคำว่าพอเพียง ซื่อสัตย์และกตัญญู

“พี่ทักษิณตั้งใจรับใช้ชาติทำการเมืองเต็มที่ในฐานะน้องก็ให้กำลังใจเสมอ แม้ไม่เคยสนใจเข้าสู่การเมืองเลยก็ตามแต่วันนี้ครอบครัวประสบปัญหาไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็อดห่วงใยพี่ชายไม่ได้ แต่ไม่ย่อท้อเพราะรู้ว่าพี่ชายตั้งใจรับใช้ชาติ สักวันหนึ่งต้องมีคนเห็นใจและเข้าใจ แม้ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม เป็นเวลา 3 ปีแล้วที่ครอบครัวไม่ได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาและอบอุ่นเหมือนเคย แต่เราจะอดทนและให้กำลังใจเสมอ ในวันที่ 26 ก.ค.นี้จะเป็นวันเกิดพี่ทักษิณ หวังว่าหลังจากนี้จะมีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตพี่บ้าง” ไม่น่าเชื่อว่าคนอายุจะ 50 อย่างยิ่งลักษณ์นั้นไม่สามารถ ไม่รู้ ไม่มีความคิดได้เพียงนี้เกือบ 10 ปีที่ผ่านมานี้ยิ่งลักษณ์ไปอยู่เสียที่ไหนมา อีกคนหนึ่งก็จักรภพ อีเพ็ญผู้มีทัศนคติอันตรายสร้างความเชื่อแปลกๆจากบทความที่ลากโยงเข้าสู่การว่ายน้ำข้ามทะเลแทนที่จะบอกให้อดทนว่ายน้ำให้ถึงฝั่งกลับแนะให้คอยวันที่น้ำทะเลเหือด "หากรู้สึกว่าถ้าคุณทักษิณว่ายน้ำข้ามทะเลไม่ไหว ก็อย่าถอดใจปล่อยตัวให้จมน้ำเพราะวันหนึ่งน้ำทะเลก็แห้งได้เหมือนกัน”

ในสายตาของทักษิณยังมองเก้าอี้นายกฯ ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดในการบริหารราชการบ้านเมืองของประเทศเป็นสิ่งที่อยู่ในกำมือที่จะยกให้กับใครก็ได้ที่อยู่ในคอนโทรล แล้วประเทศชาติในสายตาเขาเล่า จะมองอย่างไร งานคล้ายวันเกิด 60 พรรษาของเจ้ามูลแม้วที่วัดแก้วฟ้าเป็นการนำไปสู่การรวบรวมรายชื่อ 1 ล้านคนเพื่อถวายฎีกา แก้กรรมที่สิ่งที่ทักษิณกำลังประสบอยู่นี้น่าจะเป็นจากกรรมเกิดขึ้นในชาตินี้และเป็นกรรมออนไลน์ที่สามารถติดตามตัวไปได้ทุกหนแห่งแม้กระทั่งข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงเมืองดูไบได้ จะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์โลกเห็นแล้วต้องตะลึง สร้างความแตกแยกในวงการสงฆ์สายธรรมยุตกับมหานิกายอีกคำรบหนึ่งภายหลังจากที่ได้ตั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสระเกศเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่มาแล้ว

ทางพระครูปลัดไพศาล กิตฺติภทฺโทเจ้าอาวาสวัดแก้วฟ้าได้กล่าวถึงพิธีหงายบาตร-ตัดกรรมที่จะมีขึ้นเป็นการจัดงานตามปกติไม่มีอะไรพิเศษ เป็นพิธีซึ่งจัดเป็นประจำเพียงแต่ในครั้งนี้จะทำพิธิ “หงายบาตร-ตัดกรรม” ให้ทักษิณ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธีผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตตยาลัยและพระนักเทศน์ชื่อดังได้อธิบายเรื่องการคว่ำบาตร-หงายบาตรตามหลักวิชาการว่าการคว่ำบาตรเป็นมาตรการหนึ่งของคณะสงฆ์ที่ใช้กับคฤหัสถ์ที่มุ่งติเตียนว่าร้ายภิกษุสงฆ์ด้วยจิตไม่ดี วิธีการคว่ำบาตรก็คือคณะสงฆ์จะไม่คบค้าสมาคมคฤหัสถ์ผู้นั้น ไม่รับบาตรตลอดจนไม่รับกิจนิมนต์ การคว่ำบาตรไม่ใช่การกระทำเพื่อประสงค์ร้าย เตือนสติคนผู้นั้นให้สำนึกว่าทำไม่ถูกต้อง ซึ่งเมื่อหากคนผู้นั้นสำนึกผิดและรู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นผิด ยอมรับผิดและขอโทษ ทางคณะสงฆ์ก็จะหงายบาตร คือกลับมาคบค้าสมาคม รับบาตร และรับกิจนิมนต์เหมือนเดิม การคว่ำบาตรนี้ เป็นประเด็นทางธรรม ไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง ในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้มาติดต่อขออนุญาตขอใช้สถานที่วัดใหญ่เพื่อจัดงานนั้นพระธรรมเสนานุวัตร เจ้าอาวาสวัดใหญ่พิษณุโลกและรองเจ้าคณะภาค 5 ฉันเพลที่ศาลาพิบูลธรรมเรียบร้อยแล้วจึงเทศน์ในตอนหนึ่งว่า “ขณะนี้บ้านเมืองแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ขาดความสามัคคี กลุ่มที่เรียกว่าเสื้อแดงจะมาขอวัดใหญ่จัดงาน แต่อาตมาไม่ต้องการให้สังคมแตกแยกไปกว่านี้ บ้านเมืองจะแย่อยู่แล้ว ทำอะไรให้ถึงนึกพ่อของแผ่นดินบ้าง อีกทั้งวัดใหญ่เป็นวัดอารามหลวง จัดงานเฉพาะงานพิธีสำคัญเท่านั้น ไม่สามารถจัดงานให้คนใดคนหนึ่ง อาตมาไม่อนุญาต”

ในวันเดียวกันนั้นเองก็จะมีขี้ข้า ทาสน้ำเงิน และคนเสื้อแดงหลายกลุ่มหลายก้อนกระจายตัวกันไปทำกิจกรรมบัดสีบัดเถลิงอ้างทักษิณในพื้นที่ต่างๆ กันทั่วประเทศ การจัดงานพวกนี้เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัว คือ หนึ่ง สร้างแรงกดดันไปที่สถาบันเบื้องสูง สอง สร้างภาพลวงยุติการเคลื่อนไหวเพื่อความสมานฉันท์ และสาม ใช้ล้านรายชื่อเป็นฐานมวลชนเพื่อกระชับกำลังในการเปิดศึก

22 กรกฎาคม 2552

จับกุมแดงและกำจัดเหลือง

นักการเมืองและข้าราชการก็มีโอกาสที่จะรู้จักกันได้แม้ว่าจะอยู่การเมืองคนละขั้ว “ถ้าไม่นำเรื่องคดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุลมาเกี่ยวข้องแล้ว” ก็จะเห็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ประเภทนี้อยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น

สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เคยมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับทักษิณ ชินวัตร ถึงขนาดที่ทักษิณ ชินวัตร ก็เคยถึงขั้นไปเยี่ยมถึงบ้านสุเทพ เทือกสุบรรณมาแล้วซึ่งปัจจุบันความสัมพันธ์กันอย่างไรไม่ใครทราบได้

พ.ต.อ.ทวี สอดส่องอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งต้องดูแลหลายคดีซึ่งรวมถึงคดีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ เอสซีแอสเสท ก็มีกระแสข่าวถึงความใกล้ชิดสนิทสนมแนบแน่นกับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งแม้ว่า พ.ต.อ.ทวีจะกลับเข้ามาเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในสมัยพรรคพลังประชาชนและทำให้คดีเอสซีแอสเสทต้องเงียบหายไป แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลแล้วพ.ต.อ.ทวี ก็ยังสามารถรักษาเก้าอี้ตัวเดิมได้อย่างเหนียวแน่นไม่เปลี่ยนแปลง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาผู้บัญชาการทหารบกก็มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์จนปรากฏเป็นข่าวการร่วมกิจกรรมและการเจรจาพูดคุยกันหลายหน

ธีระศักดิ์ สุวรรณยศ นักการเงินและนักธุรกิจ มือทำงานของสุเทพ เทือกสุบรรณตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เคยเป็นทั้งบอร์ดการบินไทย บอร์ดองค์การโทรศัพท์ ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ก็มีกระแสข่าวเช่นเดียวกันว่า มีความใกล้ชิดสนิทแนบแน่นกับเยาวเรศ ชินวัตร


คดีอาชญากรรมใหญ่ๆ หลายคดี มีคนมีสี ไม่ว่าจะเป็นสีกากี หรือสีเขียวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอยู่บ่อยๆ คนพวกนี้เป็นพวกถืออาวุธได้ถูกต้องตามกฎหมายทั้งยังมีสีและนายเป็นเกราะคุ้มกัน เมิ่อก่อคดีมีเรื่องแล้วก็หนีเข้ากรมหลบเข้าค่ายไปกบดานได้ เวลาตำรวจ ทหารชั่วๆไปทำความผิด ผู้บังคับบัญชามักจะแก้ตัวว่ากำลังพลมีมากทำให้การดูแลไม่ทั่วถึง พอมีเหตุร้ายที่ทหาร ตำรวจต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาจะอ้างว่ากำลังพลมีไม่พอส่งผลให้ดูแลไม่ทั่วถึงแก้ตัวไปได้น้ำขุ่นๆ เพื่อปกป้องพวกที่มีสีเดียวกัน ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น มีหน้าที่ ความรับผิดชอบที่จะต้องสอดส่องดูแลคน ในสังกัด ไม่ให้ทำตัวเป็นอาชญากร ตำรวจ ทหารเลวๆนั้น มีไม่กี่คน ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง เพราะผู้มีหน้าที่ปกครองชอบอ้างว่า เป็นเรื่องส่วนตัว ด้วยเหตุนี้เอง เราจีงมีเสธ ฯ มีผู้ทรงคุณวุฒิ ฯ ผู้ชำนาญการและผู้ที่ประจำใน กอ.รมน.ที่มีงานจ๊อบคุมที่จอดรถตามสถานบันเทิง รับจ้างทวงหนี้ รับจ้างฆ่า ฯลฯ อยู่เต็มไปหมดในกองทัพ

วันแรกที่เลือดจากศีรษะด้านขวาของสนธิ ลิ้มทองกุลอาบใบหน้าและลำตัวทำให้หลายคนแทบไม่เชื่อตาตัวเองว่าเขารอดชีวิตได้จากห่ากระสุนนับร้อยนัด สนธิถูกยิงและถูกส่งตัวไปรักษาตัว สนธิได้ถามพล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชาว่า “ผมไว้ใจคุณได้หรือเปล่าเนี่ย?” 3 เดือนเศษนับจากวันลอบสังหารการลอบสังหารนายสนธิที่พระสยามเทวาธิราชมีจริง ภารกิจรบนอกแบบของคนมีสีของนักรบหมวกแดงไม่สำเร็จและการรัฐประหารก็ไม่เกิด คนที่ทำเช่นนี้ได้ต้องมีอิทธิพลและเครือข่ายทั้งตำรวจและทหารอย่างกว้างขวาง จึงสามารถทำภารกิจอัปยศ 3 ประการได้
ประการแรก มีอำนาจและอิทธิพลถึงขั้นสั่งใช้กำลังที่ร่วมมือกันระหว่างทหารและตำรวจ ซึ่งรวมถึงการตัดกล้องวงจรปิดล่วงหน้าในบริเวณที่เกิดเหตุ การใช้อาวุธสงคราม และใช้กระสุนที่มาจากกองทัพบก
ประการที่สอง ใช้อาวุธสงครามทั้งปืนกลและระเบิดใจกลางพระนครรุมยิงถล่มเพื่อสังหารสนธิ ลิ้มทองกุลได้ทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงการประกาศใช้พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งมีทหารเฝ้าตามจุดต่างๆ บริเวณจุดเกิดเหตุ และจุดที่รถปฏิบัติการลอบสังหาร แต่ก็ปล่อยให้หลบหนีไปได้
ประการที่สาม มีอิทธิพลสามารถแทรกแซง ข่มขู่ คุกคาม ชุดพนักงานสืบสวนคลี่คลายคดีลอบสังหารนายสนธิได้ จนถึงขั้นทำให้คดีเดินหน้าไปอย่างยากลำบากและมีอุปสรรคมาก เต็มไปด้วยไส้ศึกและหนอนบ่อนไส้ แม้ว่าจะมีตำรวจระดับ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้กำกับดูแลคดีนี้แล้วก็ตาม
ภารกิจอัปยศ 3 ประการข้างต้น ไม่มีทางที่จะหลงเชื่อได้ว่าเป็นฝีมือเพียงแค่นายทหารยศพันเอกคนหนึ่ง นอกเสียจากว่าจะมีใบสั่งจากผู้ที่มีอำนาจในปัจจุบันเท่านั้น คนเหล่านี้น่าที่จะอยากเห็นการกำจัดคนรู้เท่าทันอย่างสนธิ ลิ้มทองกุลและน่าจะอยากให้ ASTV จอดับ เพื่อให้การตรวจสอบของภาคประชาชนอ่อนแอลงและเมื่อมีประชาชนไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรฯ หรือเป็นพันธมิตรฯ ปลอมออกมาชุมนุมหลังการลอบสังหารสนธิก็อาจจะมีมือที่สามสร้างสถานการณ์จลาจลทำให้เกิดการวุ่นวายและอ้างเหตุนำไปสู่การรัฐประหารในที่สุด

เมื่อผลประโยชน์ลงตัวความยุติธรรมกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันลืม ถ้าสมมติว่ามีการรัฐประหารจากเหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็จะถือโอกาสกำจัดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกไป หลังจากเพิ่งจับกุมแกนนำคนเสื้อแดงได้ในเวลานั้นและคิดฝันว่าจะสามารถเข้าสู่อำนาจรัฐใหม่โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้นหรือเรียกให้เข้าใจให้ง่ายก็คือแผน จับกุมแดงและกำจัดเหลือง โดยมีฉากหน้าที่ดูเหมือนมีประโยชน์ที่ร่วมกันได้ทั้งกลุ่มอำนาจใหม่ และกลุ่มอำนาจเก่า ส่วนจะวางแผนเพื่อเจรจาตกลงกันจริงๆ ใครจะหักหลังใคร หรือใครหลอกใช้ใครเป็นเรื่องอนาคตที่ไม่สามารถที่จะพิสูจน์กันได้ในวันนี้!

ความคืบหน้าในการสางคดียิงสนธิที่ลึกเข้าไปเรื่อยๆบอกกับสังคมได้ว่าภารกิจครั้งนี้ไม่ใช่การรับจ๊อบแต่เป็นภารกิจลับที่นายสั่งให้ทำ เอาแค่ตัวละครเพียงสามสี่ตัวนี้ก็คงพอจะมองเห็นเค้าลางๆว่าใครคือไอ้โม่งที่สั่งฆ่าสนธิ ผู้ต้องสงสัยเป็นทหารจากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษที่เป็นหน่วยรบหัวกะทิมีบุคลากรได้รับการฝึกฝนเป็นกรณีพิเศษให้มีความชำนาญในการรบนอกแบบเพื่อปฏิบัติภารกิจที่มีความสำคัญยิ่งที่ไม่อาจใช้การรบแบบปกติได้ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดาผู้บัญชาการทหารบกและพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมย่อมไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบไม่รู้ไม่เห็นได้ตามสายงาน แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้บัญชาการทหารบก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดกันเป็นเสียงเดียวว่าเป็นเรื่องส่วนตัวว่ากันไปตามกระบวนการกฎหมายทั้งๆที่คนเหล่านี้ยังรับราชการกินเงินเดือนที่มาจากภาษีของประชาชน อาวูธและกระสุนที่ใช้ยิงสนธิก็เป็นของหลวง มีการพกพาอาวุธสงครามไปตามท้องถนนเพื่อฆ่าผู้บริสุทธิ์แถมอ้างสิทธิของความเป็นตำรวจ ทหาร เวลานี้ทีมสืบสวนคดีดังกล่าวรู้ตัวผู้บงการใหญ่หมดแล้วเหลือเพียงหาหลักฐานเชื่อมโยงเท่านั้นเพราะทุกขั้นตอนการทำงานต้องรัดกุมที่สุดเพื่อจะมัดตัวคนบงการที่ได้สั่งยิงคนขวางทางสู่อำนาจมืดและล้างแค้นให้สายโลหิตจนดิ้นไม่หลุด

การออกตัวของนายทหารตลอดจนนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งถูกนำมาพัวพันกับคดีอื้อฉาวนี้ ในทำนองไม่รู้ไม่เห็นไม่เกี่ยวข้อง ไม่เคยสั่งการ ไม่เคยแทรกแซง นอกจากจะกลับกลายเป็นละครฉากใหญ่ที่ประจานความไม่ชอบมาพากลของกระบวนการยุติธรรมไทยแล้ว ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ตอกย้ำชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัยว่าอำนาจในมือของผู้คนในกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแบบสีกากีหรือสีเขียว หากตกไปอยู่ในมือคนที่ปราศจากหัวใจแห่งความยุติธรรม ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ เคารพในบทบัญญัติของกฎหมายแล้ว สังคมแห่งความยุติธรรมย่อมเป็นแค่ลมปากที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริงได้ ... ท่านขุนน้อย ไทยโพสต์ 21 กค. 52

ส.ต.อ.วรวุฒิ มุ่งสันติผบ.หมู่ศูนย์การข่าวบช.ปส. ช่วยราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขณะนี้ต้นสังกัดของส.ต.ท. วรวุฒิมีคำสั่งให้ส.ต.ท. วรวุฒิออกจากราชการด้วยเหตุผลว่าขาดราชการเกิน 15 วัน นอกจากที่ส.ต.อ.วรวุฒิจะได้ตอบแทนบุญคุณของนายจะเกลียดสนธิและเอเอสทีวีเข้าไส้ส.ต.อ.วรวุฒิยังมีสายสัมพันธ์อันดีกับบิ๊กดีเอสไอหลายคนเคยรับใช้บิ๊ก ตร.ที่เคยกำกับดูแลบช.ปส.มาก่อน ทั้งยังมีสัมพันธ์ที่แนบแน่นราวกับญาติสายโลหิตกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส.ต.อ.วรวุฒิ มุ่งสันติเคยทำอะไรอยู่ในชุมชนคลองเตย จับพลัดจับผลูมาอยู่ในเอไอเอส แล้วทำไมไม่ต้องสอบเข้ารับราชการแถมยังได้มาช่วยราชการที่ดีเอสไอได้

จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหราเป็นทหารในสังกัดกรมรบพิเศษที่ 3 ต.เขาสามยอด จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นหน่วยลูกของกองพลรบพิเศษที่ 1 แต่ถูกเรียกตัวไปช่วยราชการที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งขณะนั้นถูกเรียกตัวไปช่วยงานพล.อ.เชษฐา ฐานะจาโรอดีตรมว.กลาโหมให้ไปทำงานในกอ.รมน.

พ.อ.ส.ผู้นี้คือ พ.อ. สุนัย ประภูชะเนย์นักรบหมวกแดงผู้ช่ำชองการรบนอกแบบจากศูนย์สงครามพิเศษที่ปัจจุบันเป็นหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำรองเสนาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าและเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 21 รุ่นเดียวกับพ.ต.อ. ทวี สอดส่องอธิบดีกรมสอบสวนพิเศษคนตัดตอนคดีซุกหุ้นเอสซี แอสเส็ทโดยดีเอสไปสั่งไม่ฟ้องทักษิณ ชินวัตรเป็นผลงานชิ้นแรกและชิ้นเดียวทันที่ที่เข้ามารับตำแหน่งอธิบดีกรมนี้ในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรราชย์ พ.อ.ส.เป็นหัวหน้าผู้ที่รับผิดชอบคุมทีมและวางแผนลอบสังหารสนธิจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การไขปริศนาตัวจอมบงการ พ.อ.ส.ผู้นี้ยังไม่ตกเป็นเป้าสงสัยจนถึงขั้นที่จะออกหมายจับได้ พ.อ.ส.ได้ใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อกันถี่ยิบกับบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายคนหลังเหตุการณ์ยิงสนธิโดยบุคคลปลายทางที่รับสายมีทั้ง พ.ต.อ./พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง น้องสาวคนหนึ่งของผู้นำกลุ่มอำนาจเก่า บุคคลผู้หนึ่งที่หลบซ่อนตัวอยู่ที่นครดูไบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และที่สำคัญคือบิ๊กสีเขียวผู้หนึ่งที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในรัฐบาลชุดนี้เพื่อรายงานผลลอบสังหาร

น.ส.รัศมี เมฆชัยแคดดีเก่าที่ผันตัวมาเป็นผู้พับร่มประจำหน่วยรบหมวกแดงเป็นผู้ที่มีสัมพันธ์ลึกส่วนตัวกับพ.อ.ส.นั้นเป็นเจ้าของรถกะบะวีโก้เป็นรถ 1 ใน 2คันที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะในปฏิบัติการ

พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโรอดีตผู้บัญชาการทหารบกซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานไม้กฤษณาจันทบุรี-ตราดที่ชุดคลี่คลายคดีบุกเข้าตรวจค้นเพื่อหาตัวจ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหราสังกัดศูนย์สงครามพิเศษอดีตพลขับของท่านเชษฐาหนึ่งในมือปืนที่ถูกออกหมายจับได้ออกมากล่าวยืนยันว่ารู้จักพ.อ.สุนัย ประภูชะเนหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำรองเสนาธิการ กอ.รมน.ภาค.4 เพียงผิวเผิน

พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ คำชำนาญ ผกก.6 รน.สุราษฎร์ธานีซึ่งถูก พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ยืมตัวมาช่วยในการคลี่คลายคดี ได้ถูก พล.ต.อ.พัชรวาท เรียกกลับต้นสังกัดไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดีนี้อีก พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ มีความเชี่ยวชาญพิเศษในการแกะรอยโทรศัพท์ที่จะเชื่อมโยงไปสู่การจ้างวาน และการวางแผนของทีมลอบสังหาร ทำให้คดีก้าวหน้าไปได้มาก แม้พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญจะถูกพล.ต.อ.พัชรวาทสั่งการให้หยุดทำหน้าที่ในชุดคลี่คลายคดีแต่ พ.ต.อ.วิวัตน์ ก็ไม่ได้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่พอใจจึงได้มีคำสั่งส่งตัว พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ คืนสังกัดเดิม ต่อมาเมื่อนายอภิสิทธิ์ทราบเรื่องก็ได้สั่งให้พล.ต.อ.พัชรวาทเรียกตัวพ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในชุดคลี่คลายคดีทันที เป็นบทพิสูจน์นายกอภิสิทธิ์อีกครั้งว่าเป็นคนดีจริง ๆ และกล้าด้วยที่กล้าสั่งผบ.ตร.แบบนั้น

ในปฎิบัติล่าสังหารสนธินั้นพ.อ.ส.ใช้ให้ส.ต.อ.วรวุฒิ มุ่งสันติผู้ต้องหาตามหมายจับเป็นคนไปซื้อโทรศัพท์มือถือ 6 เครื่องเพื่อนำมาใช้ในงานนี้ เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายของทีมสังหารซึ่งตำรวจสอบสวนพบว่าเบอร์โทร.หลักที่มีการโทร.เข้า-โทร.ออกกับทีมฆ่าล้วนมาจากเบอร์ของพ.อ.ส.ทั้งสิ้น ส.ต.อ.วรวุฒิ มุ่งสันติ, จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหราและทีมล่าสังหารวิ่งรถผ่านหน้ากล้องวงจรปิด CCTV ที่กล่าวอ้างกันว่าเสียแต่ไม่เสียจริงทำให้ยืนยันได้ว่าเป็นใช้รถของรัศมี เมฆชัยเป็นหนึ่งในพาหนะพาทีมสังหารไปลงมือจึงได้เสนอออกหมายจับจ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา ตามแผนเดิมกล้อง 5-6 ตัวในบริเวณนั้นต้องถูกส.ต.อ.วรวุฒิ มุ่งสันติตัดสายแต่หนึ่งในผู้บงการต้องการดูผลการลงมือสดๆจึงปล่อยกล้องไว้ 1 ตัวเพื่อให้ติดตามดูได้ทั้งเหยื่อและผลโดยไม่เฉลียวใจว่าการดูภาพจากกล้องต้องไปที่ศูนย์ควบคุมแถมยังกลับมาเป็นหลักฐานมัดตัวเสียอีก บรรดาผู้ต้องหาหากยังไม่มอบตัวโปรดระวังรังสีอำมหิตจากกลุ่มอำนาจใหม่ตัดตอนพวกคุณด้วย ฉะนั้นอย่าปล่อยให้หัวตอชั่วๆได้ลอยนวลโดยไม่แยแสพวกคุณ

บังเอิญอย่างยิ่งว่าคุณชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัยแอบไปได้ยินเรื่องการเมืองสารขันมา ลองไปดูกันที่ นี่

จากผลการสืบสวนสอบสวนเชิงลึกของพล.ต.อ.ธานีและอาจจะรวมถึงข้อมูลที่นายกฯอภิสิทธิ์มีอยู่ทำให้เชื่อว่าขบวนการที่วางแผนหมายลอบสังหารนายสนธิครั้งนี้เป็นขบวนการที่ใหญ่และทรงอิทธิพลมาก โดยคาดว่าขบวนการที่อยู่เบื้องหลังเป็นการลงขันร่วมมือกันระหว่างกลุ่มอำนาจใหม่และกลุ่มอำนาจเก่าที่ต้องการโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามอันเป็นเสี้ยนหนามเพื่อสร้างอำนาจรัฐใหม่หรือเพื่อกิน % จาก 76000 ล้านที่เคยถูกนำมาคาดสินบนเอาไว้ โดยบุคคลที่เป็นระดับนำของขบวนการมีทั้งบิ๊กสีเขียว บิ๊กสีกากี และบิ๊กนักการเมือง โดยเฉพาะ พล.อ.บิ๊กโม่งซึ่งรับหน้าที่บงการแผนสังหารสนธิในครั้งนี้อาจจะนั่งอยู่ในทำเนียบรัฐบาลก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นการสางคดีเพื่อสาวให้ถึงจอมบงการอาจจะต้องเดิมพันด้วยความอยู่รอดของรัฐบาลเลยทีเดียว

กลิ่นอายของความผิดปกติในการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีหลายครั้งและการทำลายการประชุมอาเซียน พร้อมๆ กับกระแสข่าวลือแพร่สะพัดว่ามีความพยายามที่จะรัฐประหาร แต่ไม่สำเร็จจึงเกิดการกลับลำในช่วงสงกรานต์ดับแดงที่ผ่านมา แล้วจึงตามมาด้วยการวางแผนยิงถล่มเพื่อสังหารสนธิ ลิ้มทองกุลในระหว่างการประกาศพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อหวังที่จะรัฐประหารให้ได้อีกครั้ง การณ์ก็กลับกลายเป็นปมร้อนขึ้นมาได้อีกหนึ่งคดีที่กำลังไล่ล่ากลุ่มอำนาจใหม่หนักมากขึ้นหลายเท่าทวีคูณ แรงต้านจากกลุ่มอำนาจใหม่นี้ก็ยังปรากฏให้เห็นอยู่ ทั้งการออกหมายเรียกผู้ที่ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ด้วยข้อหาการก่อการร้ายตามมาด้วยความพยายามฉุดรั้งคดีตำรวจฆ่าประชาชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ในทุกรูปแบบ ทั้งการเอื้อประโยชน์ให้กับลูกหลานคน ป.ป.ช. การคุกคามคณะกรรมการ ป.ป.ช. และการเจรจานอกรอบในหลายระดับ รวมถึงการขัดขวางทุกรูปแบบในการสอบสวนและจับกุมผู้ต้องหาในคดีลอบสังหารสนธิ


ที่มา
http://202.57.155.203/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000082112
http://www.naewna.com/news.asp?ID=171205
http://www.thaipost.net/news/220709/8121
http://202.57.155.203/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000082480
http://202.57.155.203/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000082144
http://www.naewna.com/news.asp?ID=171093
http://202.57.155.203/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000082208
http://202.57.155.203/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000081578