20 ธันวาคม 2551

เบอร์

คุณสนธิ...คุณมีสิทธิอะไรมาทำลายความฝันของผม?
โดย : แก้วสรร อติโพธิ
เมื่อ : 12/12/2008 12:09 AM 10 ธันวาคม 2551
บ้านคลองขวาง


เมื่อคืนผมเข้านอนกว่าเที่ยงคืนลูกชาย 2 คนพร้อมหลานชาย อีก 3 กำลังช่วยกัน ทำ ป้ายชูหาเสียงใช้เวลาเดินแจกบัตร ผมเข้านอนด้วยรอยยิ้ม..ชื่นใจที่แม้ไม่มีเงินจ้างใครก็มีความรักความร่วมมือของพี่น้องลูกหลานเพื่อนฝูงที่เชื่อว่าผมและขวัญจะสามารถทำงานให้บ้านเมืองได้และน่าจะได้รับความไว้วางใจจากคนกรุงเทพ รุ่งเช้าโทรศัพท์จากเพื่อนอาจารย์รามคำแหงรายงานมาเป็นครั้งที่
2 ว่าแกนนำพันธมิตรในรามคำแหงยังคงเคลื่อนไหวสั่งการไปยังข่ายสีเหลืองในกรุงเทพฯ อย่าเลือกแก้วสรร!! เพราะคุณเห็นว่าผมเปลี่ยนไปแล้วและไปคบกับคนฉวยโอกาสเช่นแอ๊ด คาราบาว ผมปิดโทรศัพท์..มองเหม่อไปเห็นลูกชายยังทำงานไม่ได้นอนทั้งที่ไม่ค่อยสบาย..น้ำตาผมเอ่อ..ผมอยากมองไปในดวงตาของคุณแล้วถามคุณว่า..คุณมีสิทธิอะไรมาทำลายความฝันของผมพี่น้องพรรคพวกและลูกหลานอย่างนี้คุณเห็นใครดีก็บอกไปสิครับว่าให้เลือกประชาธิปัตย์เพราะทีมปชป. เขามี คุณ ประพันธ์ คูณมีเป็นว่าที่รองผู้ว่าฯบอกไปเลยครับไม่ต้องเกรงใจ คุณสนธิ...ทำไมคุณต้องสร้างและใช้การเมืองภาคประชาชนบนความเกลียดชังอย่างนี้ด้วย ใครเกลียด แอ๊ด คาราบาวก็ขอให้เกลียดแก้วสรรด้วยเพราะมันไปคบ แอ๊ดนี่หรือคือการเมืองใหม่ของคุณ! ด้วยพลังของความเกลียดชัง คุณและพวกที่สมคบกันจะยอมให้พลังประชาชนชนะผู้ว่า กทม.ไม่ได้ แก้วสรรจะมาสมัครแข่งกับประชาธิปัตย์จนตัดเสียงพันธมิตรกันเองอย่างนี้ไม่ได้ต้องทำลายมันในฐานะที่มันเปลี่ยนไปมันเป็นเช่นนักรบที่ไถลไปเด็ดดอกไม้ข้างทาง เมื่อมันเซ่อไปคบแอ๊ด คาราบาวเราก็ต้องป้ายร้ายมันทันทีว่า ทรยศ..ไปเสียแล้ว! คุณสนธิ...คุณเห็นคุณอภิสิทธิ์กอดกับเนวินจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลแล้วคุณว่าเขาทรยศไหม? คุณต้องตอบว่าไม่เพราะมิได้เป็นพวกกันมาก่อนและที่เรียก กันว่าพันธมิตรเพื่อประชาธิปัตย์นั้นเป็นการป้ายร้าย

ถ้าคุณตอบอย่างนี้ผมก็ขอถามคุณว่าแล้วผมเป็นสาวกคุณแต่เมื่อใด? จริงอยู่ผมเคยร่วมเคลื่อนไหวขึ้นเวทีพันธมิตรเป็นวิทยากรและออกหนังสือ "หยุดระบอบทักษิณ" แต่ผมก็ทำด้วยอิสระร่วมคิดอ่านกับพี่น้องในครอบครัวเท่านั้นมิได้ขึ้นตรงต่อผู้ใดหน้าไหนทั้งสิ้นรวมทั้งคุณด้วย ผมรับเป็น คตส.ลุยคดียึดทรัพย์ตั้งแต่พันธมิตรฯยังไม่ตั้งขบวนเสียด้วยซ้ำและก็ตรวจสอบไต่สวนไปตามหลักฐานไม่ใช่ด้วยความจงเกลียดจงชังทักษิณเหมือนคุณ คุณสนธิ...ผมกับลูกและพวกมีสิทธิไหมครับที่จะฝันจะสร้างการเมืองแห่งความรักแห่งความร่วมมือมุ่งมั่นขึ้นมาเพื่อเยียวยาแก้ไขบ้านเมือง พอกันทีกับพรรคการเมืองแบบเก่าและความแตกแยกเป็นเหลืองเป็นแดงผมลงสมัครอิสระ อิสระจากนายทุนอุดหนุน อิสระจากความเกลียดชัง ด้วยมุ่งมั่นฝันว่ากรุงเทพจะได้การเมืองที่ทำงานได้เป็นเมืองแรกแล้วขยายต่อไปยังถิ่นต่างๆโดยไม่ต้องปฏิรูปรัฐธรรมนูญหรือใช้สภา 70:30 เหมือนที่เสนอมาตามวิชารัฐศาสตร์เชิงคณิตศาสตร์ของคุณ คงป่วยการที่ผมจะชวนคุณร่วมเดินทางในแนวความคิดนี้เพราะคุณอ่อนแอเจ็บป่วยเกินไปในทางจิตใจ แน่นอน..คุณก็มีสิทธิที่จะคิดเห็นว่าผมเป็นอย่างไรก็ได้เหมือนกันแต่สิทธิที่จะกระทำถึงขั้นอาศัยความเป็นหัวหน้าขบวนการเปล่งบัญชาสั่งการ กำหนดให้ใครดีเลวเอาตามที่คุณเห็นแล้วสั่งกำลังพันธมิตรให้ร่วมกันใช้กฎหมู่ ทำลายอิสระของผม ทำลายทางเลือกของคนกรุงเทพนั้น ผมว่ามันทำให้คุณกลายเป็นทักษิณฯ 2 ไปเสียแล้ว มันน่าเศร้าจริงๆที่บ้านเมืองของผมและลูกต้องพังเพราะมีคนอย่างคุณกับทักษิณแย่งกันเป็นเผด็จการจนชิบหายอย่างทุกวันนี้ จดหมายนี้...ผมเชื่อว่าคงไม่ได้รับการตอบโต้อะไรจากคุณผ่านทางสื่อใดๆเพราะการเมืองแห่งความเกลียดชังได้ทำให้คุณโดดเดี่ยวตนเองโดยสมบูรณ์แล้วฝากความรักความระลึกถึงเพื่อนพี่น้องในพันธมิตรทั้งหลายด้วย หากผีแห่งความเกลียดชังที่สิงอยู่ออกจากตัวคุณเมื่อใด..เราคงได้กอดคอร่วมงานกันอีก

... แก้วสรร อติโพธิ


ข้อความข้างบนเป็นเสียงครวญจากอาจารย์แก้วสรร อติโพธิ

อาจารย์แก้วสรรที่แสดง "จุดยืน" และ "จุดขาย" ที่ชัดเจน เป็นของตัวเองอย่างนี้อาจะมองว่าเป็นข้อได้เปรียบได้ระบุในอีกหลายๆกรรมหลายๆวาระเกี่ยวกับเรื่องสาเหตุที่อาจารย์แก้วสรร อติโพธิได้แอ๊ด มาช่วยงานเพราะเป็นญาติกันและแม้จะมีเสียงไม่พอใจในตัวของแอ๊ด คาราบาว แต่ทั้งอาจารย์และแอ๊ดก็ยังยืนยันจะทำงานร่วมกันอยู่ ส่วนกระแสว่าแอ๊ดเป็นพวกเดียวกับทักษิณนั้นใครจะชอบหรือไม่ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล หากม.ร.ว สุขุมพันธุ์มีทีมงานเป็นคุณประพันธ์ คูณมีอดีตสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ที่เก่งกฎหมายก็ให้เปิดตัวจะได้รู้ว่ามีคนเก่งทำงานด้วยจะได้รู้ว่านายสนธิส่งตัวมาให้

วันก่อนคุยกันเพื่อนว่าคราวนี้จะเลือกอาจารย์แก้วสรรเพราะ ม.ร.ว สุขุมพันธ์ดูหน่อมแน้มเกินไป อาจารย์แก้วสรรก็ต้องไม่ลืมว่าเรื่องคุณประพันธ์กับหม่อมสุขุมพันธ์นั้นก็คงเห็นเรื่องส่วนตัวเช่นกัน และนอกจากนั้นแอ๊ดก็ยังพูดจากระทบกระแทกพันธมิตรก่อนที่อาจารย์แก้วสรรเปิดตัวสมัครผู้ว่าฯกทม.ไ ม่กี่วัน นอกเหนือจากที่พันธมิตรส่วนใหญ่เห็นธาตุแท้ของแอ๊ดบาวคนนี้ว่าไม่ได้ยืนข้างประชาชนเหมือนเพลงที่แต่ง แล้วก็คงต้องไม่ลืมว่าแอ๊ดไม่เคยมีอุดมการณ์อะไรในหัวเลยถ้าแอ๊ดคิดเป็นคงไม่เลียเฉลิมทางช่อง 9 เพียงเพื่อขอวันตีไก่เพิ่ม

อาจารย์คงมั่นใจตัวเองว่าคะแนนได้หรือคิดอาศัยเสียงเด็กช่างกลฯ ถึงได้ชวนเจ้าของบ่อนไก่กับน้ำเชื่อมใส่ขวดขายมาเป็นทีมทำงาน พันธมิตรได้ตัวช่วยแล้วหลังจากกังวลเสียงแตกหนึ่งเสียงของที่ลังเลบัดนี้ตัดสินใจแล้วเบอร์ 2

19 ธันวาคม 2551

บททดสอบสำคัญ

พ.ศ.2551 เป็นช่วงปีที่ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตการเมืองที่รุนแรงมากอีกครั้งหนึ่งผนวกกับวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฉุดให้โลกต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยที่พึ่งการส่งออกไปสหรัฐฯ และบรรยากาศการลงทุนเสียไปเพราะปัญหาการเมือง เรามีหลายๆปัญหาหลายๆเงื่อนไขการเมืองถูกขจัดไปด้วยหลักนิติธรรมทำให้พันธมิตรยุติการเคลื่อนไหวแต่กลุ่มสนับสนุนระบอบทักษิณคือตัวทักษิณเองและนปช.ก็คงยังหาเหตุสร้างเงื่อนไขสนองความต้องการของทักษิณซึ่งในกลุ่ม นปช.เองก็ประกอบด้วยกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยและหนึ่งในนั้นเป็นพวกอนาธิปไตยคตินิยมหรือกลุ่มซ้ายในซ้ายของอดีตพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่พยายามจะสร้างความสับสนวุ่นวายจนให้ถึงขั้นกลียุคเป็นสงครามกลางเมืองย่อยระหว่างคนไทยสองกลุ่มพันธมิตรและนปช.เป็นการกดดันทหารเพื่อให้ทหารเข้ามาแก้ไขก็จะทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลงทันที และทหารก็กลับเป็นจำเลยสังคมอีกวาระ อย่างไรก็ดีการจัดตั้งรัฐบาลที่ย่ำแย่ไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ความมืดสุดๆ ความชั่วสุดๆ ความเลวทรามต่ำช้าสุดๆ ความทุกข์เข็ญลำเค็ญสุดๆ เกิดขึ้นมาแล้วสองสมัย ประชาธิปัติย์และคุณอภิสิทธิ์เป็นทางเลือกที่นุ่มนวลที่สุดเวลานี้ดังนั้นทหารที่ไม่อยากปฏิวัติเลยต้องเลือกที่จะหนุนประชาธิปัติย์โดยมีอุบายเอาเนวินมาเป็นพวกเพื่อสยบการเคลื่อนไหวของเสื้อแดง พวกกลุ่มเสื้อแดงนี้หวังจะให้เกิดภาวะอนาธิปไตยและจะทำการล้มล้างสถาบันซึ่งกำหนดชี้ขาดให้สังคมไทยเป็น “ทุนนิยมกึ่งเมืองขึ้นที่ศักดินาดำรงอยู่” ในขณะที่ทักษิณต้องการสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นมา ก่อให้เกิดความยากจนข้นแค้น โกลาหล วุ่วาย หาคนสั่วๆมาบริหารประเทศเพื่อที่จะให้กลุ่มคนที่ยังได้ข่าวสารที่ถูกบิดเบือนมาเรียกร้องกับมาสนับสนุนการกลับมาของเขา โดยกลุ่มซ้ายในซ้ายในสมัยนั้นต้องการให้มีการปลดแอกประเทศเป็นกึ่งเมืองขึ้นและให้มีการนำเข้ากำลังต่างชาติเข้าร่วมงานและขจัดศักดินาที่คอยขวางทางทั้งนี้ก็เพราะเป็นเงื่อนไขที่คนพวกนี้จะได้สนับสนุนทุนนิยมได้เต็มที่ ความสำเร็จของนโยบาย 66/2523 ประชาชนได้ออกจากป่าใช้ชีวิตปกติ ทำให้กลุ่มซ้ายในซ้ายขาดกำลังทำให้พวกมันต้องออกจากป่ามาด้วยแต่ยังคงมีความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง พวกมันพยายามจะวร้างสงครามกลางเมืองเพื่อให้พวกมันสามารถล้มล้างระบบศักดินาได้สำเร็จ เงื่อนไขสำคัญที่รัฐบาลนอมินีทั้งสองชุดที่ทักษิณจัดตั้งคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ซึ่งนักการเมืองหลายคนที่ฉ้อฉล ขี้โกง ไม่ชอบ และจะทำให้ทักษิณรอดพ้นจากคดีทุจริตคดโกงแผ่นดินและกล้ากลับมาบ้านเกิดได้

การต่อสู้ของพวกเราพันธมิตร การเสียชีวิต เสียเลือดเนื้อ เสียอวัยวะของพี่น้องของเรา เราไม่คิดว่าสูญเปล่าเพราะเราได้จุดไฟของความตื่นตัวซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง มีความตื่นตัวอย่างผู้รู้ ของประชาชนจำนวนมากที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เราเป็นมวลชนที่ตืนแล้วและสว่างจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นพรรคการเมืองแต่จะดำรงเป็นเครือข่ายอยู่ตลอดและพร้อมตรวจสอบและจัดการเฉพาะกิจ-เฉพาะคนได้ตลอดเวลา เราตื่นตัวอยู่ตลอดและมีความสำนึกทางการเมืองสูงขึ้น เราต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดอยากให้ประชาธิปัติย์คิดว่าจะต้องทำหน้าที่ในสภาในฐานะนักการเมืองที่ต้องทำงานให้ประชาชนและประเทศชาติ..ถึงแม้ประชาธิปัติย์ที่ถือว่าเป็นพรรคการเมืองดีที่สุดขณะนี้เข้ามาบริหารเราก็จะใช้การเมืองภาคประชาชน ตรวจสอบต่อไป.. ให้โอกาส ให้ความร่วมมือ แต่ตรวจสอบอย่างเข้มข้นและสร้างสรรค์ ด้วยเอกลักษณ์ของคนไทยอย่างไรก็ต้องบอกว่า ให้โอกาสเขาก่อน ให้เขาลองผิดลองถูก คนดีเอาคนชั่วมีคดีอาญามาร่วมวงมามีอำนาจด้วยกันมันไม่น่าจะเป็นไปได้ดี แค่เริ่มต้นเนวินขอคุมคมนาคมและมหาดไทยเท่านี้ก็ดูภาพออกได้แล้วว่าคนพวกนี้ต้องการอะไร วันเวลาไม่ได้ช่วยให้คนชั่วโดยสันดานหายชั่วได้แน่นอน กระทั่งนายชวน หลีกภัยประธานสภาที่ปรึกษาพรรคได้แสดงความไม่พอใจรายชื่อตัวแทนของกลุ่มทุนบางคนซึ่งพรรคก็มีคนวางตัวได้อยู่ เพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลเทพเทือกยอมทุกอย่างแม้แต่การไม่รับเป็น รมว.มหาดไทยเพื่อให้จัดสรรเก้าอี้ได้ตามโควตของพรรคการเมืองต่างๆจนดูเหมือนประชาธิปัติย์จะไร้อำนาจต่อรองอยู่ในสภาพตกเป็นเบี้ยล่าง นักการเมืองทั้งหลายได้ลองผิดลองถูกอยู่เรื่อย ๆ เป็นเวลา 76 ปีแล้วประเทศนี้และครั้งนี้ก็เช่นกันเรายังจะต้องให้พวกเขาได้ลองกันต่อไปแต่หากประชาธิปัตย์เล่นละครตบตาประชาชนอย่ากลัวเลยว่าเขาจะจับไม่ได้ พรรคประชาธิปัติย์นี้ก็แปลกเช่นเวลาไปอี๋อ๋อกับทหารกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรแต่กลับมากลัวจะถูกครหาว่าใกล้ชิดพันธมิตรแถมแสดงท่าทีจะกีดกันนักการต่างประเทศชั้นนำของพรรคเช่น อดีตทูตวอชิงตัน กษิต ภิรมย์ และ ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ทั้งประชาธิปัติย์และอภิสิทธิ์จะต้องกล้าตอบตนเองว่าถ้าไม่มีพันธมิตรทางประชาธิปัตย์จะมีวันได้ตั้งรัฐบาลหรือ หากประชาธิปัติย์จะอยากเป็นนายกรัฐมนตรีในระบบเก่าๆน้ำเน่าเดิมๆ ประชาธิปัติย์ก็สามารถเลือกเดินตามความคิดเดิมๆ ของแก๊งนักเลือกตั้งที่มีอยู่แล้วในพรรคพร้อมกับการหนุนช่วยของเนวินก็ไม่เป็นไร ประชาชนก็คงไม่มีทางเลือกต้องแสวงหาหนทางออกจากวังวนนี้ใหม่ต่อไป แม้กระทั่งทางสภาหอการค้าที่อภิสิทธิ์ไปเยี่ยมก็บอกว่าเห็นโผ ครม. แล้วรู้สึกผิดหวังอย่างตรงไปตรงมา ประชาธิปัตย์จึงยังไม่ควรจะดีอกดีใจออกนอกหน้าเมื่อได้โอกาสเป็นรัฐบาลต้องมีสามัญสำนึกให้เหมาะสมกับกาลเทศะอะไรที่ต้องรีบแก้ไขก็ให้รีบทำเพื่อสร้างความเชื่อถือเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นได้โดยเร็วที่สุดเช่นสะสางกระบวนการความไม่ชอบมาพากลในรัฐบาลชุดก่อน ทั้งเรื่องการทำเอฟทีเอกับต่างประเทศที่ทำให้ไทยเสียประโยชน์หรือแม้แต่เดินหน้าชี้แจงให้ต่างประเทศเข้าใจในการกระทำต่างของทักษิณ ในสถานการณ์เช่นนี้มีทางเลือกให้ประชาธิปัติย์แค่ 2 ทางเท่านั้นคืออยู่กับคำอวยพรหรือคำสาปแช่งการจัดตั้งครั้งนี้จะได้รับบททดสอบสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์อย่างสำคัญ

17 ธันวาคม 2551

สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราก็มิใช่เป็นเพียงแต่สัญลักษณ์หากแต่มีความหมายเพื่อคนทั้งประเทศ

สัจธรรมทางการเมืองที่ว่า สำหรับนักการเมืองแล้วไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรมีแต่ผลประโยชน์เท่านั้น เมื่อข่าวปรากฏออกมาว่าทางพรรคประชาธิปัตย์ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อนเนวิน จึงทำให้คอการเมืองประหลาดใจ ยิ่งภาพที่อภิสิทธิ์จับมือกับเนวินด้วยแล้วยิ่งเพิ่มความฉงนสนเท่ห์มากยิ่งขึ้น แค่นี้ก็เรียกเสียงโห่ เสียงตำหนิจากกองเชียร์และมีแนวโน้มจะเป็นเป้าของก้อนอิฐจากทั้งฝ่ายเสื้อแดง และ เสื้อเหลืองบางส่วน ในการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้แรงกดดันรอบด้านท่ามกลาง“วิ่งยื้อยุดฉุดกระชาก-แก่งแย่ง” พร้อมกับ “กลยุทธ์ทุ่มซื้อตัวส.ส.” อย่างเข้มข้นรุนแรงมากยิ่ง การแบ่งโควตารัฐมนตรีให้แก่พรรคและกลุ่มการเมืองที่มาเข้าร่วมเป็นรัฐบาลอาจจะเป็นแรงกระเพื่อมถ้าจัดสรรไม่ลงตัวเป็นระยะๆตั้งแต่แรกไปเรื่อยๆตามประสา"คน" และประชาธิปัตย์จะเป็นหนี้บุญคุณของพรรคและกลุ่มการเมือง ถ้าสามารถบริหารจัดการประเทศได้ดีในทุกแง่มุมโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองก็จะเป็นโอกาส แต่ถ้าตรงกันข้ามก็เป็นวิกฤตในทันทีเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต การลุกฮือเล็ก ๆของ ‘เสื้อแดงไร้หัว’ ที่หน้ารัฐสภาฯ เมื่อลงคะแนนเลือกนายกฯ คนที่ 27 เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม การที่ต้องเข้ามาบริหารประเทศชาติของรัฐบาลใหม่เป็นทุกขลาภอย่างมากกับ “วิกฤตเศรษฐกิจ” ทั้งจาก “ภายนอก” และ “ภายใน” เอง รัฐบาลจะต้องฟื้นฟู สร้างความเชื่อมั่น กอบกู้ภาพลักษณ์ พร้อมทั้งกำหนดมาตรการต่างๆ ในการตั้งรับกับ “พายุเศรษฐกิจ” ที่ถึงขั้นถดถอย และทรุดในที่สุด

แทบจะในทันทีที่มีการพลิกขั้วทางการเมืองได้เกิดปรากฏการณ์ของข้าราชการเปลี่ยนสีแบบฉับพลันอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการบางส่วนได้เริ่มปฏิบัติตามข้อเรียกร้องบางส่วนของพันธมิตรฯ ฉ. 29/2551 เมื่อ 12 ธค. 51 มีการเริ่มปฏิบัติตามข้อเรียกร้องโดยที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่ทันจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีเลยด้วยซ้ำไป!
- - - วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ในช่วงเวลาประมาณ 12.00 น. แกนนำพันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 29/2551 มีข้อเรียกร้องให้ปลดข้าราชการหลายคนที่รับใช้ระบอบทักษิณ รวมถึงอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมเสนอให้ถอดรายการความจริงวันนี้ และปฏิรูปสื่อทั้งระบบ
- - - ช่วงเย็นวันเดียวกัน นายสุริยงค์ หุณฑสาร รักษาการผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง11) ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าได้ถอดรายการความจริงวันนี้ออกแล้วและได้จัดรายการอื่นมาแทนเพราะมีประโยชน์มากกว่า ทั้งๆ ที่รายการความจริงวันนี้เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลที่ทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม โดยไม่มีใครทำอะไรได้ มา 6 เดือนกว่า
- - - วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551 นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้เปิดเผยว่า ได้มีหนังสืออย่างเป็นทางการถึงบรรณาธิการนิตรสาร ดิ อิโคโนมิสต์กรมสารนิเทศ เพื่อประท้วงเนื้อหาในนิตยสารดังกล่าวฉบับวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ภายหลังจากที่สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีได้ออกอากาศการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ของนิตยสารดังกล่าวในเช้าวันเดียวกัน
- - - วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 กระทรวงการต่างประเทศได้ยกเลิกหนังสือเดินทางทูตของทักษิณแล้วและเตรียมส่งให้กฤษฎีกาตีความต่อในกรณียกเลิกหนังสือเดินทางอื่นๆ ของทักษิณซึ่งเป็นตามข้อเรียกร้องส่วนหนึ่งในแถลงการณ์พันธมิตรฯ ฉบับที่ 29/2551 ลงวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551 และเป็นไปตามที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ ได้มีหนังสือทวงถามและขอให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่ของตัวเองในการเพิกถอนหนังสือเดินทางทุกประเภทของทักษิณเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สิ่งที่ข้าราชการควรจะทำได้และไม่ได้ทำนั้นมีอยู่มากมายในเวลาที่นักการเมืองในระบอบทักษิณปกครองประเทศ และในเวลาที่เกิดสุญญากาศหรือการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง เป็นที่น่ายินดีว่าข้าราชการเหล่านี้ก็สามารถปรับเปลี่ยนท่าทีต่อระบอบทักษิณได้อย่างรวดเร็วสมรภูมิอำนาจรัฐ ได้พลิกขั้วทางการเมืองแล้ว ข้าราชการเริ่มเปลี่ยนสีฉับพลัน หลังจากนี้อีกไม่นานข้าราชการที่เป็นทาสรับใช้ระบอบทักษิณก็จะต้องเตรียมถูกโยกย้าย และถูกลงโทษไปเป็นจำนวนมาก สื่อต่างๆเองก็กำลังเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนโดยฉับพลัน ทั้งทางโทรทัศน์และวิทยุของรัฐ นักวิชาการที่อิงแอบสนับสนุนระบอบทักษิณจำนวนมากถูกจับได้ไล่ทันและกำลังหมดความชอบธรรมลงเรื่อยๆ

1) ในทางการเมือง Change! Change! Change! ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงเราคนไทยพวกเสื้อสีใดก็ตามก็ต้องยอมรับ หากจะแข็งขืนก็จะเป็นการปฏิเสธในสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้แต่สิ่งสำคัญของการเปลี่ยนแปลงก็คือพวกเราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด เราประชาชนคงต้องการ “การเมืองใหม่” เพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลง เนื้อหาของการเมืองใหม่คือการที่ประเทศไทยต้องการแก้ไขปัญหาธุรกิจการเมืองให้ลดน้อยหรือหมดไปจากระบบการเมืองนั่นเอง เราล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอดหลังการใช้การปกครองระบอบนี้ระบบประชาธิปไตยทุนนิยมที่ใช้เงินซื้อทุกอย่างแม้กระทั่งจิตวิญญาณของผู้คนก็เอาทุกอย่างเป็นแค่สัญลักษณ์ เป็นพัฒนาชาติด้วยความอยุติธรรมทำลายระบบคุณค่าของคุณธรรมและความหมายดั้งเดิมที่บรรพบุรุษของพวกเราได้เคยยึดถือกันมาช้านานจนหมดสิ้นด้วยระบบทุน-หนะ-ทำ เราต้องยอมรับว่า “ความสกปรก” ของการเมืองไทยที่ผ่านมา เกิดจาก “เงิน-ทุน” แทบทั้งหมด นักการเมืองเลวบางคนบางกลุ่มที่หวังกอบโกยเพื่อประโยชน์สุขของตนเองและพวกพ้องมากกว่าชาติและประชาชนเป็นวงจรอุบาทว์ โดยมีเราประชาชนที่ไม่สามารถดำเนินการใดๆได้แต่ประการใด นอกจากนั่งมองตาปริบๆดูพวกนักการเมืองปู้ยี่ปู้ยำประเทศชาติจนบอบช้ำ ซ้ำเติมเราจนจมดิน เราชอกช้ำกับ “ปัญหาธุรกิจการเมือง” มาช้านานจนบางคนซึมซับยอบรับว่าทุจริตประพฤติมิชอบ และ พวกมากลากไป! เป็นเรื่องปรกติไปเสียได้ ระบบการเมืองที่เย้ายวนใจเพราะสามารถที่จะแสวงหาผลประโยชน์ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำไม่ต้องกังวลกับการผิดกฎหมายเพราะตนเองเป็นผู้ออกกฎหมายจะผิดได้อย่างไรโดยเผด็จการรัฐสภาทักษิณจึงเป็นรูปแบบที่เป็นรูปธรรมที่ประเทศไทยเผชิญในช่วงที่ทักษิณเรืองอำนาจและได้กลายมาเป็นต้นเหตุของวิกฤตปัญหาบ้านเมืองมาจนถึงปัจจุบัน สื่อสารมวลชนจึงเป็นเงื่อนไขที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาธุรกิจการเมืองเพราะข้อมูลที่ได้รับจะมีผลต่อการตัดสินใจของคน การปฏิรูปสื่อให้มีวิจารณญาณจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพราะความเป็นกลางมิได้หมายความว่าจะต้องมีเวลาหรือเนื้อข่าวเท่ากันและลอยตัวออกจากประเด็นปัญหาหากแต่ต้องเสนอในสาเหตุของปัญหามิใช่เอาแต่ผลมานำเสนอเช่นการเสนอข่าวความเสียหายจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิจึงเป็นตัวอย่างที่ดีว่าสื่อส่วนใหญ่ในขณะนี้มีวิจารณญาณมากน้อยเพียงใด ทำไมจึงมีคนจำนวนมาก ยอมไปตากแดด นอนบนพื้นถนนแทนที่จะนอนอยู่กับบ้าน ใครเป็นคนสั่ง “ปิด” สนามบิน ทำไมจึงต้อง “ปิด” การเดินทางผู้โดยสารขาเข้าและขาออกทั้งที่มีเครื่องบินบินอยู่บนอากาศ และทำไมต้อง “ปิด” การขนส่งสินค้าทั้งขาเข้าและขาออก ทำไม “ไม่เปิด” สนามบินที่ใกล้เคียงเป็นสนามบินสำรองในทันที ใครเคยอ่านพบคำตอบจากคำถามข้างต้นจากสื่อส่วนใหญ่ที่จอมปลอมเหล่านั้นบ้าง?

2) ในด้านเศรษฐกิจ การถดถอยในเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆจากปัญหาการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้กู้ต่ำกว่ามาตรฐานอาจส่งผลกระทบในระยะสั้นให้กับประเทศไทย เศรษฐกิจไทยมีปัญหาที่ได้เริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดทำให้ชะลอตัวบ้าง ครั้งนี้เรารู้ตัวล่วงหน้าแต่สำคัญว่าจะรับมืออย่างไร การเปลี่ยนแปลงของเราน่าจะหาคนที่เป็น “คนดี” มาร่วมงานได้ง่ายมากขึ้น ในระยะสั้นเราก็ควรจะหยุดคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญสักครู่แล้วหันมาสนใจเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลักก่อนจะดีไหม สิ่งที่น่าจะจัดทำเป็นวาระของประเทศเพื่อการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวเป็นอย่างเป็นรูปธรรม สังคมไทย ณ วันนี้มาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะเดินไปในทิศทางใดแต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมเราจะมี ทุน ปืน และเจ้าที่สามารถเดินเคียงคู่กันไปสู่ความสำเร็จและเราจะสลายขบวนการ “ล้มทุน ล้มปืน ล้มเจ้า”
ที่เป็นต้นตอของปัญหาอันเนื่องมาจากระบอบทักษิณได้

3) ในทางสังคมการใช้ความรุนแรงจากระบอบทักษิณจะต้องเผชิญหน้ากับอำนาจรัฐ ทหาร ตำรวจ และอำนาจสื่อที่เปลี่ยนมือ
ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าระบอบทักษิณกำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จะต้องรับใช้โอกาสนี้ขย่มวิกฤตระบอบทักษิณให้พังทลายสำเร็จ

รัฐบาลชุดใหม่ต้องไม่ลืมว่าได้เข้าสู่อำนาจเพราะมีประชาชนที่เสียสละชุมนุมมานานถึง 193 วัน ด้วยความอดทน มุ่งมั่น สละกำลังทรัพย์ แรงกาย แรงใจ แม้กระทั่งสูญเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก จนทำให้เกิดการยุบพรรคและเปลี่ยนขั้วทางการเมือง หลังจากนี้ประเทศไทยเริ่มเคลื่อนตัวออกจากระบอบทักษิณหลังจากที่หยุดจมปลักมากว่า 7 ปี และอาจเป็นการผ่านเลยไปโดยไม่มีวันหวนกลับมาอีกลาก่อนทักษิณและยินดีต้อนรับอภิสิทธิ์ เราได้เดินทางมาไกลในแบบไทยๆผสมผสานระหว่างประชาธิปไตย ทุน และสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแบบฉบับของเราเอง คำว่าประชาธิปไตยต้องมีจิตสำนึกมิใช่มีแต่เพียงการอ้างสัญลักษณ์บางอย่าง เช่น การเลือกตั้งไม่ได้บอกว่าเรามีประชาธิปไตยแล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราก็มิใช่เป็นเพียงแต่สัญลักษณ์หากแต่มีความหมายเพื่อคนทั้งประเทศอย่างที่นักวิชาการบางส่วนที่สายตาคับแคบที่ไม่รู้ดีรู้ชั่วหรือจากสื่อต่างประเทศที่อาจไม่เข้าใจ แต่ถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยังไม่ตระหนักถึงปัญหาวิกฤตของบ้านเมือง ไม่สนใจข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ไม่ปฏิรูปสื่อ ไม่ปฏิรูปรัฐตำรวจแล้ว ก็อย่าไปหวังว่าจะไปสร้างการเมืองใหม่ได้เลย แม้แต่วิกฤตที่รออยู่ข้างหน้าก็จะข้ามผ่านไปไม่ได้อย่างแน่นอน

15 ธันวาคม 2551

ทั้งนักวิชาการ สื่อไทยและสื่อเทศ, อีเพ็ญ, และทาสระบอบทักษิณตนอื่นๆรวมทั้งทักษิณ

พวกเราชาวไทยทุกคนก็จะบอกกันว่ารักในหลวง อยากจะถามต่อว่าแล้วคนที่บอกว่ารักพระองค์ท่านนั้น เคยคิดหรือคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์ท่านหรือไม่ หรือเคยคำนึงถึงพระราชดำริของพระองค์ท่านบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะบุคคลที่ทำงานทางด้านการเมืองทุกคน ได้คิดกันหรือไม่ว่าพระองค์จะทรงรู้สึกเช่นไรกับปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ ประชาชนของพระองค์บาดเจ็บ ล้มตายไปมากมาย เกิดความแตกแยก เพียงเพราะคน ๆ เดียว การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เห็นผลดีที่สุดนั้นคือการปกครองที่มีผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนคนส่วนใหญ่ของสังคม ไม่ใช่ว่าประชาธิปไตยทำให้คนมีเสรีภาพจะทำอะไรก็ได้ตามใจเป็นไทยแท้และก็เพียงแค่หยอดบัตรเลือกตั้งแล้วก็แล้วกันพ้นคูหาเลือกตั้งก็จบ

ในเมื่อให้นักการเมืองแบบพังประชาชนมีโอกาสมาบริหารประเทศ 2 ครั้งแล้วแต่กลับไม่ได้มีนโยบายอะไรที่ช่วยเหลือประชาชนเลยซักนิดเดียว เอาคนที่หย่อนสมรรถภาพมาดำรงตำแหน่ง มีแต่จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้คนคอรัปชั่นพ้นผิด ฆ่าคนเป็นผักปลา ปากเขาพร่ำรักในหลวงเพียงลมแต่ในใจคิดทำลายราชบัลลังก์ตลอดเวลา เป็นถึงสส.ฝ่ายรัฐบาลแต่กลับเป็นแกนนำเสื้อแดงระดมคนมาดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์แต่อ้างว่ามาชุมนุมเพื่ประชาธิปไตย ในเมื่อให้โอกาสมา 2 ครั้งแล้ว คงไม่มีครั้งที่ 3 อีกต่อไป เล่นเอาเงินภาษีของคนไทยไปแจกให้คนเหนือ คนอีสานมาตลอดจนรากหญ้าใน 2 ภาคนี้จนเสียผู้เสียคนไปแล้ว ให้โอกาสคนอื่นได้แล้วทั้งที่เค้ายังไม่เคยทำผลงานก็กลับไปต่อต้านเค้าไม่ลองให้เค้าได้พิสูจน์ฝีมือนี่หรอน้ำใจคนไทย มาบอกว่าเพื่อไทยเป็นหัวใจของคนอีสาน แล้วคนภาคอื่นจะทิ้งไว้ไหน มาบอกให้เลือกตั้งใหม่ ยอมรับเลยว่าสู้เพื่อไทยที่มีนักโทษหนีคุกสองสามคนบงการอยู่ไม่ได้เพราะอะไรก็น่าจะรู้ดี เล่นเอาเงินงบประมาณไปซื้อเสียง ส่วนมากเป็นภาคไหน ก็เหนือ อีสานไงหัดใจกว้างกันบ้าง คนที่เค้าไม่มีจะกินจะตายอยู่แล้วเห็นใจคนอื่นบ้าง ถ้าเค้าไม่ดีก็เปลี่ยนใหม่ อย่ามาต่อต้านแบบถูกจูงจมูกเลย พวกเสื้อแดงสำเหนียกตัวได้แล้ว

นักวิชาการเสื้อแดงอย่าง
o นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
o นางผาสุก พงษ์ไพจิตรอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
o นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
o นายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
o และคนอื่นๆ อีกมากมายหยันรัฐบาลมาร์ค 1 จะไร้เสถียรภาพ-โทษ รัฐธรรมนูญ50 ต้นตอปัญหาสับ “อภิชน” ทวนเข็มนาฬิกา ทำการเมืองอ่อนแอ แนะแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิกมาตราที่เป็นอำมาตยธิปไตยปกครองโดยอภิชน

นักวิชาการจะต้องอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองอย่างมีมิติ ลุ่มลึก รอบด้าน ไตร่ตรองโดยอาศัยหลักคุณธรรม เชื่อมโยงเหตุปัจจัยต่างๆ เพื่อเกิดความเข้าใจมากขึ้นต่อเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ และข้อประพฤติปฏิบัติของสังคมอันเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด นักวิชาการทั้งหลายโปรดไตร่ตรองว่าท่านคิดท่านพูดเพื่อประเทศชาติหรือเพื่อตัวท่านเอง ถ้าผู้ใดยังจะแสดงความคิดเห็นให้สังคมไทยแตกแยกต่อไปกรุณาช่วยถอดหัวโขนทางตำแหน่ง ทางวิชาการออกให้หมด หากพูดโดยไม่มองพื้นฐานของประเทศไทยในวันนี้เป็นการวิจารณ์ที่ไม่อยู่บนจุดอ้างอิงที่มีเหตุผลน่าเชื่อถือ รังแต่จะทำให้คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์หลงเชื่อถือ และไม่มีหน้าที่ชี้นำคนพวกนั้นถึงแม้ว่าโดยหลักวิชาจะสามารถทำให้เชื่อหรือมองเห็นได้เช่นนั้น

พวกนักวิชาการหลายๆคนไม่เคยเห็นประเด็นศึกษาว่าในประเทศไทยนี้มีอะไรที่ควรจะกำหนดให้เป็นประเด็นศึกษาบ้าง และ ไม่ได้คำนึงถึงพันธกิจแท้ที่มีต่อสังคมที่ตนเองเกิดและดำรงอยู่ ไม่เอาสถาบันกษัตริย์ กำลังต้องการแก้รัฐธรรมนูญในหมวดพระราชอำนาจ โดยต้องการลดพระราชอำนาจ มุ่งหมายเพียงทำลายอะไรที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามระบอบทักษิณ หรือ ที่ทำให้ระบอบทักษิณเสียประโยชน์ นักวิชาการสีเทาพวกนี้ไม่เคยแตะพ่อเหนือหัวทักษิณเลย จะให้เราเคาะราคาให้คนพวกนี้ใด้อย่างไรเราควรจะลองให้พวกนี้ทิ้งเรื่องรัฐธรรมนูญ ปี 50 เอาไว้ก่อนแล้วมาพูดถึง “เพ็ญ” ปากดีเหน็บพันธมิตรฯ รับจ้าง “คนอยู่เหนือ”, คดีดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ต่อบุคคลที่รับใช้ระบอบทักษิณอย่างนายจักรภพ เพ็ญแข หรือนายวีระ มุสิกพงศ์ เว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุชุมชนที่เหิมเกริมอย่างหนักตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา, ทักษิณที่จาบจ้วงพระองค์ท่าน ด้วยวาจาอย่าง มือที่มองไม่เห็น ชนชั้นสูง ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ศาล ด้วยการกระทำ อย่างการโฟนอิน ทักษิณที่ขายชาติยกอธิปไตยชายแดนไทยให้เขมรและน้ำมัน ทักษิณที่หนีภาษีและหนีคดี เงินที่ทักษิณไปซื้อ แมนซิ แอมเพอริช กับ วินมาร์ค ดีกว่าเอาเท้าราน้ำ นักวิชาการอย่างนี้อย่างที่ขาดคุณธรรมจริยธรรมหรืออย่างที่มีแต่ในจิตสำนึกมีแต่น้ำเงินสกปรกจากทรราช ที่กำลังทำตัวมือไม่พายเอาเท้าราน้ำนั้นก็ไม่ควรได้รับความไว้วางใจจากสังคมอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกท่านยังคงประสานเสียงตรงกันว่า "เรารักทักษิณ เพราะเงินของทักษิณสอนให้เรารักระบอบทักษิณและไม่เอาประชาชน".. เสียงจากนักวิชาการเหล่านี้เป็นเสียงกับท่วงทำนองเดียวกันกับที่สื่อต่างๆนำเสนอ ทั้ง สื่อไทยและสื่อเทศ, อีเพ็ญ, และทาสระบอบทักษิณตนอื่นๆรวมทั้งทักษิณเองด้วย

การต่อต้านแบบสุดโต่งของนักวิชาการเหล่านี้เริ่มตั้งแต่การวิพากษ์วิจารณ์การบอยคอตของฝ่ายค้านที่ไม่ส่งคนลงเลือกตั้งก่อนทรท.ถูกยุบ / การออกมารณรงค์ให้คนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 50 และ สนับสนุนให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ 50 อืนๆอีกมากมาย นักวิชาการเหล่านี้เชื่อว่าต้นตอปัญหาคือรัฐธรรมนูญ50 ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันผ่านการลงประชามติโดยเสียงส่วนใหญ่แต่ก็บอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตย พิลึกจริงๆ คนทำผิดดันโทษ รัฐธรรมนูญ ปัญหาอยู่ที่คนต่างหาก ถ้ายังมีนักการเมืองไทยที่โกงกิน ชั่วชาติส่วนมากทำผิดกฎหมายแล้วบอกรัฐธรรมนูญไม่ถูกอย่างนั้นอย่างนี้ก็แก้ให้ฆ่าคนแล้วถูกกฎหมายเลย รัฐธรรมนูญฉบับไหนๆก็ใช้ไม่ได้นักวิชาการเหล่านี้คงจะต้องเขียนรัฐธรรมนูญเองกระมังจึงจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด

หลังมติโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ผ่านไป โดยผู้ถูกเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เอาชนะ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ตัวแทนจากฝั่งกลุ่มอำนาจเดิมไปด้วยคะแนน 235 ต่อ 198 เสียงท่ามกลางความคาดหวังของภาคเอกชน และประชาชนต่อการ ‘เปลี่ยน’ ครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดทั้งชีวิตส่วนตัว และการบริหารงานในตำแหน่งผู้นำรัฐบาล หลังจากดูงานและเห็นตัวอย่างในวงการเมืองในฐานะผู้นำฝ่ายค้านมานาน หากระบอบทักษิณยังมีความพยายามเฮือกสุดท้าย หรือ หากนักการเมืองทั้งคณะหรือบางส่วนยังดันทุรังสักแต่จะเป็นรัฐมนตรีเพื่อเกียรติประวัติของวงศ์ตระกูล เข้ามาถอนทุนกอบโกย ปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจ ถึงเวลานั้น นายอภิสิทธิ์คงตอบได้เองว่า เมื่อตนเป็นนายกฯ แล้วบ้านเมืองจะดีขึ้นหรือไม่?