ข้าวเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต ให้พลังงานที่สำคัญแก่ร่างกาย ข้าวมีคุณค่าทางยา บางคนกล่าวอ้างว่าข้าวจ้าวเป็นข้าวของชนชั้นเจ้า ส่วนข้าวเหนียวเป็นอาหารของชนชั้นไพร่ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วนั้นข้าวมิใช่เครื่องหมายแบ่งชนชั้นเพราะคำว่าจ้าวหรือจ่าวในภาษาถิ่นหมายถึงหุงด้วยน้ำ ข้าวจ้าวคือข้าวที่ต้องหุงด้วยน้ำ ส่วนข้าวเหนียวคือข้าวที่นึ่งสุกแล้วจับตัวกันแน่นบางท้องที่เรียกว่าข้าวนี้ว่าข้าวนึ่ง เมืองไทยนั้นมีอารยธรรมการปลูกข้าวรุ่นแรกๆ ของโลกก็บ้านเรานั้นเป็นเขตมรสุม พื้นที่ราบมีน้ำอุดมสมบูรณ์ คนไทยรู้จักพัฒนาพันธุ์ข้าวมาตั้งแต่อดีตและสนใจในเรื่องการปลูก อีกทั้งยังยกย่องในเรื่องข้าวมาก คนไทยเรามีการประกอบพิธีต่างๆมากมายเกี่ยวกับข้าว คนไทยเรียกชื่อข้าวว่าพระแม่โพสพ ต่อมาจึ่งมีพันธุ์ข้าวมากที่สุด มีเป็นหลายร้อยหลายพันธุ์และข้าวไทยมีชื่อหลายร้อยชนิดซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยเรายกย่องข้าวมากมาย
สำหรับคนไทยข้าวมิใช่มีความหมายเพียงอาหารหรือใช้เป็นยาเท่านั้นแต่ข้าวยังเป็นวัฒนธรรมและประเพณีของคนไทยมาตั้งแต่โบราณอย่าง ข้าวต้มปัดหรือข้าวปัด คือข้าวเหนียวต้มที่ห่อด้วยใบมะพร้าวหรือใบเตยใช้ถวายพระภิกษุในเทศกาลออกพรรษา ข้าวทิพย์หรือข้าวกระยาทิพย์ เป็นข้าวที่ปรุงด้วยเครื่องกวนประกอบด้วยน้ำผึ้ง น้ำนม ถั่วงา นิยมทำในพิธีสารท ข้าวบิณฑ์เป็นข้าวสุกในกรวยทำด้วยใบตองสำหรับการเซ่นสรวงบูชา ข้าวประดับดินเป็นข้าวที่นำไปบูชาพระธาตุเจดีย์เซ่นต้นโพธิ์ สถูป หรือเจดีย์ในเดือนเก้า ข้าวผอกกระบอกน้ำเป็นข้าวที่ใช้ไหว้ผีบ้านผีเรือนมักใส่ภาชนะหรือผูกห่อไว้ที่บันไดในวันตรุษต่างๆ ข้าวพระคนไทยใช้เรียกข้าวที่เตรียมถวายพระพุทธรูปหรือเรียกว่าข้าวถวายพระพุทธ ข้าวเภาเป็นข้าวที่คลุกด้วยสีเหลือง สีแดงแล้วปั้นเป็นก้อนๆ ใช้ในพิธีรับช้างเผือกของพราหมณ์ ข้าวแม่ซื้อข้าวพวกนี้เป็นข้าวสุกปากหม้อนำมาปั้นเป็นก้อนๆ และชุบสีเหลือง ขาว แดง ดำ ใช้ในการรักษาเด็กๆ ที่ตัวร้อนไม่สบายบ่อยๆในพิธีทิ้งข้าวแม่ซื้อมาใช้รับขวัญเด็กโดยนำข้าวแม่ซื้อจำนวน 4 ชิ้นๆ ละ 1 สี มาวนรอบตัวเด็ก ข้าวเปรตเป็นข้าวที่ใช้เซ่นเปรตในพิธีสารทเป็นต้น คัดจากบทความของคุณประทีป ชุมพลเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2553
ข้าวหอมมะลิหรือ Jasmine Rice ที่ทั่วโลกต้องยกย่องว่าเป็นข้าวดีที่สุดในโลกและได้รับนิยมไปทั่วโลก ไทยจึงได้จดสิทธิบัตรแต่ก็มีผู้ลักลอบนำไปอ้างอิงทั้งๆที่เป็นของปลอม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรับสั่งตลอดเวลาเรื่องการดูแลพันธุ์ข้าวไทยรวมถึงการหวงแหนทรัพยากรการผลิตอาหาร ทั้งที่ดินทำกิน
และชาวนาไทย โดยทรงพัฒนาพันธุ์ปลูกข้าวในแปลงทดลองส่วนพระองค์และการจดสิทธิบัตรนวัตกรรมเพื่อเป็นต้นแบบให้คนไทยตระหนัก เมื่อพระองค์ทรงรับสั่ง 1 ครั้งรัฐบาลก็ตื่นตัวแก้ปัญหา 1 ครั้ง รัฐบาลไม่เคยมีเรื่องความจริงจังในการแก้ปัญหามาแต่ไหนแต่ไร อย่างตอนนี้สหรัฐฯก็กำลังพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมมะลิ JAZZMEN ที่ต่อยอดมาจากพันธุ์ข้าวหอมดอกมะลิ 105 ของไทย ยิ่งไปกว่านั้นคูเวตยังสนับสนุนงบประมาณการปลูกข้าวในกัมพูชาเพื่อมาเทียบชั้นกับข้าวไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงอุทิศพระวรกายในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาพันธุ์ข้าวและการผลิตข้าวไทยมาโดยตลอด
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ค้นพบยีนที่ควบคุมความหอมในข้าวที่เรียกว่า Os2AP และสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าแห่งสหรัฐอเมริกาได้ออกสิทธิบัตรให้แล้วเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2551 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิชในขณะนั้นจึงได้ถวายเหรียญสดุดีพระเกียรติคุณและกราบบังคมทูลรายงานเกี่ยวกับสิทธิบัตรยีนที่ควบคุมความหอมในข้าว ในพระราชวโรกาสนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ได้ทรงมีพระราชดำรัสขอบใจและทรงระบุว่าสิทธิบัตรที่ได้นี้จะเป็นหลักประกันว่า ข้าวไทยเป็นของไทยแท้ เรากินข้าวไทยและจะได้กินข้าวไทยต่อไป และหวังว่าทุกคนจะรักษาความเป็นไทยได้ด้วยการกินข้าวไทย พระองค์ทรงมีความภูมิใจที่ได้กินข้าวไทย
ในทุกยุคสมัยราคาไข่เป็นดัชนีชี้วัดภาวะข้าวยากหมากแพง ไข่ขึ้น-ลงจึงย่อมมีนัยสำคัญต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลอย่างหนีไม่พ้น ในสมัยม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ปี 19 ไข่คุณชายไซส์ใหญ่ฟองละ 1.50 บาทแพงกว่าค่ารถเมล์ 75 สตางค์ก็ถูกชาวบ้านค่อนแคะแล้ว น้ำมันแพงที่สุดยุคหนึ่งในสมัยพล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ปี 22 ไข่เกรียงศักดิ์ใบใหญ่สุดฟองละ 1.60 บาท ไข่ป๋าเปรมปี 24 ฟองละ 1.26 บาทผ่านไป 6 ปีไข่ท่านใบใหญ่ขึ้นราคาไปอีก 30 สตางค์ ต่อมาได้ไข่น้าชาติ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณในปี 33 โหดกว่าใครไข่แกเบอร์ 0 ฟองละ 1.90-2.00 บาท ที่สำคัญไข่น้าชาติไม่ทันได้แพงอยู่นานเพราะน้าชาติสั่งให้กระทรวงพาณิชย์ขายไข่แบบชั่งกิโลฯขึ้นเป็นครั้งแรกร่วมกับชมรมเลี้ยงไก่ไข่แปดริ้วและสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ไข่ท่านอานันท์ ปันยารชุนถูกอย่างเหลือเชื่อฟองละ 1 บาท ในปี 36 ไข่คุณชวนหลีกภัยย่านไหนราคาหนึ่ง ส่วนอีกย่านก็อีกราคาหนึ่งตั้งแต่ 1.65-2.70 บาท ไข่ไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่อย่างตักขี้แพงมหาโหดลบสถิติไข่คุณชวนก็แหมไข่ไก่เบอร์ 0 ฟองละ 2.62 บาทครั้นไข่เป็นหวัดนกก็ตกวูบไปแล้วชูกลับมาใหม่หลุดโลกไปเลยทะลุ 3 บาทเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เล่นไปฟองละ 3.20 บาท ไข่บิ๊กแอ๊ดพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์เบอร์ 0 ราคาฟองละ 3 บาทไข่สมัครก็ 3 บาทเช่นกัน แต่ไข่มาร์คแพงหูฉี่ ไข่ไก่ในยุคนายกฯอภิสิทธิ์ทำสถิติแพงที่สุดไปแร้ว เพราะวันนี้ไข่ไก่ได้ขยับขึ้นมาที่ฟองละ 3.30 บาทแล้วจนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้าทั้งผู้ค้าและผู้บริโภค จริงหรือที่อธิบดีกรมการค้าภายในอ้างต่อสังคมว่าต้นเหตุเกิดจากวิกฤตภัยแล้ง สภาพอากาศร้อน มีปัญหาขาดแคลนน้ำทำให้ไข่ไก่มีปริมาณลดลงร้อยละ 20 ในปีนี้
เมื่อกลางปี 45 เกิดปัญหาไข่ตกแตกเอ้ยราคาไข่ไก่ลดลงอย่างมาก 10 กว่าปีก่อน ไข่ไก่มีมากไปราคาก็ไข่ถูก จนกรมปศุสัตว์ได้โอกาสใช้เป็นข้ออ้างกำหนดแนวทางในการควบคุมปริมาณการเลี้ยงไก่ไข่ทั้งประเทศ ถึงขั้นตั้งคณะกรรมการกำหนดแนวทางการผลิตและการตลาดไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ในปีต่อมาโดยมีจิ๋กโก๋บุรีรัมย์แห่งซอยรางน้ำครำเป็นรมช.ในยุคที่ไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่ครองเมืองด้วยข้ออ้างสวยหรูในการแก้ปัญหาไก่ไข่ทั้งระบบ ให้มันรู้ไว้ว่าฉายายี้ห้อยร้อยยี่สิบไม่ใช่ได้มาโดยโชคช่วย กาลต่อมาจึงกลายเป็นการผูกขาดของทุนใหญ่ 9 รายมาจนถึงทุกวันนี้ สรุปง่ายๆได้ความว่าจากนโยบายรัฐที่เข้าไปแทรกแซงควบคุมปริมาณการเลี้ยงไก่ไข่จนกลายเป็นการสมรู้ร่วมคิดระหว่างข้าราชการและทุนใหญ่ทำให้เกิดการผูกขาดทำลายเกษตรกรรายย่อยจนพินาศย่อยยับถึงขั้นหมดอาชีพไปก็มี นอกเหนือไปจากการเปิดการค้าเสรีหรือเอฟทีเอที่เคยบรรลุข้อตกลงกันกับจีน ออสเตรเลียและอื่นๆในยุคที่ไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่ครองเมืองเช่นกัน เห็นชัดเจนว่าผักและผลไม้จีนทะลักเข้ามาบ้านเราถาโถมมาจนกระทั่งสินค้าไทยที่มีราคาแพงกว่าถูกตีตลาดกระเจิงไปและเกษตรกรก็เดือดร้อนอย่างหนัก
คณะกรรมการนโยบายไข่ไก่แห่งชาติเป็นผู้พิจารณากำหนดสัดส่วนปริมาณการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ให้ทั้งประเทศปันส่วนให้ผู้ได้รับโควต้าการผลิต 9 ราย เมื่อมีการผูกขาดโดยทุนใหญ่ เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ทั้งประเทศก็ล้มระเนระนาด ทุนใหญ่สามารถทำธุรกิจเกี่ยวกับไก่ไข่ครบวงจรตั้งแต่การเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์ ผลิตลูกไก่ไข่ เลี้ยงไก่สาวจำหน่ายและเลี้ยงไก่ไข่เองไปจนถึงมีธุรกิจต่อเนื่องในการจำหน่ายและแปรรูปไข่ไก่ เกษตรกรรายย่อยทั่วไปจึงถูกย่อยถูกบีบทุกทางจนต้องตกเป็นเบี้ยล่างทุนนิยมสามานย์นั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในที่สุด เกษตรกรที่ต้องการซื้อลูกไก่จากรายไหนใน 9 รายนั้นก็จะต้องซื้ออาหารสัตว์ของบริษัทใน 9 รายนั้นด้วย อันเป็นการผูกขาดก่อให้เกิดการกระจายพันธุ์สัตว์อย่างไม่เป็นธรรม ทำลายอาชีพการเลี้ยงไก่สาวของเกษตรกรที่มีอยู่เดิม ภายใต้สภาวะการณ์แข่งขันที่ไม่เป็นธรรมเพราะทุนการผลิตไข่ไก่ของเกษตรกรทั่วไปจะสูงกว่าของบริษัทประมาณ 30 สตางค์ จากการควบคุมปริมาณการผลิตให้ต่ำกว่าปริมาณความต้องการอยู่ตลอดเวลาสามารถบริหารจัดการได้ง่ายๆ กำหนดราคาได้เองตามความต้องการ บีบเกษตรกรอิสระให้มีต้นทุนสูงขึ้นจนขาดทุน+สูญเสียตลาด+เลิกกิจการหมดอาชีพไป ผลที่ตามมากระทบถึงผู้บริโภคโดยตรงทำให้ราคาไข่ไก่คละปัจจุบันหน้าฟาร์มฟองละ 2.80 บาทผู้บริโภคก็ต้องซื้อไข่ไก่ในราคาแพงโดยไม่เกี่ยวข้องกับต้นทุน ภัยแล้งหรืออากาศร้อนตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด เพราะอย่างไรๆคนไทยทั้งประเทศก็ต้องซื้อไข่ราคาแพงกำหนดได้ตลอดไป พออยากให้ราคาไข่ไก่ตกก็นำไข่ไก่ที่ซุกไว้ในห้องเย็นออกมาตีตลาด เมื่อไข่ไก่ล้นตลาดราคาก็จะตกลง แต่ถ้าต้องการให้ไข่ไก่ราคาสูงก็เก็บไข่ไปซุกไว้ในห้องเย็น ไข่ไก่ก็ขาดตลาด ข้ออ้างที่ว่าไข่ไก่แพงมาจากสภาพอากาศที่ร้อนระอุจนไก่เครียดก็มั่ว โรงเรือนปิดก็ควบคุมอุณหภูมิได้แล้วไง ราคาไข่ไก่ย่อมมิอาจสะท้อนถึงต้นทุนการผลิตลูกไก่ไข่และไก่สาวได้ ผู้ผลิตลูกไก่ไข่หรือไก่สาวฉวยโอกาสที่ราคาไข่ไก่แพง ปรับราคาลูกไก่ไข่หรือไก่สาว ผลักภาระต้นทุนการผลิตมาให้กับผุ้เลี้ยงไก่เสียดื้อๆก็มี
ทุนใหญ่ที่ใช้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจอันลึกซึ้งและแนบแน่นกับทั้งอำนาจรัฐและข้าราชการเข้ามาทำลายระบบการเกษตรของไทยอย่างน่ากลัว นี่เป็นภัยเงียบที่คนส่วนใหญ่ของสังคมไม่ได้ให้ความสนใจ คณะกรรมการนโยบายไข่ไก่แห่งชาติประกอบด้วยตัวแทนจากภาคราชการ ผู้ทรงคุณวุฒิ องค์กรอิสระ ภาคเอกชน และ ผู้แทนเกษตรกร จริงๆแล้วตัวบุคคลที่เข้าไปล้วนแต่เป็นตัวแทนของกลุ่มทุนแทบทั้งสิ้น กรรมการชุดนี้ประกอบด้วยรมว.เกษตรฯ เป็นประธาน ปลัดกระทรวงเกษตรฯ อธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ผอ.สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ มีอธิบดีกรมปศุสัตว์เป็นกรรมการและเลขานุการ มีผู้ทรงคุณวุฒิอีก 4 คนคือณรงค์ เจียมใจบรรจง วิชัย เตชะวัฒนานันท์ มนูญ สุคนพาทิพย์และสุพัฒน์ ธนะพิงค์พงษ์ รู้กันในวงการเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ว่ามีเพียงสุพัฒน์เท่านั้นที่ไม่ได้เป็นคนคุ้นเคยซีพี ตัวแทนองค์กรอิสระที่มีอยู่ 2 คนก็มีบริษัทเอกชนส่งมาทั้งสิ้นทั้งนายกสัตวแพทยสมาคมที่ส่งประกวดโดยซีพีและนายกสมาคมสัตวบาลที่ส่งประกวดโดยบจก.อาหารเบทเทอร์ ส่วนตัวแทนผู้ประกอบการผลิตลูกไก่ไข่นั้น เบทราโกภูมิใจเสนอกฤษฎา ฤทธิชัยดำรงกุลและผู้แทนผู้ค้าส่งที่ซีพีภูมิใจเสนอก็สุรินทร์ ชินวงศ์พรม ตัวแทนจากผู้แทนเกษตรกรก็ดั๊นเป็นเกษตรกรที่สวมบทลูกจ้างซีพีนามมงคล พิพัฒน์สัตยานุวงศ์ เกษตรกรเต็มขั้นอย่างตัวแทนสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ที่ชื่ออาทร ช่วยณรงค์ที่มีความอิสระสูงแต่ไม่มีเสียงไปโดยปริยายเพราะจะไปทัดทานอะไรใครเขาได้ ข้าราชการบางรายก็ไม่ได้กินเงินเดือนเพียงอย่างเดียวแต่รับสามเด้ง ทั้งจากภาษีประชาชน จากนักธุรกิจการเมือง และจากบริษัทเอกชน บางคนกะไม่เลิกรวยหลังเกษียณจะไปเป็นที่ปรึกษาใหญ่ของซีพีอีกคนเร็วๆนี้
ไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่อย่างตักขี้ กินชะมัดเก่งแค่ไหนก็ดูเอา เมื่อก่อนชาวบ้านเขาเสียภาษีที่นาไร่ละ 5 บาท 10 ไร่ 50 บาทพอไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่เข้ามา 10 ไร่ เสีย 180 ช่วยรากหญ้าได้จริง ๆ สมัยท่านชวนข้าวเกวียนละ 3,800 ปุ๋ยลูกละ 320 ทำนาเสร็จเหลือเงินแค่ 32,000 แย่จริง ๆ หักธกส.แล้วเหลือ 22,000 ข้าวก็ถูก กองทุนหมู่บ้านก็ไม่มี เงินหมู่บ้านละ 200,000 ก็ไม่มี ครั้นพอไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่เข้ามา โอ้โฮ ข้าวเกวียนละ 8,300 ปุ๋ยลูกละื 1,300 เองเกี่ยวข้าวแล้วเหลือเงินตั้ง 40,000 แต่ว่าต้องเอาไปใช้หนี้ธกส. 10,000 ใช้หนี้กองทุนหมู่บ้านอีก 12,000 อ้อ เงินหมู่บ้านจากรัฐบาล 200,000 เราก็เอา 6,000, 40,000 หัก 28,000 เหลือ 12,000 ทำไม๊ทำไมสมัยท่านชวนหักโน่นหักหนี้แล้วแล้วเหลือแค่ 22,000 ทำไมเงินเหลือเยอะกว่าสมัยไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่ งงๆๆๆ แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปเติมวันทูคอลละเนี่ย อย่างนี้ก็ต้องเดือดร้อนรัฐและรัฐบาลให้หากองทุนใหม่ให้กู้อีก ถึงจะพอสินี่
ชาวไทยต้องจมปลักอยู่กับการเมืองน้ำเน่ากับนักการเมืองโกงกินอยู่ชั่วนาตาปี เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางเมืองและมีการเลือกตั้งใหม่ ก็ปรากฏว่านักการเมืองขี้โกงที่ได้รับเลือกก็เป็นพญายักษ์พญามารเหมือนเดิม ประเทศชาติและประชาชนขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่อง ขาดทุนตลอดชาติ กำไรก็แค่ไปอยู่ที่รมต. นักการเมืองและนักลงทุนทางการเมืองบางคน ชาติเราจะล่มจมได้ ก็เพราะนักการเมืองน้ำเน่าพวกนี้เอง ที่สำคัญพญายักษ์พญามารทุกตัวตนไม่เคยชอบการเมืองภาคประชาชนแม้แต่ตัวเดียว นักการเมืองขี้โกงส่วนใหญ่ชอบที่จะรับเงินสดๆ เป็นค่าจ้างทำงานการเมืองและชื่นชอบที่จะเก็บเงินสดไว้ในที่ลับๆของบ้านถึงขนาดนักการเมืองใหญ่ที่มีบ้านใหญ่โตอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาคนหนึ่งได้สร้างห้องใต้ดินไว้เก็บเงินสดกันเลย ทหารก็บุกเข้าไปตรวจค้นบ้านส.ส.หญิงคนหนึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีมาแล้วหลายครั้งทั้งยังเป็นคนสนิทของไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่ได้เก็บซ่อนเงินสดกว่า 5 ร้อยล้านบาทไว้ตามที่ต่างๆ รวมทั้งในฝาผนังบ้านหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 49 ไม่กี่ปีที่ผ่านมามักปรากฏรายงานข่าวว่านักการเมือง ผู้มีชื่อเสียงหรือทรงอิทธิพลในเมืองไทย ต่างหลบหนีคดีอาญา หลายคดีที่ศาลได้มีคำพิพากษาไปแล้วและยังไม่ได้มีคำพิพากษาแต่นักโทษเหล่านี้กลับล่องหนหายตัวไป แต่กลับมีผู้พบเห็นตัวเป็นๆไปซ่อนตัวอยู่ในเขมรหลายราย
ถึงตอนนี้รัฐบาลจะคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ตามสถานการณ์อันควร มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเราๆท่านๆนั่นสักเท่าไร ไอ้คนที่กลัวพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เรียกร้องให้ยกเลิกไวๆ
เห็นจะมีแต่พวกมิจฉาชีพใจไม่บริสุทธิ์เท่านั้น ไม่น่าจะทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมบิดเบือน แต่การคงมาตรการลดค่าครองชีพยืดเวลาออกไปอีก 6 เดือนนี่สิ มันเป็นการกระแทกโครงสร้างเศรษฐกิจ-การลงทุนและสังคมให้บิดเบี้ยวไปและจะสร้างปัญหาให้สังคมมากกว่าผลที่ได้แค่คะแนนนิยมทางการเมืองในระยะสั้นๆเท่านั้น นโยบายบริหารเอาใจชาวบ้านให้บริการน้ำฟรี-ไฟฟรี-รถเมล์-รถไฟฟรีเกินจำเป็นเป็นการสร้างนิสัยเสียให้แก่ชาติในอนาคต รัฐบาลกำลังเพาะเป็นทัศนคติใหม่กับชาวบ้านว่านี่คือหน้าที่ที่รัฐบาลต้องจัดหามาบริการให้ เป็นสิ่งควรได้เป็นของแถมทางการเมืองที่ใครมาเป็นรัฐบาลต่อๆ ไปก็ต้องจัดเป็นชุดสังฆทานอย่างนี้ให้ชาวบ้านด้วย พอเถอะเลิกทำให้ชาวบ้านต้องเป็นขอทานถาวรเสียผู้เสียคนอีกเลยสุดท้ายเราอาจจะถึงขั้นต้องเสียเมืองตามโมเดลอาร์เจนตินาของอีวา เปรอง นายกฯ อภิสิทธิ์อย่าบริหารแบบเอารัฐบาลรอดแต่ประเทศไม่รอดเลย นายกฯอภิสิทธิ์จะทำนโยบายบริหารประชาสังคมมากไปกว่าไพร่มหาอำมาตย์ใหญ่จนทำท่าจะผลักบางโครงการให้เป็นโครงการฟรีถาวรไปโน่นเลย ทั้งๆที่ด่าเขาเอาไว้มากมายเลยหรือ!?
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันเมื่อรัฐบาลพิชิตศึกฝูงไพร่กบถแดงที่สี่แยกราชประสงค์สำเร็จ ระหว่างที่นักเคลื่อนไหวและนักการเมืองไทยหลายคนเดินกันให้ขวักไขว่ในปอยเปตและพนมเปญหลังจากเผาบ้านเผาเมืองมาตลอดสามเดือนที่ผ่านมา และชายที่ได้ชื่อว่าเลวที่สุดเท่าที่เคยมีในประวัติศาสตร์ชาติไทยเดินแกว่งไข่ในมอสโกหลังเผากรุงครั้งนี้ ศูนย์อิเหลื่อยเฉื่อยแฉะได้สั่งห้ามนักการเมืองแตะเงินในบัญชีส่วนตัวและบริษัทห้างร้านของนักการเมืองทำธุรกรรมทางการเงินถึง 83 รายด้วยกัน ฮือฮากันไปทั้งเมือง บริษัทที่ถูกสงสัยเป็นท่อน้ำแดงนั้นส่วนใหญ่เป็นบริษัทในเครือญาติและพวกพ้องของไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่แทบทั้งนั้นอย่างเอสซี อย่างบี.บี.เป็นต้น นักการเมืองที่มีเงินเข้า-ออกมากผิดปกตินั้นส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ที่มีบทบาทในการขนคนมาร่วมชุมนุมก็อย่างแถบสมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี อยุธยา สิงห์บุรี ชัยนาท ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด เชียงราย ลำพูน ลำปาง หรือไม่ก็อยู่ในบางเขตของกรุงเทพฯ..เช่น..คลองเตย ห้วยขวาง พระประแดง อ้อมน้อย-อ้อมใหญ่
เมื่อนายทิวา เงินยวงสส.กทม.เขต 6 จากพรรคประชาธิปัตย์ที่เพิ่งด่วนจากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บเขตเลือกตั้งเล็กๆ เขตนี้กลายเป็นข่าวใหญ่โตขึ้นมาทันที พรรคเพื่อเผาไทยตัดสินใจส่งไพร่ผู้ถูกฝากขังในข้อหา“ผู้ก่อการร้ายและก่ออาชญากรรม” ลงสมัคร ทั้งพรรคและแกนนำไพร่กบถแดงตีปี๊บโหมประโคมความสำคัญของแกนนำไพร่ตนนั้นสนามเลือกตั้งเขต 6 กทม.ภายหลังการจากไปของดร.ทิวา เงินยวง นี่จึงไม่ใช่การเลือกตั้งซ่อมธรรมดาๆเพราะนั่นหมายถึงแกนนำฝูงไพร่กบถแดงสายแร้งคนสำคัญผลักดันเกมภายใต้ความเห็นชอบของไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่ที่จนตรอกเต็มไปด้วยความคั่งแค้นอยากเอาคืน ที่สำคัญการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้อาจจะเป็นการจุดชนวนการชุมนุมของฝูงไพร่กบถแดงอีกครั้งเลยทีเดียวถึงแม้ว่าจะไม่ใช่การชุมนุมก็เหมือนการชุมนุม
แก้ว ใจคดพูดโป้ปดหลอกพี่น้อง
พิ นอบพิเนาเหลี่ยมแม้วดั่งผู้ปกครอง
กุล สกุลหมองต้องอาญาเผาแผ่นดิน
ทอง แดงกะทะร้อนรอเจ้าแล้ว ก่อแก้ว พิกุลทอง
หนุ่ม มท.
ลำพังแค่เพียงพรรคเผาไทย ชาวบ้านอุตส่าห์จะมีโอกาสได้เลือกผู้แทนราษฎรเข้าไปทำงานแทนในสภา แต่กลับได้พรรคที่ไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อไทยอย่างชื่อ ที่ไม่รู้กาละเทศะ ไม่แยแสประชาชน ตัดสินใจส่งคนที่ถูกคุมขังอยู่ให้ชาวบ้านเลือกตั้งซ่อม ทั้งๆที่เป็นแค่ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งที่ร่วมในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองมาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 หน ทั้งๆที่ปลอดประสพการณ์ดี สุรัสวดีรองหัวหน้าเคยบอกว่า พรรคอาจจะไม่ส่งส.ส.แต่จะส่งทีมงานลงไปหาเสียงสู้กับพรรคปชป.ให้ประชาชนในพื้นที่ลงคะแนนเสียงให้กับหมาแทน ปล่อยให้ก่อแก้วแต่งชุดนักโทษร้อยโซ่เดินทางจากคุกมายื่นใบสมัคร สนองตัณหา ความสะใจ หรือฉวยประโยชน์ทางการเมืองจากโอกาสของการเลือกตั้งซ่อมแค่หวังผลหาหนทางกระหน่ำซ้ำเติม หาช่องทาง หาจังหวะ หาโอกาส กระทำการปลุกระดม สร้างสถานการณ์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งพึงระวังโปรดเลือกประเทศไทยและอย่าเลือกก่อ(การร้าย)แก้ว อย่าตกเป็นเครื่องมือช่วยให้พวกมันเผาไทยได้ง่ายชึ้นหรือทำให้คนไทยเกลียดคนไทยด้วยกันจนอาจทำให้คนไทยทำร้ายคนไทยกันเองอีกต่อไป เพราะพรรคนี้ทำเป็นแต่เผาไทย เผายางรถยนต์ เผารถเมล์ เผาตึก เผาศาลากลาง เผาส่วนราชการ ฯลฯ จัดฉากให้ชาวบ้านเห็นว่าเป็นเพียงนักรบโอท็อป ใช้แห ใช้หนังยาง ใช้ยางรถยนต์ ใช้ไม้ไผ่ แต่เอาเข้าจริงแล้วใช้ M79 ปืนจริงและอาวุธสงครามมากมาย ที่แน่ๆ M79 ที่ลงราวกับห่าฝนนั้นไม่เคยตกใส่หัวกบาลพวกฝูงไพร่กบถแดงเลยสักครั้ง
ขณะเดียวกันไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่ก็พูดผ่านร่างทรงอย่างทนายหน้าหอแบบสัปปะดน ปัสสาวะว่า ไม่ขวางและยังสนับสนุนการปรองดองด้วยทัศนคติที่ดีเช่นไม่ไล่ล่าศัตรูหรือคู่แข่งทางการเมือง ไม่ยัดเยียดข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จและไม่ใช้สื่อของรัฐบิดเบือนข้อมูล และควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากจริงใจที่จะปรองดองก็พร้อมที่จะพูดคุย แต่ไม่รู้ว่ามันจะให้โรเบิร์ต แอมสเตอร์ดัมทำร้ายทำลายประเทศไทยทำไม ทำไมไม่มาพีชถ็อก(Peace Talk)กันจะจะต่อหน้าต่อตาละไอ้หัวถ่อกให้ไอ้เวรตะไลตาน้ำข้าวทำลายบ้านเกิดอยู่ได้ ส่วนตัวเองก็ฟูมฟายให้ร้ายประเทศอยู่ได้
ฝูงไพร่กบถแดงควรเรียนรู้จากเรื่องนี้แล้วใช้ปัญญาไตร่ตรองดูว่าแดงตัวพ่อไพร่หมาอำมาตย์ใหญ่ได้ใช้อำนาจรัฐที่เคยมีต่อสู้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมระหว่างความจนกับความรวยหรือเป็นผู้ขยายช่องว่างให้เกษตรกรกลายเป็นไพร่ดักดานอยู่ภายใต้อาณัติของทุนไพร่แสนล้านกันแน่ ปัญหาสังคมทุกวันนี้เกิดจากการที่คนเราไม่ได้รับการพัฒนาจิตใจทั้งๆ ที่เป็นเรื่องหลักที่จะต้องได้รับการพัฒนา เมื่อคนไม่พัฒนาก็ก่อให้เกิดปัญหาด้านคุณธรรม ศีลธรรม การเมือง เศรษฐกิจ ฯลฯ ดังนั้นจึงต้องใช้เครื่องมือในการแก้ไขปัญหาด้านจิตใจโดยขอยกตัวอย่างเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งมีความสำคัญอย่างมาก เศรษฐกิจพอเพียงดังกล่าวสอนให้คนรู้จักประมาณตนเช่น ประหยัด รู้จักมีเหตุผล ไม่หลงไปตามค่านิยม มีภูมิคุ้มกันตัวเอง มีคุณธรรมและมีความรู้เท่าทันทั้งโลกทั้งสังคมด้วย จำเป็นต้องขับเคลื่อนการเมืองใหม่ด้วยการตั้งพรรคการเมืองที่มีคุณธรรมจริยธรรมเพื่อสร้างความแตกต่างไปจากนักการเมืองเก่าๆ ในการยกระดับมาตรฐานเหมือน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฯลฯ ที่นักการเมืองเขาละอายต่อบาปและดำเนินการเมืองภาคประชาชนไปพร้อมๆ กัน จะยากเย็นแค่ไหนก็ต้องทำ ใช้กฏหมายอย่างเฉียบขาด เป็นการน้อมนำพระราชดำริและพระราชดำรัสที่ว่า"การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อยจึงไม่ใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดีให้คนดีได้ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"มาใช้