“กษิต” ย้ำ “ฮุนเซน” ทำผิดกฎบัตรอาเซียนแทรกแซงกิจการภายใน ไม่เคารพกฎหมายประเทศเพื่อนบ้าน คบ “ทักษิณ” ซึ่งเป็นนักโทษหนีคดี เย้ยจะคุยเพื่อไทย ญาติดี “แม้ว-ปู” คงไม่ได้พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร หรือพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลตามที่ต้องการ เพราะยังมีรัฐสภาและคนไทยอีก 60 ล้านคอยปกป้อง ไม่ใช้สมบัติของ 2 ครอบครัวที่จะมาปู้ยี่้ปู้ยำได้
นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกแถลงการณ์ประณามตนให้อยู่บ้านดูแลตัวเอง และปฏิเสธไม่ได้แทรกแซงกิจการภายในประเทศไทยว่า พฤติกรรมที่สมเด็จฯ ฮุนเซนได้ทำมาตลอดเป็นการแทรกแซงกิจการภายใน และถือหางกลุ่มการเมืองอีกฝ่ายหรือไม่นั้น ตนอยากให้สมเด็จฯ ฮุนเซนได้ไปดูกฎบัตรอาเซียนและปฏิบัติตามด้วย เพราะสมเด็จฯ ฮุนเซน เป็นผู้ลงนามและผูกมัดตัวเองต่อประชาคมอาเซียนอีก 9 ประเทศ
“การที่สมเด็จฯ ฮุนเซนจะคบหากับคนไทย โดยเฉพาะกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือบางคนที่มีข้อหาคดีอาญา ก็อยากให้กลับไปอ่านกฎบัตรของอาเซียนว่า ผู้นำประเทศต้องเคารพซึ่งกฎหมายเป็นสำคัญ การคบโจรเป็นสิ่งที่ผู้นำของประเทศที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนพึงกระทำหรือไม่ เพราะเป็นการสร้างความเจ็บปวดให้กับประชาชนคนไทย เป็นการไม่เคารพกฎเกณฑ์ เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย อยากให้สมเด็จฯ ฮุนเซนได้ปรับตัวเสียใหม่ด้วย”
นายกษิตยังกล่าวอีกว่า การที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งมาเป็นรัฐบาล การเตะบอล หรือการเชิญอดีตนายกฯ ไปกล่าวสุนทรพจน์ ให้คำแนะนำว่าจะพัฒนาระบบเศรษฐกิจอย่างไร ทั้งหมดไม่ได้นำไปสู่การจะได้มาโดยมิชอบเป็นอันขาด การจะให้ได้พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลกเมตรไปฟรีๆ ไม่ใช่ว่าญาติดีกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือพ.ต.ท.ทักษิณแล้วจะได้พื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวตามความปรารถนา เพราะในรัฐสภาเรามีฝ่ายค้าน นอกสภาก็มีประชาชนชาวไทยอีกกว่า 60 ล้านคน หากสมเด็จฯ ฮุนเซนคิดเช่นนั้นก็คงจะเป็นความเข้าใจผิด ทรัพย์สมบัติของประเทศไทยก็เป็นของคนไทย ไม่ใช่เป็นทรัพย์สมบัติของ 2 ครอบครัวที่จะมาปู้ยี่ปู้ยำกันได้ ส่วนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล สมเด็จฯ ฮุนเซนก็ไม่ควรจะเพ้อฝันที่ดินบนบกและทางทะเลของไทย
======================================================
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปลดนายอัษฎา ชัยนาม ออกจากประธานคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) และปลดนายวีรชัย พลาศรัย ออกจากที่ปรึกษาว่า รู้สึกประหลาดใจเพราะบุคคลทั้งสองมีความรักชาติ ปกป้องผลประโยชน์ของชาติและยืนยันว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทยอย่างชัดเจน ที่สำคัญเป็นบุคคลที่ทางกัมพูชาไม่ชอบที่จะเจรจาด้วย
“การที่นายสุรพงษ์บอกว่าสาเหตุการเปลี่ยนตัวเพราะงานไม่คืบหน้า อยากถามว่าที่ว่าไม่คืบคือ การขายชาติให้กัมพูชาหรือไม่ ผมไม่ทราบว่าทำไม่ถึงต้องโยกทั้งสองออกจากคณะกรรมาธิการ ทั้งที่รู้เรื่องเขตแดนที่สุด หรือเป็นเพราะว่าเป็นเรื่องยากที่ทั้ง 2 คนจะทำเพื่อประโยชน์ของกัมพูชา”
นายชวนนท์กล่าวว่า กรณีของนายวีรชัยเคยมีปัญหาไม่เห็นด้วยกับจ๊อยคอมมูนิเก้ สมัยนายนพดล ปัทมะ เป็น รมว.ต่างประเทศ จนต้องถูกโยกออกจากอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ทำให้คนในกระทรวงต่างประเทศร่วมลงชื่อ เรียกร้องให้โยกนายวีรชัยกลับมา ซึ่งในที่สุดนายวีรชัยสามารถกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมได้ และในวันนี้กลับมีการถอนนายวีรชัย ออกจากคณะกรรมาธิการร่วม ทั้งที่ศาลโลกยังให้ทำงานอยู่ อีกทั้งนายวีรชัยดูเรื่องที่เกี่ยวพันกันอยู่แล้ว จึงมองเป็นทางอื่นไม่ได้นอกจากไปรับคำสั่ง คำบัญชาการมาจากพนมเปญหรือไม่
“การเอาคนมีความรู้ความสามารถ รักชาติรักแผ่นดินออกมาจากการทำหน้าที่สำคัญ ทั้งที่นายสุรพงษ์ไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ ไม่ทราบว่าต้องการทำอะไร หรือเป็นเพราะว่ากระบวนการขายชาติ ปล้นแผ่นดินจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งหรือไม่”
เพื่อบรรลุถึงการปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ด้วยการเผยแพร่ให้ความรู้ที่แท้จริงแก่ส่วนรวม
24 กันยายน 2554
18 กันยายน 2554
รถคันแรก ...เพื่อใคร?
|
หนึ่งในนโยบายลด แลก แจก แถม อย่างแหลกลาญของพรรคการเมือง เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงและอำนาจ คิดอะไรได้ก็จับยัดใส่เข้าไปก่อน ปัญหามีไว้แก้ค่อยว่ากันภายหลัง ขอให้มีอำนาจอยู่ในมือ คนใหญ่โตคับบ้านคับเมืองทุกวันนี้อยู่กันด้วยวาจาสับปลับ ตอนหาเสียงพูดไว้อย่าง พอเป็นรัฐบาลพูดอีกอย่างแล้วอ้างว่าเป็นเทคนิคหาเสียง จะให้ประชาชนเขาไว้ใจได้อย่างไรว่านโยบายทั้งหลายที่หาเสียงไว้จะทำนั่นทำนี่มิใช่เรื่องหลอกลวง เพราะมันเป็นเทคนิคหาเสียง การเมืองไทยเดินเข้าสู่ชะตากรรมที่เลวร้ายอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน คนต้องคดีร้ายแรง ขาดคุณสมบัติเป็น ส.ส.เป็นรัฐมนตรีก็ยังนั่งบริหารประเทศกันหน้าสลอน ข้าราชการที่เคยรับใช้นักการเมืองกันมาถูกคดีมากมาย บางรายศาลชี้มูลความผิดแล้วด้วยซ้ำ กลับตั้งขึ้นมาเป็นใหญ่เป็นโต อนาถแท้หนอประเทศไทย สัปดาห์ที่แล้วนโยบายที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมาก คือ การลดภาษีให้กับรถคันแรกของประชาชนที่มีเคยมีรถมาก่อน เอาเข้าจริงไม่ใช่ของง่าย เวลาหาเสียงพูดกันคล่องปาก แต่พอถึงเวลาทำจริง เพียงเรื่องเดียวมีปัญหา 108 รัฐบาลต้องหาภาษีจากที่อื่นมาเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท ทุกคนต้องช่วยกันจ่ายภาษีแทนคนที่มีรถคันแรกกระนั้นหรือ? ไม่มีคำตอบ เอาเข้าจริงกว่าจะได้เงินคืนต้องรอไปอีก 1 ปี หรือเงินผ่อนก็อีก 5 ปี แล้วถ้าผ่อนไม่ได้รถถูกยึดภาษีที่คืนไปแล้วต้องถูกตามเรียกเก็บ เก็บไม่ได้ก็จะถูกฟ้องร้องเป็นคดีความเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่โดนบริษัทไฟแนนซ์ฟ้องร้องคิดหนักหน่อยนะน้อง ถ้าอยากขี่รถของตัวเองแทนที่จะใช้ระบบขนส่งมวลชน สถิติที่สำรวจกันมาแล้วประมาณกันว่า ถ้าเอารถทุกคันที่มีอยู่ในประเทศไทยมาจอดเรียงกันบนถนน ถนนที่มีอยู่ภายในประเทศจะไม่สามารถรองรับรถได้ต้องต่อคิวกันยาวเหยียดเลยไปจนถึงประเทศสิงคโปร์ และอาจต้องจอดต่อกันในน้ำเลยไปถึงประเทศอินโดนีเซีย จะทำถนนเพิ่มอีกกี่สายก็ไม่พอให้รถวิ่งในกรุงเทพฯ เช้าเย็นรถติดกันจนชาชิน ทั้งถนนรอบนอกที่มุ่งเข้ากรุงเทพมหานคร เราไม่เคยมีแผนที่จะกระจายแหล่งงานออกไปอยู่นอกเมือง บ้านจัดสรรที่ผู้คนอยากมีบ้านหลังแรกก็มักจะกระจายตัวออกไปอยู่ชานเมืองรอบนอก แต่ที่ทำงานของทุกคนกลับกระจุกตัวอยู่กลางเมือง กว่าจะแย่งกันเข้าเมืองรถติดกันวินาศสันตะโร วิภาวดีฯ พหลโยธิน รัชดาภิเษก ราชพฤกษ์ ฯลฯ ติดกันจนผู้คนชาชิน ทุกชั่วโมงที่รถติดเราเผาผลาญน้ำมันที่ต้องซื้อเขามา โดยไม่ได้ระยะทางอะไรเลย เป็นมูลค่านับ 100 ล้านพันล้านบาท อีกสาเหตุหนึ่งที่รถติดก็คือ การจัดการจราจรที่ห่วยแตก เครื่องหมายการจราจรที่ไม่ถูกแก้ไข ที่สำคัญและเห็นกับตาตัวเองบ่อยครั้ง คือ การตั้งด่านลอยของตำรวจจราจรในหลายพื้นที่ ตรวจรถบรรทุก รถป้ายแดง มอเตอร์ไซค์ และไถเงินพอมีคนพูดก็โกรธว่าไม่จริง แต่วันก่อนก็เห็นกับตา ตั้งด่านกันแค่ 3 คน บนถนนบรมราชชนนีขาเข้า ห่างจากสถานีตำรวจนครบาล 7 เพียง 500 เมตร เจ้าหน้าที่เอากรวยมาขวางทางรถและเรียกตรวจกลางถนน โดยไม่มีนายตำรวจสัญญาบัตร และไม่ให้สัญญาใดๆ รถติดกันยาวบางคันเบรกตัวโก่งเกือบชนกัน ไหนคุยว่าเปลี่ยนผู้บัญชาการตำรวจคนใหม่ ทุกอย่างจะดีขึ้น วันหลังจะให้นักข่าวสถานีโทรทัศน์ เอาภาพด่านทั่วประเทศตั้งโดยผิดกฎหมายและรีดไถเงินมาประธานในสภาบ้าง ดูซิว่า ผบ.ตร.จะเปลี่ยนใหม่หรือไม่? ถ้าจัดการกับด่านเถื่อนไม่ได้ ผิดอะไรกับบ่อน ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยกลายเป็นผู้ชนะสงคราม การรถไฟญี่ปุ่นเริ่มต้นพร้อมๆ กับการรถไฟของประเทศไทย ญี่ปุ่นพัฒนาประเทศจนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก ระบบขนส่งมวลส่วนใหญ่เป็นรถไฟ ทั้งรถไฟธรรมดาและรถไฟความเร็วสูง เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังจัดให้มีระบบขนส่งสาธารณะด้วยรถเมล์ที่สามารถกำหนดเวลาถึงแต่ละป้ายได้ ความเป็นคนญี่ปุ่นและไทยไม่ต่างกัน แต่สำนึกเพื่อชาติและการมีจิตใจต่อสาธารณะนั้นต่างกัน โดยเฉพาะคนที่เป็นนักการเมือง ผมไปอยู่เกียวโตมาเกือบ 1 ปี เป็นเมืองที่น่าอยู่มากรถไม่ติดเลย ผู้คนยังคงใช้จักรยานกันทั้งเมือง มหาวิทยาลัยทุกแห่งเต็มไปด้วยรถจักรยาน มอเตอร์ไซค์ แทบไม่มีใครเห็นรถยนต์ ส่วนใหญ่ก็คันเล็กๆ เขาไม่บ้าแข่งขันมีรถกันเหมือนบ้านเรา ใครจะซื้อรถยนต์ต้องขออนุญาตสัญญาเช่า ที่นี่เป็นเมืองหลวงเก่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนทั่วโลก ประเทศที่ผลิตรถขายทั่วโลก กลับไม่ส่งเสริมให้ประชาชนใช้รถยนต์ส่วนตัวแต่สนับสนุนระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อนผมเสียชีวิตและตั้งศพไว้ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน เลิกประชุมที่ สกว. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย) สนามเป้า เวลา 17.00 น. ขึ้นรถไฟฟ้าไปลงสถานีหมอชิต นั่งแท็กซี่ต่อเพื่อไปวัดเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง ยังไปไม่ถึงห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวเลย อีก 1 ชั่วโมงก็ยังไปไม่ถึงวัดต้องกลับบ้าน กรุงเทพฯ ไม่มีที่สำหรับรถยนต์อีกแล้ว ต้องห้ามจอดรถทุกสายใน กทม.รถอายุเกิน 15 ปี เข้ามาวิ่งในกทม. ไม่ได้ ใครจะมีรถต้องขออนุญาต ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลย ที่จะส่งเสริมให้คนมีรถส่วนตัวมากขึ้น เพื่อมาจอดติดบนถนน ต่างจังหวัดก็ไม่จำเป็น เราต้องหันไปใช้รถไฟฟ้าเพื่อหยุดยั้งการใช้น้ำมัน ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการส่งเสริมให้คนมีรถ คือ บริษัทรถยนต์ และนักการเมืองที่มีหุ้นส่วนอยู่เท่านั้น ประเทศไม่ได้อะไรเลย แถมยังต้องไปเก็บภาษีจากทุกคนมาโป๊ะให้คนที่ซื้อรถกลุ่มนี้ ขณะที่โลกกำลังประสบภาวะทางการเงินเรากลับสนับสนุนให้ประชาชนฟุ่มเฟือย อีกไม่นานก็คงออกสโลแกนประเภท ผัวคนแรก เมียคนแรก ลูกคนแรก และอย่าลืมแถมโลงใบแรกให้นักการเมืองอาวุโสในบ้านเราที่ไม่ยอมหยุดเสียที |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)