สุวรรณภูมิมันก็แค่สิ่งปลูกสร้างที่เป็นอภิมหาคอร์รัปชั่น ทำเนียบรัฐบาลก็แค่สิ่งปลูกสร้างที่นักการเมืองเลว นักโกงเมือง ที่โกงการเลือกตั้งเข้าไปทำงาน รัฐสภา" ก็แค่สิ่งปลูกสร้างที่ที่อันธพาลสวมสูทรจากเงินภาษีประชาชน ไม่มีความรู้ความสามารถ คนที่เป็นกากเดนที่สังคม ไม่ยอมรับ ไม่มีการงานที่ดี ขี้เกียจ สันหลังยาวไม่มีงานมีการทำ ทำตัวเกกมะเรกเกเร ประจำซอย ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน จากนั้นก็เข้าไปเล่นการเมือง เป็นนักการเมืองหุ่นเชิดในสภา
เราต้องทนต่อการดูถูกเยียดหยามจากคนที่ไม่เข้าใจ จากคนที่ไม่ชอบเรา เื่พื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์ มิให้ใครจาบจ้วง ล่วงละเมิด เพื่อให้ได้ประเทศไทยที่ดีกว่านี้ เพื่อให้ลูกให้หลานของเราจะได้ไม่ต้องลำบากในการออกมาต่อสู้แบบนี้อีก เพื่อเปิดโปง "สัตว์นรก ในคราบคน" ให้สังคมได้รับรู้
น้องโบว์ อังคนา พี่จ๊าบ พี่เจนกิจ น้องยุทธพงษ์ คุณลุงเศรษฐา น้องรณชัย และน้องโบว์ กมลวรรณ เป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับความรู้ มีความเข้าว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมนี้ เป็นมาอย่างไร เขาลุกขึ้นสู้ต่อ "คนโกง" ไม่ยอมก้มหัวให้ "คนเลว" สู้ต่อทรราชเผด็จการรัฐสภา...ด้วยสองมือเปล่า เพื่อพิทักษ์สถาบันสูงสุด อันเป็นที่รักยิ่ง เป็นทุกสิ่ง ทุกอย่างที่พวกคนเลว พวกขายชาติ เกลียด
เช้าวันที่ 30 พี่ปองก็เล่าเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น M79 ตกห่างจากเวทีปราศัย ออกไปประมาณ 20 เมตร มันตกลงที่น้องโบว์กับน้องสาวนอนฟังปราศัยอยู่ ทั้งคู่นอนคุย นอนเล่นกันอย่างมีความสุข น้องโบว์โดนเข้าที่ด้านหลังของศรีษะ ส่วนน้องสาวโดนตามเนื้อตัว ไม่โดนจุดสำคัญ พี่ปองถามกับพวกเราว่า "โบว์อีกแล้วเหรอ" "อายุ 27 เท่ากัน" และ "สวยเหมือนกัน" "หน้าตาจิ้มลิ้ม ปากนิด จมูกหน่อย สวยแบบคนใต้" วันรุ่งขึ้นพี่ปองบอกกับพวกเราว่า น้องโบว์จะไปอยู่กับชีวิตใหม่อีก 6 ชีวิต น้องโบว์จะให้ชีวิตกับคน 6 คน "หนึ่งดับ หกเกิด"
ตา 2 ข้าง จะไปอยู่กับ คน 2 คน
ไต 2 ข้าง จะไปอยู่กับ คน 2 คน
ตับ จะไปอยู่กับ อีกคน
หัวใจ จะไปอยู่กับอีกคน
น้องโบว์ กมลวรรณ ได้ทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดจนวาระสุดท้ายของชีวิต จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต พี่ปองเล่าว่า พ่่อน้องโบว์ขึ้นมาจากพัทลุง ก่อนหน้าที่พ่อน้องโบว์จะมาถึง ชีพจรเต้นเบามาก คุณหมอได้วางแผนการผ่าตัดอวัยวะไว้ตอนเช้า และน้องโบว์ก็ "รอพ่อ" อยู่ แม่น้องโบว์ก็เฝ้าน้องโบว์อยู่ข้างๆไม่ห่าง พี่ปองเล่าทั้งน้ำตา และนำ้เสียงที่สะอึกสะอื้น ทันใดที่พ่อน้องโบว์ พี่ปองเล่าว่า "น้องโบว์เกิดอาการร่างกายกระตุกขึ้นมาอย่างแรง ปานจะฟ้องพ่อ"
"พ่อช่วยหนูด้วย ไอ้คนใจสัตว์นรกมันฆ่าหนู มันทำร้ายหนู มันรังแกหนู หนูไม่ได้ไปทำอะไรมันเลยพ่อ พ่อช่วยหนูด้วย หนูเจ็บ พ่อหนูเจ็บ"
จนคุณหมอต้องวิ่งเข้ามาดู กลัวน้องโบว์ไปเสียก่อน เพราะตอนนี้สมองน้องโบว์ "ตาย" แล้ว คุณหมอกลัวน้องโบว์อยู่ไม่ถึงตอนเช้าที่จะทำการผ่าตัดย้ายอวัยวะ
งานศพนางสาวกมลวรรณ หมื่นหนู
ศพ “น้องโบ” กมลวรรณ หมื่นหนู วีรสตรีผู้เสียชีวิตจากเหตุลอบยิงระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้รักชาติเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยรถตู้สภากาชาดไทย ถึงวัดทะเลน้อย จ.พัทลุง บ้านเกิด เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น.วานนี้ (5 ธ.ค.) ท่ามกลางบรรดาญาติๆ และประชาชนที่ทราบข่าวมารอรับ บรรยากาศโดยทั่วไปนั้นมีญาติและประชาชนซึ่งเป็นพันธมิตรฯได้เดินทางมารอรับ และร่วมงานศพ ซึ่งคาดว่าตลอดระยะเวลาที่มีการบำเพ็ญกุศลประชาชนจะหลั่งไหลมาไว้อาลัยแด่วีรสตรีกู้ชาติคนนี้หลายร้อยคน ศพของ น้องโบว์-กมลวรรณ มีกำหนดฌาปนกิจวันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม
เพื่อบรรลุถึงการปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ด้วยการเผยแพร่ให้ความรู้ที่แท้จริงแก่ส่วนรวม
06 ธันวาคม 2551
05 ธันวาคม 2551
สื่อสามานย์ชน (สื่อดีก็มีบ้าง ... ขออภัย)
ในการเข้ายึดครองสถานที่และโดยเฉพาะสนามบินด้วยมีผู้คนจำนวนมากต้องเดือดร้อนดูจะมีความเสี่ยงสูงที่กลุ่มคนที่อยากเห็นเรื่องจบก็โทษว่าแต่เราเพราะเขาเดือดร้อน เราพันธมิตรจะคิดว่าถ้ารัฐบาลชอบธรรมพอเมื่อตอบคำถามให้ตนเองชอบธรรมไม่ได้ ในท้ายที่สุดแล้ว ความไม่เป็นธรรมและความปกปิด จะทำให้เกิดความไม่ชอบธรรมที่มากขึ้น ถ้ารัฐบาลมีสำนึกลาออกไปเรื่องก็จะยุติเช่นกัน ในที่สุด รัฐบาลก็ยอมปล่อยให้บ้านเมืองเสียหายและแม้บางส่วนที่อาจจะดำเนินไปได้ เช่น คาร์โก รัฐบาลก็ไม่ทำเลย ปล่อยให้ความเสียหายมากขึ้นและให้สังคมกดดันเรามากขึ้น ในขณะที่เราเรียกร้องความถูกต้องและปฏิเสธการตั้งรัฐบาลโนมินีเพื่อปกป้องความผิดกลับถูกสื่อให้เป็นพวกไม่ยอมรับประชาธิปไตย เราแสดงความเห็นอย่างสงบในที่ตั้ง เราต้องยืนอยู่ข้างถูก ไม่เข้าข้างผิด ยืนอยู่ข้างดี ไม่เข้าข้างชั่ว ถ้ากลัว ถ้ามีความรู้สึกว่า มันจะถูกหรือไม่ แสดงว่าคุณขาดความเชื่อมั่นและความศรัทธา เมื่อคุณขาด คุณอย่าอยู่ไม่ว่าจะเป็นพิธีกร ผู้ประกาศข่าว ใครก็ตาม ถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้ ไปเลย เราต้องการให้คนที่อยู่ที่นี่ เข้าใจการต่อสู้ และเมื่อเข้าใจการต่อสู้แล้วแล้วสามารถจะเอาปัญญาของการต่อสู้นั้น เอาไปเผยแพร่ เราแบ่งข้างชัด แม้รัฐบาลมีชนักจึงไม่อยากใช้มาตรการเด็ดขาดเพราะอำนาจตนก็จะจบลงด้วยแต่ทำให้หลายครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นจึงอาจมีส่วนที่ รัฐบาลก็ถือโอกาสขยายความเสียหาย สื่อของรัฐและสื่อที่ถูกซื้อไปโดยระบอบทักษิณถ่ายทอดอย่างไม่เป็นธรรมให้รู้สึกว่าพันธมิตรก้าวร้าว ใช้ความรุนแรงทำร้ายผู้อื่น ทั้งๆที่ส่วนใหญ่ก็แสดงความเห็นอย่างสงบในที่ตั้งจึงเป็นการสร้างความกดดันเราอย่างต่อเนื่อง
เช่นเมื่อครั้งการเข้าทำเนียบช่วงกันยายนรัฐบาลก็ถือโอกาสประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและโทษพันธมิตรฝ่ายเดียว ทำให้ต่างชาติก็ไม่อยากมาทั้งที่ก็ดูไม่ฉุกเฉินอะไรยกเลิกไปก็ไม่มีอะไรมีการใช้สื่อข้างเดียว ใส่ความว่ากบฏ ตำรวจจับคนที่อ้างว่าเป็นการ์ดพันธมิตรได้และให้ข่าวว่าพกอาวุธ พกระเบิดติดตัว เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ แต่ตำรวจกลับไม่สามารถสกัด หรือจับคนที่ยิงระเบิด M79 เข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งที่พื้นที่ก็นิ่งและเป็นบริเวณเป้าหมายชัดเจน ทั้งรัฐบาลรวมทั้งสื่อของรัฐกลับไม่มองว่าเรื่องที่มีพี่น้องคนไทยใจบริสุทธิ์ต้องตายไปวันละคนๆเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ การยิงระเบิด M79 เข้าใส่ผู้ที่ไม่ได้ต่อสู้ลงใจกลางกรุงเทพฯ ใกล้กับกองทัพบกจนพี่น้องร่วมชาติต้องเสียชีวิตหลายคนต้องถือว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติของสังคมเลย ตำรวจกลับนิ่งเฉยไม่ทำอะไรสักอย่างทั้งที่เป็นอาวุธสงครามที่ร้ายแรง คนที่ได้ร่ำได้เรียนการรักษาดินแดนมาสะกิดบอกว่าเรานี่โชคดีนะ เขาเรียน รักษาดินแดนมา 5 ปีไม่เคยเห็นลูกหัวกระสุนเอ็ม 79 เลย แต่เวทีพันธมิตรฯมาร้ายกว่าเห็นมาไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูกแล้ว เรื่อง ฝีมือยิง M 79 เราเริ่มๆได้ข้อมูลแล้ว กองบัญชาการตำรวจนครบาลรู้เห็นเป็นใจอยู่เบื้องหลังด้วย เป็นฝีมือตำรวจ ยืนยันได้ ไม่มีใครเคยออกมาพูดแค่มีตำรวจไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ และเก๊กท่าต่อหน้าทีวีแล้วหลังจากนั้นก็เงียบหายไปเลย ไม่เคยพูด ไม่เคยอธิบายอะไรทั้งสิ้น รวมๆตั้งแต่7 ตุลาคม บาดเจ็บหลายร้อยคน แต่รัฐบาลและสื่อมวลชน บอกกับสังคมว่าเหมือนไม่เป็นปัญหาของฉันกระตุ้นความเบื่อจนผู้คนก็คล้อยตาม
น้องโบว์ อังคณา ท่านแรกที่เสียชีวิต ที่คนทั่วๆไปได้เห็นว่าสื่อกับทีวีไปทำข่าวงานศพไปเป็นเรื่องเป็นราวและมีข่าวออกไปในสาธารณชนบ้าง แต่ 7 ท่านหลังแทบจะไม่เห็นเลย แต่กลับได้ยินอยู่ตลอดเวลาว่าเด็กตีกันตายแทงกันตายบนรถเมล์ พ่อแม่เป็นยังไงสูญเสียเท่าไหร่ คุยกันจังเลยเรื่องนี้ เพราะท่านเหล่านี้เสียชีวิตในเวทีหรือว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ ใช่ไหม ท่านถึงไม่ให้ไม่คือว่าคุ้มค่าต่อพื้นที่สื่อของท่านแม้กระทั่งการที่จะเอ่ยนามของท่านเหล่านี้ที่เขาเสียชีวิตไปโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่ไปชุมนุมมือเปล่าๆ คุณค่าของสิ่งเหล่านี้ สื่อบ้านเรามองไม่เห็น แต่กลับไปให้พื้นที่ข่าวเรื่องอื่นๆ ที่เขาตีความแล้วบอกว่า มันปลอดภัยดี
บรู๊คแต่งงานกับกบ ฟลุ๊คอะไรนะเล็กใหญ่อะไรยังไงเป็นเรื่องเป็นราว คนคุยกันได้
มีการ์ดของเราและพี่น้องประชาชนเคยทำบันทึกถึงแกนนำว่าทนไม่ได้แล้ว ขอรับประกาศบริจาคแทนที่จะขอบริจาคพัดลม ก็ขอบริจาคเป็นมิสซายล์ อาวุธ เราก็ต้องไปทำความเข้าใจเป็นวันเลย เพราะพัฒนาการของอหิงสา ถ้าไม่อดกลั้นจริงๆ และไม่ต้องการพิสูจน์จริงๆ ในโลกใบนี้มันพัฒนาไปหน่วยติดอาวุธทั้งสิ้นและหน่วยติดอาวุธมันจะร้ายแรงมาก หากพัฒนาไปเป็นกองกำลังติดอาวุธก็จะฝึกง่ายเพราะมันมีอุดมการณ์ เพราะว่ามันเข้มแข็งกว่า แต่เราบอกว่าเส้นทางนั้นมันไม่ใช่สังคมไทย สังคมไทยจะต้องพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า ใน 190 กว่าวัน เราได้พิสูจน์แล้วว่าอหิงสาได้ปักหลักสร้างฐานในสังคมไทยแล้ว
การซึ่งรัฐบาลเข้ามาแก้กฎหมาย เพื่อให้รัฐบาลและพวกพ้องพ้นผิด คุณเห็นด้วยไหม ผมเชื่อว่าพวกที่บอกว่า เห็นด้วยไม่ควรแก้ไขแล้วถามต่อถ้าอย่างนั้นแล้วการที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาชุมนุมกัน 193 วัน เสียชีวิตไป 8 คน บาดเจ็บ 700 กว่าคน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแกักฎหมายเพื่อให้คนพ้นผิด ก็ถ้าคุณเห็นด้วยข้อที่ 1 คุณก็ต้องเห็นด้วยข้อที่ 2 ถามต่อว่าข้อที่ 3 เท่าที่คุณเห็นมามีใครออกมาสู้เรื่องนี้ไหม แล้วคุณได้สู้หรือเปล่า คุณก็ไม่ได้สู้ เราและอย่างไร และประเทศนี้เป็นของพันธมิตรฯคนเดียวหรือ ไม่ใช่ ก็เป็นของคุณด้วยเป็นเพียงแต่คุณเป็นพวกเอาเท้าราน้ำ พวกไร้สาระ พวกหน่อมแน้ม
ความเสียหายในทำเนียบรัฐบาลที่ปรากฏเป็นข่าวไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์บางส่วนหายไป โต๊ะถูกงัดแงะ หรือเบาะที่ถูกกรีดนั้นเป็นความเสียหายในตึกบัญชาการ 1 และ 2 ถ้าสมมติว่าคุณจะมีระเบิดปิงปอง หรือระเบิดทำเองอยู่หลุดไปสักลูกหนึ่งอาจจะเป็นไปได้ แล้วขอโทษถ้าเป็นของเรา ถ้าภาษาหยาบๆ กูจะทิ้งไว้ให้มึงทำไม ส่วนตึกสำคัญที่มีข้าวของทรัพย์สินราชการสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นตึกไทยคู่ฟ้า ห้องทำงานนายกฯ ที่ประชุม ครม.ห้องรับแขกบ้านแขกเมือง ตึกสันติไมตรี และตึกนารีสโมสร ทุกอย่างอยู่ครบ ผอ.กองสถานที่ทำเนียบ และคณะกรรมการผู้ทรงคูณวุฒิ 8 องค์กร ไม่ว่าจะเป็นจาก คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ คณะกรรมาธิการสิทธิฯ ส.ว.พีเน็ต สตง. สถาบันวิจัยจุฬาฯ LDI วิศวกรรมสถานที่เข้าไปตรวจสอบในวันแรกก็ยืนยันตรงกันว่าไม่มีความเสียหายใดๆ ในระหว่างตรวจสอบเราได้บันทึกภาพวีดีโอและถ่ายภาพนิ่งไว้แล้วไม่วิตกแต่อย่างใดและพร้อมนำเป็นพยานในชั้นศาล ในตึกอื่นๆ และเข้าของเจ้าหน้าที่ทำเนียบบางส่วนที่ถูกขโมยไปต้องว่ากันตามข้อเท็จจริง สำหรับเบาะที่ถูกกรีดและเข้าของที่หายไปบางส่วนเชื่อว่าเป็นฝีมือของมิจฉาชีพและพวกที่แฝงตัวเข้ามาสร้างความเสียหายและโยนผิดให้กับเราเพราะในระหว่างชุมนุมที่ทำเนียบการ์ดพันธมิตรฯ จับกุมแก๊งมิจฉาชีพที่เข้ามาขโมยคอมพิวเตอร์ รถมอเตอร์ไซค์ และข้าวของอื่นๆ ในทำเนียบได้กว่า 10 คน และส่งตัวให้ตำรวจทุกครั้งรวมทั้งเก็บของกลางไว้หลายส่วน ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทำเนียบหลายส่วนเข้ามาเอาเอกสารและขึ้นไปตรวจตราเข้าของทุกตึก นายตำรวจชื่อประชาสบช่องออกแถลงข่าวว่าสามารถยึดอาวุธของพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นกระบอง ท่อนเหล็ก มีด และวัตถุที่ถูกดัดแปลงคล้ายปืน จับของกลางได้เยอะแยะแต่คนร้ายอยู่ไหนไม่รู้ ไอ้ของทียึดมาก็จัดฉากชัวร์ กลับระบุว่าจะเร่งออกหมายจับ และหาคนร้ายมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด
ที่สนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมินั้น สนามบินทั้ง 2 แห่งแทบไม่มีความเสียหายถ้าจะมีก็เกิดจากระเบิดที่ถูกยิงเข้ามาจากฝ่ายตรงกันข้ามและในช่วงเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานฯ ที่เข้ามาเจรจากับพันธมิตรฯเพื่อเปิดสนามบินก็รับทราบ และยืนยันว่า
จะไม่มีการดำเนินคดี ความเสียหายจากการปิดสนามบินในครั้งนี้เราเองก็ไม่เคยปฏิเสธว่า ไม่มีความเสียหาย เราตกเป็นจำเลยกันแล้ว 20,000 กว่าล้านใน เราก็อยากจะรู้ว่าชีวิตคนๆ หนึ่งกับสิ่งที่สูญเสียเขาวัดกันด้วยอะไร หลายคนตายด้วยน้ำมือของตำรวจกับรัฐบาลฆาตกรขายชาติ 2 คนนี้ ทรัพย์สินเงินทองเท่าไหร่ก็ไม่คุ้มสำหรับชีวิตคนเหล่านี้ แล้วชีวิตพวกเขาคิดว่ามีค่ามากกว่า มากกว่าชีวิตของคนที่คอร์รัปชั่นไม่ตรงไปตรงมาเป็นร้อยๆ เท่า สังคมไทยไปให้ราคาเก้าอี้ และเบาะขาดมากกว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันเป็นสังคมบัดซบนะครับ เป็นสังคมที่ไม่ได้ประเมินราคาของมนุษย์ และสถาบันหลักหรือความเป็นชาตินะครับ สื่อหลายๆสำนักให้ความสนใจในขาเก้าอี้ซึ่งเป็นไม้อัดไปพาดหน้า 1 แล้วบอกว่านี่เป็นมูลค่าสูงสุด
ระบอบทักษิณโกงชาติบ้านเมืองไป 23 หมื่นล้าน เฉพาะ คตส.ตรวจสอบพบไม่รวมที่สุวรรณภูมิ 14 หมื่นล้านและไม่รวมตัวเลขอีก 14 หมื่นล้านที่อังกฤษยังถูกอายัดแล้วก็ไม่สามารถแจงที่มาได้ สื่อไม่พูดถึงคนที่ปล้นชาติไปมูลค่าเป็นแสนๆ ล้านมาพูดเรื่องเราไปทำเก้าอี้ ขาเก้าอี้เสียหาย บอกถูกกรีด ส้วมสกปรก โถน้ำแตก โถส้วมแตก สังคมแบบนี้จึงจะเป็นสังคมที่ประเมินคุณค่า แยกแยะไม่ออก และเป็น ภาษาทั่วไปเขาเรียกใฝ่ต่ำ เป็นสังคมใฝ่ต่ำ อย่างเรื่องซีทีเอ็กซ์ก็ดี เรื่องความเสียหายอื่นใดก็ดีที่มีอยู่ในประเทศไทย จากการกระทำของรัฐบาลทักษิณ ถามว่าวันนี้รัฐบาลได้ดำเนินการฟ้องร้องเอาคืนเขาหรือยัง การบินไทยก็เถอะตามทวงสิ่งที่บริษัทการบินไทยได้รับความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลทักษิณหรือยัง ซื้อเครื่องบินเพื่อที่รับค่าคอมมิสชันแล้วอ้างว่าจะเปิดเส้นทางใหม่กำไรดีบินไปนิวยอร์กและก็เสียหายแบบย่อยยับ บริษัท ทอท.ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (มหาชน) ยังไม่เคยฟ้อง 13 คดี ที่ระบอบทักษิณไปโกงสนามบินสุวรรณภูมิ 14 แสนล้าน มันไม่ฟ้อง มันมองไม่เห็นตามันมืดบอด สติปัญญามันทึบ กรณีสุวรรณภูมิ 13 คดีที่ สนช.สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยคณะกรรมาธิการที่มี พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป เป็นเลขานุการ และก็มี พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน เป็นประธาน และก็มีคนหาญกล้า พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ และที่ไม่ได้เอ่ยนามทั้งหมดประมาณ 40 กว่าท่าน เขาไปศึกษาดูแล้วโกงชาติบ้านเมืองไป 13 โครงการ ถามว่า ทอท.พวกท่านทำไมไม่ฟ้อง ไม่ฟ้องที่ทำให้ชาติเลยหายทำไมไม่ฟ้อง และการบินไทยทำไมไม่ฟ้องไอ้ที่รันเวย์ร้าวหรือรันเวย์ทรุดท่านมองไม่เห็นหรือ เหมือนมองไม่ชัด
ส่วนหนึ่งที่เขาเป็นการ์ด โดยเฉพาะคนที่เป็นการ์ด แล้วเขาอยู่ในพื้นที่ เขาโดนตามล่า เขาโดนตำรวจกับอันธพาลยกตัวอย่างเช่น แถวหลัก 2 กทม.นี้นะ อันธพาลกับตำรวจไปถามหาลูกชายที่ไปเป็นการ์ดพันธมิตรฯ กลับมาหรือยัง คนไทยทำร้ายกัน กระชากกันลงมาจากรถ ข่มเหงกัน (ที่วิภาวดีฯซอย 3 ในวันเริ่มชุมนุมที่ดอนเมือง) และตำรวจเพิกเฉย หาทางจับภาพเพื่อจับผิด แล้วใส่ร้าย สร้างความชอบธรรมให้รัฐ บ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟได้และคนไทยก็จะขาดความสงบสุข การท่องเที่ยวก็จะยิ่งเลวร้ายกันไปใหญ่สังคมจึงควรตื่นตัวเรียกร้องให้รัฐบาลมีการใช้สื่อที่เป็นธรรมต่อประชาชนผู้เห็นต่างด้วย
เราไม่ได้หมายตำหนิต่อว่าทุกสื่อ สื่อที่ดีก็มีที่พยายามสื่อออกไปก็มีแต่ว่าภาพรวมถ้าสมมติว่า 80 เปอร์เซ็นต์มันเป็นแบบนี้ ตรงไปตรงไม่ได้ตำหนิไม่ได้มีเหตุข้องหมองใจกับใครเลย บทเรียนที่ดีนี้ นำไปสู่การให้สื่อมวลชนทุกๆฝ่ายได้มีโอกาสสื่อข้อมูลด้วย “ความจริง” “ครบด้าน” อย่าง “โปร่งใส” ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอันเป็นพื้นฐานสิทธิมนุษยชนที่สำคัญจริงๆ
04 ธันวาคม 2551
5 ธันวา วันประชาปิติ
ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเป็นมิ่งขวัญแก่ปวงชนชาวไทยไปอีกนานแสนนาน ด้วยพระองค์ทรงเป็น “พ่อของแผ่นดิน” เราพี่น้องคนไทย จะคิดต่างกัน จะชอบไม่ชอบต่างกัน เราก็ยังภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย และมี “พ่อแห่งแผ่นดิน” ผู้ทรงรักและห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ดังลูกๆของพระองค์จริงๆ พ่อของแผ่นดินได้ให้คำสอนดีๆสำหรับเรามากมาย คำสอนแต่ไหนแต่ไร ที่ยังก้องในสมองคนไทยเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยจริงๆ
เศรษฐกิจพอเพียง พอประมาณ สมเหตุสมผลและมีภูมิคุ้มกันความเสี่ยงอย่างความรอบคอบ รอบรู้ และควบคู่ไปกับหลักคุณธรรม
รู้รักสามัคคี ทำให้เมืองไทยยังเป็น “สยามเมืองยิ้ม” เมืองแห่งความรักและน้ำใจ เป็นที่เลื่องลือทั่วโลกไม่เป็นเมืองเถื่อนไร้ความสงบ
ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้คนดีมีกำลังใจไม่ท้อใจ คนอยากจะไม่ซื่อ อยากจะทุจริตก็มีโอกาสกลับตัวกลับใจ
============================================================================
03 ธันวาคม 2551
สาธารณรัฐล้านนาประชาธิปไตย
ยังไม่ส่งผลใด แก่เจ้า
เหิมเกริมไป่กลัวภัย มาสู่ ตนนา
ตราบเมื่อบาปถึงเข้า จึ่งรู้ รสกรรม
ในขณะที่ คนไทยอยากเห็นเรื่องวุ่นวายใจชาติให้ยุติ แต่ตัวปัญหาคือคนโกงไม่ยอมให้ยุติจัดตั้งรัฐบาลโนมินี การใช้อำนาจบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมคนก็จะต้องต้องโทษ พรรคการเมืองก็เช่นกัน แต่คนที่โกงแล้วหากตั้งใจแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อแก้กติกาให้ตนพ้นผิดเราก็ทำใจให้ยอมรับได้ยากยิ่งถ้าคนไทยที่ได้รับพระคุณแผ่นดินมากมายมากกว่าที่คนไทยใดๆในประเทศเคยได้รับแต่กลับยอมเสียสละชาติสิ้นเพื่อตัวเอง ทำคนไทยให้เกิดความขัดแย้งแตกแยก คนไทยบางคนไม่รับรู้ไม่ยอมรับความจริง ก่อให้เกิดประชาธิปไตยแบบเผด็จการโดยคุมสื่อด้านเดียว โดยการต่อสู้นี้มีหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นหัวสี หรือหัวขาวดำ ต่างใช้วิธีท่องคาถา “กูเป็นกลาง กูเป็นกลาง กูเป็นกลาง” เป็นเกราะป้องกันเสียงวิพากษ์วิจารณ์ประพฤติตนเป็นไผ่ลู่ลมทำสื่อแบบใส่ร้าย บิดเบือน ฉาบฉวย และเอาตัวกูรอดอย่างเดียวเช่นนี้ ได้รับพิสูจน์จากการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนี้แล้วว่าผิดพลาด … ทั้งในฐานะสื่อสารมวลชน ในฐานะของความเป็นคนไทยและในด้านคุณธรรม จริยธรรม และสำนึกของความเป็นมนุษย์ การเป็นสื่อของประชาชนนั้นอบอุ่นและน่าภาคภูมิใจกว่า การเป็นสื่อที่เลี้ยงชีพด้วยเม็ดเงินที่มาจากความละโมบ โลภมาก หรือนักการเมืองเป็นไหนๆ
ในระหว่างนั้นถ้าเราดูแนวโน้มของกลุ่มคนรักทักษิณ ทั้ง นปก. นปช.รวมทั้งพวกเสื้อแดงทั้งหลายจะเห็นได้ว่าขบวนการเหล่านี้มีความเชื่อมโยงค่อนข้างจะชัดเจนต่อการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และพวกแกนนำเกือบจะทุกคนก็มีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพติดตัวกันด้วย บางคนถึงขั้นต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ นักการเมืองเสื้อแดงในบริเวณภาคเหนือและจากภาคอีสานได้มาหารือและประชุมประสานงานอย่างใกล้ชิดกันมาได้พักหนึ่งแล้วเหตุที่เขามาเริ่มเป็นข่าวในเวลานี้ และเรียกประชุมเป็นการด่วนก็เพราะว่าศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะพิพากษาการให้ยุบพรรคคดีซื้อเสียงในวันที่ 2 ธันวาคมนี้แล้วดังนั้นพวกเขาก็เลยต้องหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อนอย่างเหิมเกริมถึงขั้นเตรียมตั้งประเทศรองรับรัฐบาลพลัดถิ่นของนักโทษชายทักษิณทีเดียวเชียวแหละ ประเทศที่จะตั้งกันใหม่นี้จะอยู่บนแผ่นดินไทยนี้แหละ แต่จะแยกออกไปตั้งเป็นประเทศใหม่ ใช้ชื่อว่า “สาธารณรัฐล้านนาประชาธิปไตย” ที่นอกจากจะไม่เอาสถาบันแล้ว คนพวกนี้ยังไม่เอาระบอบเก่าและการเมืองใหม่และไม่เอาวิธีคิดที่จะรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ในแผ่นดินไทยไว้ด้วย สาธารณรัฐใหม่บนดินแดนประเทศไทยนี้ จะได้ตัวประธานาธิบดีคนแรกคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้เราพอจะเข้าใจแล้วว่า ขบวนการนี้ทำกันเป็นขั้นตอนจริงๆเริ่มจากการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตัดสายสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างสถาบันที่ผูกติดกับคนไทยมาช้านานให้ขาดจากคนส่วนใหญ่ ปัจจัยสำคัญที่ขบวนการนี้ใช้คือเงินจากโครงการประชานิยมต่างๆ โดยในตอนแรกไม่มีใครรู้ว่าเจตนาเบื้องหลัง จัดตั้งขบวนการแกนนำเลือกกลุ่มคนที่มีวาทะคมคาย พูดจาโฆษณาชวนเชื่อเก่ง ระดมมวลชนด้วยการว่าจ้างทั้งในต่างจังหวัดและในเมืองให้มาชุมนุมปลุกใจแต่เสื้อแดงต้องเผชิญกับกลุ่มเสื้อเหลืองที่พวกเสื้อแดงจะไม่ลังเลเลยที่จะเจรจากับเสื้อเหลืองเพื่อเป็นแนวร่วมโดยมีทักษิณมาจัดการเคลียร์ปัญหาด้วยตนเองขอให้เหลืองอย่าขัดขวางเสื้อแดง ในการล้มสถาบันก็พอ แต่เป็นเพราะเหตุผลเดียวเท่านั้นคือเสื้อเหลืองทำเพื่อรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ไม่เคยยอมให้ใครมาทำลายอย่างเด็ดขาดเสียด้วยและเป็นหัวใจที่รัฐบาลหรือทหารไม่กล้าเผด็จศึกหรือใช้มาตรการรุนแรงเสียด้วย
แทบจะในทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาการให้ยุบพรรค เมื่อดูท่าทีการพูดการจาของบรรดานักการเมืองทั้ง 3 พรรคซึ่งดูเหมือนจะสะกดคำว่า "สำนึกผิด" ไม่เป็นแล้ว นักการเมืองเหล่านั้นก็แถลงออกมาทันทีว่ารัฐบาลใหม่จะมาจากพรรคการเมือง 6 พรรคขั้วเดิมไม่มีพลัดพราก ลูกปลาไหลน้ำตาท่วมหลังทำพิธีคลุมผ้าดำปิดป้ายพรรคถาวรและเติ้งประกาศสู้ต่อรอ 5 ปีหลังพ้นโทษยังพร้อมกลับมาเล่นการเมืองต่อและสมอ้างยอมรับชะตากรรมหากยุบพรรคเพื่อแลกกับพันธมิตรฯ สลายการชุมนุม เมื่อมาถึงในปี 2552 เราต้องเผชิญกับสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่กันไปทั้งโลกในระยะนี้ก็ไม่แน่ว่าชนบทจะยังเป็นทุนทางสังคมเป็นเบาะรองรับวิกฤตได้ดังเดิมหรือไม่ เพราะชนบทระยะหลายปีที่ผ่านมาก่อหนี้ท่วมหัวตามนโยบายรัฐหลายปีมานี้มุ่งสร้างเมืองให้ใหญ่ มุ่งผลักดันพี่น้องเข้าสู่วงจรของความไม่สมดุล ไม่พอเพียง เพราะมีความคิดว่าวงจรเศรษฐกิจจะใหญ่และเคลื่อนเร็วกว่าเดิมต้องกระตุ้นลงไปที่รากหญ้า อัดฉีดเงินภายใต้โครงการต่าง ๆ แค่ชื่อที่โผล่ขึ้นมาเตรียมเป็นนายกฯรักษาอำนาจในขั้วเน่าๆเดิมๆก็บ่งบอกคุณภาพนักการเมืองไทยแล้วว่าพวกเขาเป็นแค่นักแสวงหาอำนาจส่วนตนเท่านั้นหาได้เคยคำนึงถึงประเทศชาติส่วนรวมเลยทั้งๆที่เศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องเล็กเพราะประเทศชาติไม่ใช่ของล้อเล่น
จากบทสัมภาษณ์ของทักษิณเองที่ให้กับไซต์ arabianbusiness ในวันเดียวกันสร้างความสะท้านแผ่นดินไทยแต่กลับหลุดข่าวที่สะท้านใจว่าประเทศอังกฤษได้อายัดทรัพย์ไป 4 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 1.4 แสนล้านบาทตามอัตราแลกเปลี่ยน 35 บาท/ดอลลาร์ในปัจจุบัน!) เพื่อเพิ่มปัญหาให้กับทักษิณ สร้างให้เราได้สับสนกับ 7.3 หมื่นล้านบาทในเมืองไทยหรือไม่ ? ก็ไม่น่าจะใช่ หรือว่าทักษิณซ่อนทรัพย์สินในต่างประเทศ รอฟอกเงิน ถ้าเป็นเงินซ่อนจริง เอามาจากไหน ทำไมจึงมากขนาดนับแสนล้านบาท ? เพื่อปกปิดเรื่องนี้หรือไม่ จึงต้องกลับมาสร้างความวุ่นวายในชาติ คนๆหนึ่งได้รับพระคุณแผ่นดินมหาศาลกว่าใครๆในประวัติศาสตร์ทั้งพระคุณบนโต๊ะ และพระคุณแผ่นดินที่นำไปซุกซ่อน แต่เมื่อต้องจำนนต่อหลักฐานของการกระทำผิดกลับเลือกที่จะสร้างความปั่นป่วน บิดเบือน ยอมเสียสละความสงบสุขของแผ่นดินแม่เพียงเพื่อปกปิดความผิดของตนเอง
ในขณะที่คนธรรมดาทั่วๆไปมีความสุขมากขึ้นหลังพันธมิตรฯ ยุติชุมนุม - แต่ก็ไม่วายที่จะมีประชาชนบางส่วนห่วงการเมืองไม่เปลี่ยนขั้ว พวกเขามั่นใจว่าสถานการณ์ทางการเมืองต่อจากนี้ไปจะดีขึ้น รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจและสังคม คาดหวังกันมากว่านักการเมืองและรัฐบาลชุดใหม่ควรจะตั้งใจทำงาน และทำทุกอย่างเพื่อให้ชาติเกิดความสงบสุข นพ.ชูชัย ศุภวงศ์อดีตรองประธานคณะกรรมาธิการยกร่าง รธน.50 กล่าวแสดงความยินดีและขอบคุณแกนนำและเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ช่วยกันปกป้องคุ้มครอง รธน.50 ทำให้เจตนารมณ์ของประชาชน 14.7 ล้านเสียงที่ร่วมลงประชามติยังดำรงอยู่ และทำให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเครื่องมือในการปัดกวาดการเมืองไทยให้สะอาดมากขึ้น หากไม่มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ รธน.ฉบับนี้จะถูกล้มล้างแก้ไขไปแล้ว นักการเมืองที่โกงบ้านกินเมืองจะกำเริบเสิบสานมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อทำการปล้นทำลายเมืองแล้ว ก็สามารถแก้กฎหมายให้ตนและพวกพ้นผิดได้เป็นรัฐธรรมฉบับแรกที่ทำให้นายกรัฐมนตรี 2 คนในรอบปีพ้นจากตำแหน่งไปและอดีตนายกรัฐมนตรี 1 คนถูกศาลสั่งจำคุกจนต้องต้องหนีออกนอกประเทศ รวมทั้งทำให้นักการเมืองที่ใช้เงินสกปรกซื้อเสียงเข้าไปยึดอำนาจรัฐแล้วใช้อำนาจโดยมิชอบก็ต้องหลุดพ้นจากวงจรการเมืองไป อีกทั้งยังปกป้องไม่ให้เสียดินแดนบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้ขบวนการตุลาการภิวัฒน์ทำงานลำพัง ปราศจากการหนุนเสริมจากประชาภิวัฒน์ ก็ยากจะต้านทานอำนาจเผด็จการทุนนิยมสามานย์ได้
นอกจากนี้ยังถือได้ว่าเป็นเรื่องน่าแปลกที่ผู้ชุมนุมทั้งหมดของกลุ่มพันธมิตรฯ กลับไม่ได้เงินทอง หรือทรัพย์สินอะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านเลย ตรงกันข้าม ทุกคนมีแต่เสียเงิน เสียแรง เสียเวลา เสียน้ำตา เสียอวัยวะ เสียเลือดเนื้อ เสี่ยงชีวิต เสียค่ารถไปกลับบ้านไม่รู้กี่รอบ ท่ามกลางเสียงก่นด่าของสื่อและคนบางกลุ่มในบ้านเมืองที่โวยวายว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ทำประเทศชาติเสียหายหมดแล้ว กลุ่มพันธมิตรฯ ทำเศรษฐกิจฉิบหาย ฯลฯ แต่สิ่งที่พวกเราเสียไปนั้น คุ้มเกินคุ้มกับสิ่งที่ประเทศชาติได้กลับมา รัฐบาลทรราชได้ถูกโค่นให้ล้มครืนลงไปอีกครั้ง ความพิเศษของการชุมนุมพันธมิตรฯ ที่ถือเป็นที่สุดแห่งการชุมนุมที่มีการชุมนุมยาวนานที่สุด 192 วันที่เคยมีในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่เข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวกับสนามบินและพักหลักพักค้างอยู่ชุมนุมในนั้นโดยมีน้ำดื่มที่ได้จากการบริจาคมากที่สุดกองพะเนินเทินทึกอยู่ทั่วไปเรียกได้ว่าเป็นอนุสาวรีย์น้ำกันเลยทีเดียว เป็นการชุมนุมที่สั่งได้ เพราะไม่ว่าจะขาดเหลืออะไร แค่ประกาศบนเวที สิ่งของนั้นๆ ก็จะมาทันที มีผู้คนมาจากหลากหลายจังหวัดทั่วภูมิภาค ตั้งแต่ยะลายันเชียงราย มีหน่วยพยาบาลมากที่สุดเท่าที่เคยมีการจัดชุมนุมกันมา เป็นการชุมนุมที่อบอุ่นและมีน้ำใจไหลหลั่งอยู่ทั่วไป
02 ธันวาคม 2551
คนจนยิ่งจนมากขึ้น
สังคมไทยในระบบการเมืองเดิม แย่จนถึงที่สุด นักการเมืองที่เข้ามาปกครองประเทศ ล้วนแต่ไม่มีความรู้ แล้วยังเข้ามาโกงกินคอรัปชั่นอีก ประสบการณ์เกือบ 70 ปีเห็นแต่นักการเมืองที่เข้ามาทุจริตคอรัปชั่นหาผลประโยชน์ ขาดความรู้ ความจริงใจจนดูเหมือนไม่มีความหวังแล้วสำหรับประเทศไทย ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นนักการเมืองทำให้เราคนไทยทั้งหลายทั้งปวงซึมซับโดยไม่รู้ตัวว่าเรากำลัฃมีสังคมที่มีความเสื่อม สังคมในชนบทอ่อนแอ อ่อนแรง ขาดความรู้ พึ่งตนเองไม่ได้เพราะถูกดูดทรัพยากรทั้งทรัพย์สิน ไร่นา จนถึงคนที่ต้องเข้าไปขายแรงงาน หรือเป็นโสเภณีในเมืองกรุง คนจนยิ่งจนมากขึ้น คนรวยยิ่งรวยมากขึ้น
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง กระทรวงมหาดไทยได้เขียนบทความชี้คนโลภอำนาจบริหาร หวังครอบงำกลไกรัฐ-เศรษฐกิจ-การเมืองเบ็ดเสร็จ ทำลายความรักและกลมเกลียวของคนไทย มีความโลภทางการบริหารจัดการทางกลไกของความเป็นรัฐจนอุดมการณ์ประชาธิปไตยกลับกลายเป็นเรื่องของจินตนาการในรูปแบบของการโฆษณาชวนเชื่อหาใช่ประชาธิปไตยอันเป็นอุดมคติของการทำความดีและการดำรงรักษาประเทศชาติรวมถึงทัศนคติแบบทุนนิยมเอารัดเอาเปรียบและหวังมีอิทธิพลเข้าครอบงำระบบทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองแบบเบ็ดเสร็จโดยไม่ให้ความสำคัญต่ออัตลักษณ์ของชาติ จากที่มีความเป็นชาติของคนไทยที่เป็นหนึ่งเดียวไม่เคยปรากฏความแบ่งแยกในเรื่องของภาคจังหวัด ไม่เคยมียุคไหนที่แบ่งภาคกันสุดโต่งเท่ายุคนี้
ผู้เป็นข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ถือได้ว่าเป็นกลุ่มอาชีพบุคคลที่มีความรู้ความสามารถจึงเป็นพลเมืองแบบอย่างทางสังคมต้องมีกระบวนทัศน์มาอย่างต่อเนื่องยาวนานมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมุ่งสร้างคุณความดีให้เกิดขึ้นแก่สังคม ข้าราชการจะต้องยึดมั่นความเป็นข้าแผ่นดินไม่ใช่คนของพรรคการเมืองต้องมีความจงรักภักดีที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และประเทศชาติและจะต้องร่วมกับประชาชนชาวไทยเสริมสร้างชาติบ้านเมืองด้วยกันโดยกำหนดกรอบทางแนวคิดของการดำเนินชีวิตให้มีระเบียบ มีคุณค่าของความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อเป็นเกราะกำบังขวางกั้นการถูกหลอกลวงหรือการชี้นำอย่างปราศจากคุณธรรม ยังผลให้การพัฒนาประชาธิปไตยไม่สามารถดำเนินไปสู่จุดหมาย
ทักษิณ ชินวัตรไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนฉลาดแต่มันช่างกล้าที่จะทุ่มทุนซื้อเสียงอย่างมหาศาล..ซื้อคนด้วยเงินอย่างมากมายมหาศาล แก้ไขกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตนและพวก ลงทุนทำธุรกิจโดยเอาประเทศเป็นเดิมพัน เสี่ยงทำอะไรที่ผิดกฎหมายได้อย่างไม่เกรงกลัวความผิดเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์มหาศาลแม้สิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้องอย่างชัดเจนอันเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวและหาไม่ได้ง่ายๆในดินแดนพุทธศาสนา...คนแบบนี้....มีเพียง 1:60กว่าล้านคน ในแผ่นดินไทยเท่านั้น.. แค่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในแผ่นดินไว้ด้วยอำนาจเงินก็สามารถ ทำอนันตริยกรรม.ทำลายสงฆ์ให้แตกแยก ทำให้คนไทยแตกแยกเป็น2ฝ่าย ฝ่ายที่นิยมทักษิณ..เห็นดีเห็นงามในความชั่วเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ทำให้คนไทยตายไปเป็นจำนวนถึง5000คนจากคำว่ายาเสพติด ชื่นชมการเล่นการพนันของคนไทยด้วยหวยบนดิน ขายสมบัติชาติ เอื้อให้พรรคพวกร่ำรวยตามกัน จาบจ้วงสถาบันจนอยากตั้งตนเป็นใหญ่ มันไม่รักชาติรักแผ่นดิน !
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง กระทรวงมหาดไทยได้เขียนบทความชี้คนโลภอำนาจบริหาร หวังครอบงำกลไกรัฐ-เศรษฐกิจ-การเมืองเบ็ดเสร็จ ทำลายความรักและกลมเกลียวของคนไทย มีความโลภทางการบริหารจัดการทางกลไกของความเป็นรัฐจนอุดมการณ์ประชาธิปไตยกลับกลายเป็นเรื่องของจินตนาการในรูปแบบของการโฆษณาชวนเชื่อหาใช่ประชาธิปไตยอันเป็นอุดมคติของการทำความดีและการดำรงรักษาประเทศชาติรวมถึงทัศนคติแบบทุนนิยมเอารัดเอาเปรียบและหวังมีอิทธิพลเข้าครอบงำระบบทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองแบบเบ็ดเสร็จโดยไม่ให้ความสำคัญต่ออัตลักษณ์ของชาติ จากที่มีความเป็นชาติของคนไทยที่เป็นหนึ่งเดียวไม่เคยปรากฏความแบ่งแยกในเรื่องของภาคจังหวัด ไม่เคยมียุคไหนที่แบ่งภาคกันสุดโต่งเท่ายุคนี้
ผู้เป็นข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ถือได้ว่าเป็นกลุ่มอาชีพบุคคลที่มีความรู้ความสามารถจึงเป็นพลเมืองแบบอย่างทางสังคมต้องมีกระบวนทัศน์มาอย่างต่อเนื่องยาวนานมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมุ่งสร้างคุณความดีให้เกิดขึ้นแก่สังคม ข้าราชการจะต้องยึดมั่นความเป็นข้าแผ่นดินไม่ใช่คนของพรรคการเมืองต้องมีความจงรักภักดีที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และประเทศชาติและจะต้องร่วมกับประชาชนชาวไทยเสริมสร้างชาติบ้านเมืองด้วยกันโดยกำหนดกรอบทางแนวคิดของการดำเนินชีวิตให้มีระเบียบ มีคุณค่าของความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อเป็นเกราะกำบังขวางกั้นการถูกหลอกลวงหรือการชี้นำอย่างปราศจากคุณธรรม ยังผลให้การพัฒนาประชาธิปไตยไม่สามารถดำเนินไปสู่จุดหมาย
ทักษิณ ชินวัตรไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนฉลาดแต่มันช่างกล้าที่จะทุ่มทุนซื้อเสียงอย่างมหาศาล..ซื้อคนด้วยเงินอย่างมากมายมหาศาล แก้ไขกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตนและพวก ลงทุนทำธุรกิจโดยเอาประเทศเป็นเดิมพัน เสี่ยงทำอะไรที่ผิดกฎหมายได้อย่างไม่เกรงกลัวความผิดเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์มหาศาลแม้สิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้องอย่างชัดเจนอันเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวและหาไม่ได้ง่ายๆในดินแดนพุทธศาสนา...คนแบบนี้....มีเพียง 1:60กว่าล้านคน ในแผ่นดินไทยเท่านั้น.. แค่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในแผ่นดินไว้ด้วยอำนาจเงินก็สามารถ ทำอนันตริยกรรม.ทำลายสงฆ์ให้แตกแยก ทำให้คนไทยแตกแยกเป็น2ฝ่าย ฝ่ายที่นิยมทักษิณ..เห็นดีเห็นงามในความชั่วเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ทำให้คนไทยตายไปเป็นจำนวนถึง5000คนจากคำว่ายาเสพติด ชื่นชมการเล่นการพนันของคนไทยด้วยหวยบนดิน ขายสมบัติชาติ เอื้อให้พรรคพวกร่ำรวยตามกัน จาบจ้วงสถาบันจนอยากตั้งตนเป็นใหญ่ มันไม่รักชาติรักแผ่นดิน !
01 ธันวาคม 2551
ลุงแม้น
ลุงแม้นเกิดและโตในกรุงเทพ เมืองหลวงของไทยที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นองค์พระประมุข ศูนย์รวมใจของไทยทั้งชาติ ลุงแม้นร่ำเรียนจนจบ เข้ารับราชการ ทำงานด้วยความภาคภูมิใจในความเป็นข้ารองพระบาทของพระองค์มาตลอดชีวิตตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ออกตระเวณโยกย้ายไปรองพระบาทตามหัวเมืองใหญ่ๆหลายต่อหลายแห่งตลอดชีวิตการเป็นข้ารองพระบาทของพระองค์ตราบจนเกษียนอายุราชการเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ๆได้เข้ารับใช้เบื้องพระยุคลบาทแทนเมื่อกันยายนที่แล้วนี้เอง ลุงแม้นจึงได้กลับมาใช้ชีวิตในเมืองหลวงศิวิไลซ์ใหญ่โตสวยสง่าทันสมัยนี้อีกครั้ง
ร้านอาหารตั้งอยู่ ณ ใจกลางกรุงเทพฯเป็นร้านประจำที่ลุงแม้นเข้าไปใช้บริการ รสชาดดี ลูกค้าหลากหลายติดใจใช้บริการกันอยู่เนืองแน่น เป็นร้านที่ค่อนข้างจะใหญ่โตพอสมควรจนสามารถติดตั้งโทรทัศน์ได้ถึงสองเครื่องโดยไม่รบกวนกัน โทรทัศน์เครื่องหนึ่งเปิดให้ลูกค้าได้รับชมรายการปรกติทั่วไป ส่วนอีกเครื่องหนึ่งนั้นทันสถานการณ์ เปิดรายการของเอเอสทีวีตลอดวัน ลุงแม้นรู้สึกเฉยๆ เมื่อได้ยินเสียงจากรายการ จากผู้ประกาศ เหตุการณ์ต่างๆที่ได้ยินได้เห็นจากหน้าจอเอเอสฯ นั้น ลุงแม้นเองติดจะไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำไปว่าไอ้ที่ได้ยินนั่นเป็นเรื่องจริงกลับคิดไปว่าใส่สีตีไข่เพื่อให้ได้มวลชนกระมัง
บ่ายวันหนึ่งลุงแม้นเข้าไปใช้บริการที่ร้านอาหารนั้นเช่นเคย ลูกค้าก็คับคั่งตามปรกติ ลุงแม้นสั่งอาหารจานโปรดมารับทาน ในระหว่างนั้นมีชายฉกรรจ์ 5-6 คนเดินกร่างเข้ามาในร้านด้วยกริยาไม่พอใจเดินมาหยุดที่หน้าจอโทรทัศน์ที่ผู้ประกาศกำลังสัมภาษณ์ผู้ประสพเหตุลอบทำร้ายเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา
"ใครบอกให้เปิดช่องนี้" ชายคนที่เดินนำเข้ามาตะคอกเสียงดุดันพลางชี้ไปที่โทรทัศน์เครื่องนั้น
" .... " เจ้าของร้านตะลึงงัน เนื่องจากไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ลูกค้าทั้งร้านตกใจมองหน้ากันเลิ่กลั่กๆ รวมทั้งลุงแม้น
" ม..! อย่าได้เปิดช่องนี้อีกเป็นอันขาดเชียวนะ " ชายคนนั้นยังไม่เลิกถ่อย ลูกค้าทั้งร้านก็ค่อยๆทะยอยหลบเลี่ยงออกไปจากร้าน
เขาปิดสวิทช์โทรทัศน์นั้นอย่างกระแทกกระทั้น พลันที่ตาของเขาเหลือบไปเจอพระบรมฉายาลักษณ์ขององค์พระประมุขที่ลุงแม้นเคารพเทิดทูนยิ่งชีวิตประดิษฐานอยู่เหนือโทรทัศน์เครื่องนั้น เขาคนนั้นเบิกตาโพลง กระชากพระฉายาลักษณ์ทั้งสองลงมาทิ้งลงที่พื้น พร้อมกันนั้นเขาได้สบถด่าหยาบคายชนิดที่ลุงแม้นและชาวไทยทั้งหลายไม่คาดคิดว่าจะได้มีโอกาสแม้แต่จะรับฟังคนที่สบถด่าศูนย์รวมใจของไทยทั้งชาติได้หยาบและถ่อยถึงปานนี้
" .... " เจ้าของร้านยังคงตะลึงงันและจะถลาเข้าหยุดการกระทำอุบาทว์นั้น แต่ยังมิได้กระทำอะไร ไวเท่าความคิดไอ้หนุ่มจากนรกนั่นควักปืนขึ้นนกแล้วเล็งไปยังเจ้าของร้านที่ยังอยู่หลังโต๊ะเก็บเงินนั่น
" XXXX " ไอ้หนุ่มนรกยังคงด่าอย่างต่อเนื่อง และ วลีเด็ดก็หลุดออกมา
" พวกม..! ระวังไว้เถิดเมื่อสมเด็จทักษิณเสด็จกลับมาได้เมื่อไร . ระวังตัวไว้เถอะ ... ม...! "
จากนั้นสัตว์ทั้ง 6 ตัวก็จากไปในเหตุการณ์ที่กระชับสั้นได้ใจท่ามกลางความตื่นตะลึงของลูกค้าทั้งร้านที่เหลืออยู่ ถึงตอนนี้ลูกค้าในร้านแทบจะไม่เหลือหรอแล้ว รวมทั้งลุงแม้นที่นั่งกำหมัด เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ เชื่อสนิทใจเลยว่าสิ่งที่ตนได้รับรู้และต่อต้านอยู่จากการถ่ายทอดสดนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเท่านั้น แตาในวันนี้ลุงแม้นได้ยินเต็มสองหู ได้ดูของจริงๆ อย่างใกล้ชิด เจ้าของร้านเองค่อยๆ ทรุดลงนั่งอย่างอ่อนแรง ลูงแม้นจึงได้ลุกไปปรึกษากับเจ้าของร้านตกลงกันว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป คำตอบที่ลุงแม้นกับเจ้าของร้านเห็นร่วมกันนั่นคือการร้องเรียนต่อเวทีในรายการที่ถ่ายทอดทางเอเอสทีวีนั่นเอง เพราะทุกวันนี้กลุ่มคนที่จาบจ้วงเบื้องสูงทั้งหลายนั้นก็ยังลอยนวลอยู่ ส่วนลุงแม้นนั้นแม้ว่าจะได้ร้องเรียนป็นจดหมายถึงแกนนำฯแล้วนั้น ลุงแม้นก็ได้ร้องเรียนทางจดหมายไปยังบรรดาข้าราชการตำแหน่งใหญ่ๆโตๆ ที่ลุงแม้นรู้จักรวมทั้งผู้บัญชาการกองทัพบกด้วย ลุงแม้นเป็นอดีตข้าราชการ เป็นข้าในพระองค์ เป็นอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองใหญ่ๆที่เพิ่งเกษียนอายุราชการเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง!
เมื่อพูดถึง “ทักษิณ ชินวัตร” คนที่รักทักษิณอาจเห็นแต่ด้านดีที่พวกตนได้ประโยชน์โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมทั้งหลาย บางคนอาจไม่สนใจว่าทักษิณจะทุจริตคอร์รัปชันหรือไม่ ขอเพียงเขาช่วยให้พวกตนอยู่ได้-มีตังค์ใช้ แต่สำหรับคนที่เกลียดทักษิณคือพวกที่ยอมไม่ได้ที่ผู้นำประเทศ ไร้ซึ่งคุณธรรม-จริยธรรม แถมทุจริตใช้อำนาจมิชอบเอื้อประโยชน์ให้ตนและพวกพ้อง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเชื่ออยู่ว่า ทั้งคนที่รักและเกลียดทักษิณจะรู้สึกไม่ต่างกันคือเทิดทูนสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือสิ่งอื่นใดหากผู้ใดจาบจ้วง-ล่วงเกิน เราจะไม่ยอมและไม่ให้อภัยต่อบุคคลนั้น ปัญหาคือ ตลอด 4 ปีมานี้ (2548-2551) ทักษิณได้กระทำการที่กระทบต่อสถาบันนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งในและต่างประเทศ คำถามคือ คนที่พร่ำบอกว่ารักในหลวงได้ทำอะไรเพื่อปกป้องพระองค์บ้าง? และคนที่รักทักษิณยังรู้สึกดีกับนักโทษชายผู้นี้อยู่หรือ?
ตั้งแต่ทักษิณ ชินวัตรยังเรืองอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กระทั่งหมดอำนาจลงหลังถูกรัฐประหารยึดอำนาจจวบจนปัจจุบันที่เปลี่ยนสถานะเป็นนักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี นอกจากไม่เห็นว่าทักษิณได้แสดงอะไรที่ยืนยันถึงความจงรักภักดีดังที่ปากพร่ำบอกแล้ว กลับเห็นว่าทักษิณมีอาการหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยพูดจาก้าวล่วงหรือมีพฤติกรรมเสมือน “ตีตนเสมอสถาบัน” ลามไปสู่การ “ดึงสถาบันลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง”เพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมืองของตน และล่าสุด ถึงขั้นเริ่มเดินเกม “ต่อรอง”กับสถาบันแล้ว!
1 กรณีทำบุญประเทศในวัดพระแก้วยังบั่นทอนจิตใจคนไทยไม่หายไม่บังควรอย่างยิ่งเพราะราวกับตีตนเสมอสถาบันนอกจากทักษิณจะแต่งกายไม่สุภาพ(ไม่ใส่ชุดปกติขาว)แล้วยังนั่งล้ำหน้าผู้ร่วมงานคนอื่นโดยมีพรมแดงรองพื้น และมีเจ้าหน้าที่คุกเข่าให้ทักษิณกรวดน้ำซึ่งทักษิณพยายามอ้างความชอบธรรมในการทำบุญดังกล่าว
2 ทักษิณก็ก้าวล่วงสถาบันซ้ำอีกด้วยการพูดจาบจ้วงเบื้องสูงในงาน "นายกฯ พบแท็กซี่"ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมากเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2548 ในงานดังกล่าวนอกจากทักษิณจะหลุดคำหยาบคายหลายคำ เช่น คำว่า “แม่ง” , “ตายห่า” แถมยังลงท้ายประโยคด้วยคำว่า “วะ”อยู่หลายครั้งแล้วทักษิณ ยังประกาศด้วยความมันในอารมณ์เพื่อยืนยันถึงความจงรักภักดีที่ตนมีต่อสถาบันกษัตริย์ด้วยว่า “…บางช่วงนี่นะ ให้คนนั่งแท็กซี่บอกว่าเนี่ยผมกำลังเหลิงจะเป็นประธานาธิบดี ปัดโธ่! เป็นแค่นี้เหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้ว ทุกวันนี้อยู่ด้วยจิตรับผิดชอบ แล้วเอะอะอะไรก็ แหม! หาว่าผมไม่จงรักภักดี ปัดโธ่! ถ้านายกฯ ไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดี”
3 ต่อมาไม่นานครอบครัวชินวัตรก็ขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กของสิงคโปร์ โกยเงินเข้ากระเป๋าทันที 7.3 หมื่นล้าน การขายหุ้นดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนว่าทักษิณไร้จริยธรรมและใช้อำนาจโดยมิชอบแก้กฎหมายให้ต่างชาติถือครองหุ้นในกิจการโทรคมนาคมได้เพิ่มขึ้นจากไม่เกิน 25% เป็นไม่เกิน 49% เพื่อให้ตนขายหุ้นดังกล่าวออกไปได้ 49% แถมการขายหุ้นได้ 7.3 หมื่นล้านยังไม่เสียภาษีให้รัฐสักบาท นับเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้หลายภาคส่วนในสังคมออกมาเรียกร้องให้ทักษิณลาออก แต่
4 ทักษิณก็ยืนยันไม่ยุบสภา-ไม่ลาออกแถมประกาศผ่านรายการวิทยุ นายกฯ คุยกับประชาชนเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2549 ในลักษณะจาบจ้วงและตีตนเสมอสถาบันกษัตริย์อีก “คนที่จะให้ผมออกจากตำแหน่งนายกฯ ได้ ไม่ต้องหลายคนเลย คนเดียวให้ออกได้เลยนั่นคือพระเจ้าอยู่หัว ถ้าพระเจ้าอยู่หัวกระซิบผมรับสั่งคำเดียว ทักษิณออกเถอะ รับรองกราบพระบาทออกแน่นอน” สุดท้ายก็แค่คำโกหกเหมือนเรื่องขายหุ้นที่โกหกว่าจะไม่ขายกับยุบสภาเมื่อวันที่ 24 ก.พ.2549
5 ไม่เพียงคำพูดดังกล่าวยังมีภาพบาดใจเกิดขึ้นตามมาอีก เมื่อทักษิณไปพบประชาชนที่อยุธยาแล้วมีประชาชนจำนวนมากถือธงที่มีคำว่า “ทรงพระเจริญ” มาโบกต้อนรับและให้กำลังใจ
6 หลังพรรคไทยรักไทยถูกอัยการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคได้แค่ 2 วัน (29 มิ.ย.)ทักษิณก็ออกอาการไม่พอใจ-ฟาดงวงฟาดงากล่าวหา “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”ว่าเป็นผู้ที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย “ความวุ่นวายมันเกิดจากหลายอย่าง อย่างหนึ่งเนี่ยเมื่อใดเป็นทฤษฎีบริหารเลยนะเมื่อใดองค์กรตามปกติถูกองค์กรที่อยู่นอกระบบครอบงำหรือมีอิทธิพลมากกว่าองค์กรปกตินั้นวุ่นวายหรือถ้าจะแปลเป็นไทยชัดๆ ก็คือวันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ในรัฐธรรมนูญคือบุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป”
7 สังคมถามไถ่กันว่าใครคือ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” อีกครั้งระหว่างให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นที่ประเทศสิงคโปร์ในวันที่ 15 ม.ค.2550 รอยเตอร์ได้รายงานว่าคำให้สัมภาษณ์ฉบับเต็มของทักษิณที่ผ่านซีเอ็นเอ็นนั้นมีการขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่เคารพรักของประเทศไทยเลิกพูดถึงอดีตเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของความสามัคคีในชาติ ทักษิณคงจะสื่อให้ต่างชาติเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ทักษิณต้องอยู่นอกประเทศ
8 นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ทักษิณถูกมองว่าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังบทความที่ไม่บังควรด้วยคือกรณีที่หนังสือพิมพ์ดิเอเชียน วอลล์สตรีท เจอร์นัล-นิตยสารดิ อิโคโนมิสต์ และนิตยสารนิวสวีก ได้ตีพิมพ์บทความวิพากษ์วิจารณ์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “การบริหารด้านเศรษฐกิจของอดีตนายกฯทักษิณหรือ “ทักษิโณมิกส์” ได้รับการยอมรับเชื่อถือจากประเทศต่างๆ มากกว่า “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง” เพราะได้รับการพิสูจน์แล้ว” ในระหว่างที่เขาอยู่ระหว่างเดินสายประเทศต่างๆ และตระเวนให้สัมภาษณ์สื่อโดยถึงกับลงทุนจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ชื่อดังของสหรัฐฯ อย่างน้อย 2 บริษัทเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของเขาและทำให้เขาได้ให้สัมภาษณ์สื่อของประเทศต่างๆ อย่างที่ต้องการ
9 ทักษิณยังคงพูดพาดพิงสถาบันไม่เลิกให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์ฉบับวันที่ 1 ก.พ.2550 ในลักษณะที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระอยู่หัวทรงสนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 โดยเมื่อทักษิณตอบไทม์ว่า “มันก็เหมือนกับการทำรัฐประหารในอดีตของไทยที่ผ่านมา 17 ครั้ง ตอนแรกประชาชนอาจรู้สึกตกใจจากนั้นพวกเขาจะเริ่มแสดงความวิตกกังวลแล้วจึงเริ่มยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่(การรัฐประหาร)ได้รับการรับรองจากองค์พระมหากษัตริย์ พวกเขาอยู่ในกรอบระเบียบมากๆ พวกเขาเชื่อฟัง…”
10 หลังทักษิณถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 2 ปีในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯ ทักษิณก็พูดระหว่างโฟนอินเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยบอกว่า “...เขาสั่งจำคุกผม 2 ปี อายุความ 10 ปี ...มันต้องการจัดการกับคนคนเดียว โดยเอากระบวนการยุติธรรมให้ยุติความเป็นธรรมทั้งหมด ...ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอกครับ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น จริงไหมครับ”
11 ล่าสุดทักษิณกดดันให้มีการพระราชทานอภัยโทษให้ตัวเองอย่างชัดเจนด้วยการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ อาราเบียน บิซิเนส ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี)เมื่อวันที่ 24 พ.ย. โดยนอกจากทักษิณจะกล่าวโจมตีประเทศอังกฤษที่ถอนวีซ่าตนและคุณหญิงพจมารว่าไม่เคารพค่านิยมเรื่องประชาธิปไตยแล้วเขายังพูดถึงเงื่อนไขที่จะทำให้ตัวเองได้กลับประเทศไทยว่า “ผมคิดว่าหลายๆ อย่างขึ้นอยู่กับอำนาจของประชาชน หากพวกเขารู้สึกว่า พวกเขาอยู่อย่างยากลำบากและต้องการให้ผมช่วย ผมก็จะกลับไป หากในหลวงทรงเห็นว่าผมยังสามารถทำคุณประโยชน์ได้ ผมจะกลับไป และพระองค์อาจจะพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผม แต่ถ้าพวกเขาไม่ต้องการผม และพระองค์ทรงเห็นว่าผมกลับไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมก็จะอยู่ที่นี่(เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)ทำธุรกิจไป”
เราคนไทยได้เห็นพฤติกรรมและคำพูดของทักษิณที่พาดพิงสถาบันมาครั้งแล้วครั้งเล่าตลอด 4 ปีมานี้(2548-2551) ยังเชื่อได้หรือว่า บุคคลผู้นี้จงรักภักดีดังที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ เคยการันตี ยังเชื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ น้องเขย ทักษิณได้หรือที่การันตี หรือยังเชื่อคำสรรเสริญเยินยอของทาสรักทักษิณอย่างนายวีระ มุสิกพงศ์ได้หรือในเมื่อนายวีระก็เป็นเพียงอดีตผู้ต้องขังที่หมิ่นสถาบันและปัจจุบันก็ยังเป็นผู้ต้องหาหมิ่นสถาบันซ้ำอีก การหลงทางผ่านเข้าไปในเวป..ฟ้าเดียวกัน..ตอนแรกก็ว่าจะไม่เข้าไปรับรู้..แต่..เคยได้ยินคำบอกเล่าถึงความเลวทรามของฟ้าเดียวกัน..ก็เลยลองเข้าไปเสียหน่อย..และแล้วหัวใจของคนไทยก็เหมือนโดนทำร้ายเพราะสารพัดความคิดเห็นที่จาบจ้วงดวงใจอันเป็นที่รักของชาวไทยที่มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไทยทุกคน...ไม่เคยคิดเลยว่าประเทศไทยยังมีคนเหล่านี้อาศัยอยู่ภายใต้ร่มพระบารมี..คำถามแรกที่ได้ก็คือ...ทหารและตำรวจที่ปฏิญาณตนว่าเป็นทหาร ตำรวจ ของพระเจ้าแผ่นดินนั้นอยู่ที่ไหนทำไมถึงได้ปล่อยให้พวกมันทำร้ายดวงใจของคนไทยได้ขนาดนี้
...นาทีนี้ อยากถามดังๆ ว่า คนไทยที่ปากบอกว่า “รักในหลวง” และผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหลายที่พร่ำบอกว่า จะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยังหลับอยู่หรือไร จึงไม่ทำอะไรเพื่อปกป้องสถาบันกันบ้าง!!
ร้านอาหารตั้งอยู่ ณ ใจกลางกรุงเทพฯเป็นร้านประจำที่ลุงแม้นเข้าไปใช้บริการ รสชาดดี ลูกค้าหลากหลายติดใจใช้บริการกันอยู่เนืองแน่น เป็นร้านที่ค่อนข้างจะใหญ่โตพอสมควรจนสามารถติดตั้งโทรทัศน์ได้ถึงสองเครื่องโดยไม่รบกวนกัน โทรทัศน์เครื่องหนึ่งเปิดให้ลูกค้าได้รับชมรายการปรกติทั่วไป ส่วนอีกเครื่องหนึ่งนั้นทันสถานการณ์ เปิดรายการของเอเอสทีวีตลอดวัน ลุงแม้นรู้สึกเฉยๆ เมื่อได้ยินเสียงจากรายการ จากผู้ประกาศ เหตุการณ์ต่างๆที่ได้ยินได้เห็นจากหน้าจอเอเอสฯ นั้น ลุงแม้นเองติดจะไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำไปว่าไอ้ที่ได้ยินนั่นเป็นเรื่องจริงกลับคิดไปว่าใส่สีตีไข่เพื่อให้ได้มวลชนกระมัง
บ่ายวันหนึ่งลุงแม้นเข้าไปใช้บริการที่ร้านอาหารนั้นเช่นเคย ลูกค้าก็คับคั่งตามปรกติ ลุงแม้นสั่งอาหารจานโปรดมารับทาน ในระหว่างนั้นมีชายฉกรรจ์ 5-6 คนเดินกร่างเข้ามาในร้านด้วยกริยาไม่พอใจเดินมาหยุดที่หน้าจอโทรทัศน์ที่ผู้ประกาศกำลังสัมภาษณ์ผู้ประสพเหตุลอบทำร้ายเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา
"ใครบอกให้เปิดช่องนี้" ชายคนที่เดินนำเข้ามาตะคอกเสียงดุดันพลางชี้ไปที่โทรทัศน์เครื่องนั้น
" .... " เจ้าของร้านตะลึงงัน เนื่องจากไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ลูกค้าทั้งร้านตกใจมองหน้ากันเลิ่กลั่กๆ รวมทั้งลุงแม้น
" ม..! อย่าได้เปิดช่องนี้อีกเป็นอันขาดเชียวนะ " ชายคนนั้นยังไม่เลิกถ่อย ลูกค้าทั้งร้านก็ค่อยๆทะยอยหลบเลี่ยงออกไปจากร้าน
เขาปิดสวิทช์โทรทัศน์นั้นอย่างกระแทกกระทั้น พลันที่ตาของเขาเหลือบไปเจอพระบรมฉายาลักษณ์ขององค์พระประมุขที่ลุงแม้นเคารพเทิดทูนยิ่งชีวิตประดิษฐานอยู่เหนือโทรทัศน์เครื่องนั้น เขาคนนั้นเบิกตาโพลง กระชากพระฉายาลักษณ์ทั้งสองลงมาทิ้งลงที่พื้น พร้อมกันนั้นเขาได้สบถด่าหยาบคายชนิดที่ลุงแม้นและชาวไทยทั้งหลายไม่คาดคิดว่าจะได้มีโอกาสแม้แต่จะรับฟังคนที่สบถด่าศูนย์รวมใจของไทยทั้งชาติได้หยาบและถ่อยถึงปานนี้
" .... " เจ้าของร้านยังคงตะลึงงันและจะถลาเข้าหยุดการกระทำอุบาทว์นั้น แต่ยังมิได้กระทำอะไร ไวเท่าความคิดไอ้หนุ่มจากนรกนั่นควักปืนขึ้นนกแล้วเล็งไปยังเจ้าของร้านที่ยังอยู่หลังโต๊ะเก็บเงินนั่น
" XXXX " ไอ้หนุ่มนรกยังคงด่าอย่างต่อเนื่อง และ วลีเด็ดก็หลุดออกมา
" พวกม..! ระวังไว้เถิดเมื่อสมเด็จทักษิณเสด็จกลับมาได้เมื่อไร . ระวังตัวไว้เถอะ ... ม...! "
จากนั้นสัตว์ทั้ง 6 ตัวก็จากไปในเหตุการณ์ที่กระชับสั้นได้ใจท่ามกลางความตื่นตะลึงของลูกค้าทั้งร้านที่เหลืออยู่ ถึงตอนนี้ลูกค้าในร้านแทบจะไม่เหลือหรอแล้ว รวมทั้งลุงแม้นที่นั่งกำหมัด เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ เชื่อสนิทใจเลยว่าสิ่งที่ตนได้รับรู้และต่อต้านอยู่จากการถ่ายทอดสดนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเท่านั้น แตาในวันนี้ลุงแม้นได้ยินเต็มสองหู ได้ดูของจริงๆ อย่างใกล้ชิด เจ้าของร้านเองค่อยๆ ทรุดลงนั่งอย่างอ่อนแรง ลูงแม้นจึงได้ลุกไปปรึกษากับเจ้าของร้านตกลงกันว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป คำตอบที่ลุงแม้นกับเจ้าของร้านเห็นร่วมกันนั่นคือการร้องเรียนต่อเวทีในรายการที่ถ่ายทอดทางเอเอสทีวีนั่นเอง เพราะทุกวันนี้กลุ่มคนที่จาบจ้วงเบื้องสูงทั้งหลายนั้นก็ยังลอยนวลอยู่ ส่วนลุงแม้นนั้นแม้ว่าจะได้ร้องเรียนป็นจดหมายถึงแกนนำฯแล้วนั้น ลุงแม้นก็ได้ร้องเรียนทางจดหมายไปยังบรรดาข้าราชการตำแหน่งใหญ่ๆโตๆ ที่ลุงแม้นรู้จักรวมทั้งผู้บัญชาการกองทัพบกด้วย ลุงแม้นเป็นอดีตข้าราชการ เป็นข้าในพระองค์ เป็นอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองใหญ่ๆที่เพิ่งเกษียนอายุราชการเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง!
เมื่อพูดถึง “ทักษิณ ชินวัตร” คนที่รักทักษิณอาจเห็นแต่ด้านดีที่พวกตนได้ประโยชน์โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมทั้งหลาย บางคนอาจไม่สนใจว่าทักษิณจะทุจริตคอร์รัปชันหรือไม่ ขอเพียงเขาช่วยให้พวกตนอยู่ได้-มีตังค์ใช้ แต่สำหรับคนที่เกลียดทักษิณคือพวกที่ยอมไม่ได้ที่ผู้นำประเทศ ไร้ซึ่งคุณธรรม-จริยธรรม แถมทุจริตใช้อำนาจมิชอบเอื้อประโยชน์ให้ตนและพวกพ้อง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเชื่ออยู่ว่า ทั้งคนที่รักและเกลียดทักษิณจะรู้สึกไม่ต่างกันคือเทิดทูนสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือสิ่งอื่นใดหากผู้ใดจาบจ้วง-ล่วงเกิน เราจะไม่ยอมและไม่ให้อภัยต่อบุคคลนั้น ปัญหาคือ ตลอด 4 ปีมานี้ (2548-2551) ทักษิณได้กระทำการที่กระทบต่อสถาบันนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งในและต่างประเทศ คำถามคือ คนที่พร่ำบอกว่ารักในหลวงได้ทำอะไรเพื่อปกป้องพระองค์บ้าง? และคนที่รักทักษิณยังรู้สึกดีกับนักโทษชายผู้นี้อยู่หรือ?
ตั้งแต่ทักษิณ ชินวัตรยังเรืองอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กระทั่งหมดอำนาจลงหลังถูกรัฐประหารยึดอำนาจจวบจนปัจจุบันที่เปลี่ยนสถานะเป็นนักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี นอกจากไม่เห็นว่าทักษิณได้แสดงอะไรที่ยืนยันถึงความจงรักภักดีดังที่ปากพร่ำบอกแล้ว กลับเห็นว่าทักษิณมีอาการหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยพูดจาก้าวล่วงหรือมีพฤติกรรมเสมือน “ตีตนเสมอสถาบัน” ลามไปสู่การ “ดึงสถาบันลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง”เพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมืองของตน และล่าสุด ถึงขั้นเริ่มเดินเกม “ต่อรอง”กับสถาบันแล้ว!
1 กรณีทำบุญประเทศในวัดพระแก้วยังบั่นทอนจิตใจคนไทยไม่หายไม่บังควรอย่างยิ่งเพราะราวกับตีตนเสมอสถาบันนอกจากทักษิณจะแต่งกายไม่สุภาพ(ไม่ใส่ชุดปกติขาว)แล้วยังนั่งล้ำหน้าผู้ร่วมงานคนอื่นโดยมีพรมแดงรองพื้น และมีเจ้าหน้าที่คุกเข่าให้ทักษิณกรวดน้ำซึ่งทักษิณพยายามอ้างความชอบธรรมในการทำบุญดังกล่าว
2 ทักษิณก็ก้าวล่วงสถาบันซ้ำอีกด้วยการพูดจาบจ้วงเบื้องสูงในงาน "นายกฯ พบแท็กซี่"ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมากเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2548 ในงานดังกล่าวนอกจากทักษิณจะหลุดคำหยาบคายหลายคำ เช่น คำว่า “แม่ง” , “ตายห่า” แถมยังลงท้ายประโยคด้วยคำว่า “วะ”อยู่หลายครั้งแล้วทักษิณ ยังประกาศด้วยความมันในอารมณ์เพื่อยืนยันถึงความจงรักภักดีที่ตนมีต่อสถาบันกษัตริย์ด้วยว่า “…บางช่วงนี่นะ ให้คนนั่งแท็กซี่บอกว่าเนี่ยผมกำลังเหลิงจะเป็นประธานาธิบดี ปัดโธ่! เป็นแค่นี้เหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้ว ทุกวันนี้อยู่ด้วยจิตรับผิดชอบ แล้วเอะอะอะไรก็ แหม! หาว่าผมไม่จงรักภักดี ปัดโธ่! ถ้านายกฯ ไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดี”
3 ต่อมาไม่นานครอบครัวชินวัตรก็ขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กของสิงคโปร์ โกยเงินเข้ากระเป๋าทันที 7.3 หมื่นล้าน การขายหุ้นดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนว่าทักษิณไร้จริยธรรมและใช้อำนาจโดยมิชอบแก้กฎหมายให้ต่างชาติถือครองหุ้นในกิจการโทรคมนาคมได้เพิ่มขึ้นจากไม่เกิน 25% เป็นไม่เกิน 49% เพื่อให้ตนขายหุ้นดังกล่าวออกไปได้ 49% แถมการขายหุ้นได้ 7.3 หมื่นล้านยังไม่เสียภาษีให้รัฐสักบาท นับเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้หลายภาคส่วนในสังคมออกมาเรียกร้องให้ทักษิณลาออก แต่
4 ทักษิณก็ยืนยันไม่ยุบสภา-ไม่ลาออกแถมประกาศผ่านรายการวิทยุ นายกฯ คุยกับประชาชนเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2549 ในลักษณะจาบจ้วงและตีตนเสมอสถาบันกษัตริย์อีก “คนที่จะให้ผมออกจากตำแหน่งนายกฯ ได้ ไม่ต้องหลายคนเลย คนเดียวให้ออกได้เลยนั่นคือพระเจ้าอยู่หัว ถ้าพระเจ้าอยู่หัวกระซิบผมรับสั่งคำเดียว ทักษิณออกเถอะ รับรองกราบพระบาทออกแน่นอน” สุดท้ายก็แค่คำโกหกเหมือนเรื่องขายหุ้นที่โกหกว่าจะไม่ขายกับยุบสภาเมื่อวันที่ 24 ก.พ.2549
5 ไม่เพียงคำพูดดังกล่าวยังมีภาพบาดใจเกิดขึ้นตามมาอีก เมื่อทักษิณไปพบประชาชนที่อยุธยาแล้วมีประชาชนจำนวนมากถือธงที่มีคำว่า “ทรงพระเจริญ” มาโบกต้อนรับและให้กำลังใจ
6 หลังพรรคไทยรักไทยถูกอัยการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคได้แค่ 2 วัน (29 มิ.ย.)ทักษิณก็ออกอาการไม่พอใจ-ฟาดงวงฟาดงากล่าวหา “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”ว่าเป็นผู้ที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย “ความวุ่นวายมันเกิดจากหลายอย่าง อย่างหนึ่งเนี่ยเมื่อใดเป็นทฤษฎีบริหารเลยนะเมื่อใดองค์กรตามปกติถูกองค์กรที่อยู่นอกระบบครอบงำหรือมีอิทธิพลมากกว่าองค์กรปกตินั้นวุ่นวายหรือถ้าจะแปลเป็นไทยชัดๆ ก็คือวันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ในรัฐธรรมนูญคือบุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป”
7 สังคมถามไถ่กันว่าใครคือ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” อีกครั้งระหว่างให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นที่ประเทศสิงคโปร์ในวันที่ 15 ม.ค.2550 รอยเตอร์ได้รายงานว่าคำให้สัมภาษณ์ฉบับเต็มของทักษิณที่ผ่านซีเอ็นเอ็นนั้นมีการขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่เคารพรักของประเทศไทยเลิกพูดถึงอดีตเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของความสามัคคีในชาติ ทักษิณคงจะสื่อให้ต่างชาติเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ทักษิณต้องอยู่นอกประเทศ
8 นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ทักษิณถูกมองว่าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังบทความที่ไม่บังควรด้วยคือกรณีที่หนังสือพิมพ์ดิเอเชียน วอลล์สตรีท เจอร์นัล-นิตยสารดิ อิโคโนมิสต์ และนิตยสารนิวสวีก ได้ตีพิมพ์บทความวิพากษ์วิจารณ์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “การบริหารด้านเศรษฐกิจของอดีตนายกฯทักษิณหรือ “ทักษิโณมิกส์” ได้รับการยอมรับเชื่อถือจากประเทศต่างๆ มากกว่า “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง” เพราะได้รับการพิสูจน์แล้ว” ในระหว่างที่เขาอยู่ระหว่างเดินสายประเทศต่างๆ และตระเวนให้สัมภาษณ์สื่อโดยถึงกับลงทุนจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ชื่อดังของสหรัฐฯ อย่างน้อย 2 บริษัทเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของเขาและทำให้เขาได้ให้สัมภาษณ์สื่อของประเทศต่างๆ อย่างที่ต้องการ
9 ทักษิณยังคงพูดพาดพิงสถาบันไม่เลิกให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์ฉบับวันที่ 1 ก.พ.2550 ในลักษณะที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระอยู่หัวทรงสนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 โดยเมื่อทักษิณตอบไทม์ว่า “มันก็เหมือนกับการทำรัฐประหารในอดีตของไทยที่ผ่านมา 17 ครั้ง ตอนแรกประชาชนอาจรู้สึกตกใจจากนั้นพวกเขาจะเริ่มแสดงความวิตกกังวลแล้วจึงเริ่มยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่(การรัฐประหาร)ได้รับการรับรองจากองค์พระมหากษัตริย์ พวกเขาอยู่ในกรอบระเบียบมากๆ พวกเขาเชื่อฟัง…”
10 หลังทักษิณถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 2 ปีในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯ ทักษิณก็พูดระหว่างโฟนอินเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยบอกว่า “...เขาสั่งจำคุกผม 2 ปี อายุความ 10 ปี ...มันต้องการจัดการกับคนคนเดียว โดยเอากระบวนการยุติธรรมให้ยุติความเป็นธรรมทั้งหมด ...ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอกครับ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น จริงไหมครับ”
11 ล่าสุดทักษิณกดดันให้มีการพระราชทานอภัยโทษให้ตัวเองอย่างชัดเจนด้วยการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ อาราเบียน บิซิเนส ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี)เมื่อวันที่ 24 พ.ย. โดยนอกจากทักษิณจะกล่าวโจมตีประเทศอังกฤษที่ถอนวีซ่าตนและคุณหญิงพจมารว่าไม่เคารพค่านิยมเรื่องประชาธิปไตยแล้วเขายังพูดถึงเงื่อนไขที่จะทำให้ตัวเองได้กลับประเทศไทยว่า “ผมคิดว่าหลายๆ อย่างขึ้นอยู่กับอำนาจของประชาชน หากพวกเขารู้สึกว่า พวกเขาอยู่อย่างยากลำบากและต้องการให้ผมช่วย ผมก็จะกลับไป หากในหลวงทรงเห็นว่าผมยังสามารถทำคุณประโยชน์ได้ ผมจะกลับไป และพระองค์อาจจะพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผม แต่ถ้าพวกเขาไม่ต้องการผม และพระองค์ทรงเห็นว่าผมกลับไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมก็จะอยู่ที่นี่(เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)ทำธุรกิจไป”
เราคนไทยได้เห็นพฤติกรรมและคำพูดของทักษิณที่พาดพิงสถาบันมาครั้งแล้วครั้งเล่าตลอด 4 ปีมานี้(2548-2551) ยังเชื่อได้หรือว่า บุคคลผู้นี้จงรักภักดีดังที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ เคยการันตี ยังเชื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ น้องเขย ทักษิณได้หรือที่การันตี หรือยังเชื่อคำสรรเสริญเยินยอของทาสรักทักษิณอย่างนายวีระ มุสิกพงศ์ได้หรือในเมื่อนายวีระก็เป็นเพียงอดีตผู้ต้องขังที่หมิ่นสถาบันและปัจจุบันก็ยังเป็นผู้ต้องหาหมิ่นสถาบันซ้ำอีก การหลงทางผ่านเข้าไปในเวป..ฟ้าเดียวกัน..ตอนแรกก็ว่าจะไม่เข้าไปรับรู้..แต่..เคยได้ยินคำบอกเล่าถึงความเลวทรามของฟ้าเดียวกัน..ก็เลยลองเข้าไปเสียหน่อย..และแล้วหัวใจของคนไทยก็เหมือนโดนทำร้ายเพราะสารพัดความคิดเห็นที่จาบจ้วงดวงใจอันเป็นที่รักของชาวไทยที่มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไทยทุกคน...ไม่เคยคิดเลยว่าประเทศไทยยังมีคนเหล่านี้อาศัยอยู่ภายใต้ร่มพระบารมี..คำถามแรกที่ได้ก็คือ...ทหารและตำรวจที่ปฏิญาณตนว่าเป็นทหาร ตำรวจ ของพระเจ้าแผ่นดินนั้นอยู่ที่ไหนทำไมถึงได้ปล่อยให้พวกมันทำร้ายดวงใจของคนไทยได้ขนาดนี้
...นาทีนี้ อยากถามดังๆ ว่า คนไทยที่ปากบอกว่า “รักในหลวง” และผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหลายที่พร่ำบอกว่า จะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยังหลับอยู่หรือไร จึงไม่ทำอะไรเพื่อปกป้องสถาบันกันบ้าง!!
30 พฤศจิกายน 2551
ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐล้านนาประชาธิปไตย
ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – กลุ่มเสื้อแดงบ้าไม่สิ้นสุด ถึงขั้นเพ้อแยกตัวตั้ง “สาธารณรัฐล้านนาประชาธิปไตย” หลังส่งคนปลุกพ่อค้า-แม่ขาย ทั่วเมืองเชียงราย ให้ช่วย “แม้ว” กลับมาเป็นประธานาธิบดี หลังคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) ที่มี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานได้เสนอให้รัฐบาล...read more...
ที่เชียงใหม่ เมืองหลวงสถาปนาของฝ่ายเสื้อแดง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ และส่วนราชการทั้งหลาย เหตุผลอันใด ที่ทำให้คุณโต้งยืนหยัดสู้ในวงล้อมของฝ่ายตรงข้ามด้วยความยากลำบากเปิดโปงขบวนการล้มเจ้า ล้มล้างพระมหากษัตริย์ มาโดยตลอด คนพวกนี้ได้เปิดยุทธการโจมตีพระราชินีและราชวงศ์รวมถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี จนต้องเสียคุณพ่ออันเป็นที่รัก เหตุผลเดียวที่ทิ่มแทงใจคนไทย นั่นคือ คุณโต้งทราบข้อมูล และเชื่ออย่างสุดหัวใจ ที่คนกลุ่มหนึ่งที่นั่น ยึดเอาเชียงใหม่เป็นแหล่งซ่องสุมในการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ คนเสื้อแดง คนที่เกลียดชังพันธมิตร คงคิดว่า คุณโต้ง เอาข้อมูลความคิดแบบนี้มาจากไหน หรือโดนใครปุกปั่น ให้เชื่อแบบนั้น หรืออาจเป็นคนปล่อยสิ่งเหล่านี้ออกมาเสียเอง ต่างคนต่างข้อมูล ต่างความคิด คนที่ไม่เห็นด้วยเหล่านี้ คุณมั่นใจได้อย่างไร ว่าสิ่งเหล่านี้มันมีจริงหรือไม่
นายเศรษฐา เจียมกิจวัฒนา บิดาของคุณโต้งถูกลากตัวนายเศรษฐา ลงมาจากรถ พร้อมกับรุมกระทืบ ก่อนที่จะใช้อาวุธปืนยิงซ้ำจนเสียชีวิตคาที่ พร้อมกับใช้มีดฟันแขนเกือบขาดและมีสมาชิกกลุ่มถูกยิงหาดเจ็บอีก 2 ราย คุณโต้งกล่าวว่าเชียงใหม่กลายเป็นที่รวมของพวกที่ต้องการทำลายสถาบัน เป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน รัฐธรรมนูญฉบับหมอเหวงก็เขียนที่เชียงใหม่ รวมทั้งการเผาพระตำหนัก ซึ่งหลังจากเหตุการณ์คาร์บอมบ์ อยู่ๆ มีไฟไหม้ป่าจนลามเป็นเขตพระราชฐาน อีกเหตุการณ์ที่พระตำหนักดอยตุง เชียงราย ก็เช่นกัน ขณะเดียวกัน พวกนี้มีแผนที่จะยกเชียงใหม่ให้เป็นเมืองหลวงแทนกรุงเทพมหานคร โดยมีการรื้อถอนบ้านเรือนจำนวนมากเพื่อขยายถนน มีเงินจำนวนกว่า 5 บัญชีอยู่ต่างประเทศ ไว้โอนให้ ส.ส.ไทยรักไทย ผ่านธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ภาพไม่เหมาะสมที่ทำให้สถาบันเสียหายที่มีการเผยแพร่ไปทั่วประเทศนั้นล้วนถูกตัดต่อที่เชียงใหม่และผลิตที่โรงแรมแกนวโรรส
ขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยทุกคนปฏิญาณตนจะรักษาและปกป้องราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ยิ่งชีพ
ที่เชียงใหม่ เมืองหลวงสถาปนาของฝ่ายเสื้อแดง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ และส่วนราชการทั้งหลาย เหตุผลอันใด ที่ทำให้คุณโต้งยืนหยัดสู้ในวงล้อมของฝ่ายตรงข้ามด้วยความยากลำบากเปิดโปงขบวนการล้มเจ้า ล้มล้างพระมหากษัตริย์ มาโดยตลอด คนพวกนี้ได้เปิดยุทธการโจมตีพระราชินีและราชวงศ์รวมถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี จนต้องเสียคุณพ่ออันเป็นที่รัก เหตุผลเดียวที่ทิ่มแทงใจคนไทย นั่นคือ คุณโต้งทราบข้อมูล และเชื่ออย่างสุดหัวใจ ที่คนกลุ่มหนึ่งที่นั่น ยึดเอาเชียงใหม่เป็นแหล่งซ่องสุมในการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ คนเสื้อแดง คนที่เกลียดชังพันธมิตร คงคิดว่า คุณโต้ง เอาข้อมูลความคิดแบบนี้มาจากไหน หรือโดนใครปุกปั่น ให้เชื่อแบบนั้น หรืออาจเป็นคนปล่อยสิ่งเหล่านี้ออกมาเสียเอง ต่างคนต่างข้อมูล ต่างความคิด คนที่ไม่เห็นด้วยเหล่านี้ คุณมั่นใจได้อย่างไร ว่าสิ่งเหล่านี้มันมีจริงหรือไม่
นายเศรษฐา เจียมกิจวัฒนา บิดาของคุณโต้งถูกลากตัวนายเศรษฐา ลงมาจากรถ พร้อมกับรุมกระทืบ ก่อนที่จะใช้อาวุธปืนยิงซ้ำจนเสียชีวิตคาที่ พร้อมกับใช้มีดฟันแขนเกือบขาดและมีสมาชิกกลุ่มถูกยิงหาดเจ็บอีก 2 ราย คุณโต้งกล่าวว่าเชียงใหม่กลายเป็นที่รวมของพวกที่ต้องการทำลายสถาบัน เป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน รัฐธรรมนูญฉบับหมอเหวงก็เขียนที่เชียงใหม่ รวมทั้งการเผาพระตำหนัก ซึ่งหลังจากเหตุการณ์คาร์บอมบ์ อยู่ๆ มีไฟไหม้ป่าจนลามเป็นเขตพระราชฐาน อีกเหตุการณ์ที่พระตำหนักดอยตุง เชียงราย ก็เช่นกัน ขณะเดียวกัน พวกนี้มีแผนที่จะยกเชียงใหม่ให้เป็นเมืองหลวงแทนกรุงเทพมหานคร โดยมีการรื้อถอนบ้านเรือนจำนวนมากเพื่อขยายถนน มีเงินจำนวนกว่า 5 บัญชีอยู่ต่างประเทศ ไว้โอนให้ ส.ส.ไทยรักไทย ผ่านธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ภาพไม่เหมาะสมที่ทำให้สถาบันเสียหายที่มีการเผยแพร่ไปทั่วประเทศนั้นล้วนถูกตัดต่อที่เชียงใหม่และผลิตที่โรงแรมแกนวโรรส
ขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยทุกคนปฏิญาณตนจะรักษาและปกป้องราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ยิ่งชีพ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)