14 กรกฎาคม 2555

ลัทธิบูชาคนโง่


โสภณ องค์การณ์
       ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
      
        นักรัฐศาสตร์ ปรัชญาเมธี ผู้ทรงภูมิปัญญาในศาสตร์การปกครองสมควรเรียกประชุมระดับโลก เพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน และแนวโน้มของหลักการบริหารงานปกครอง การเป็นผู้นำ อย่างเร่งด่วน เพราะตำราต่างๆ ตั้งแต่ยุคอริสโตเติล เพลโต ต้องถูกนำมาสังคายนากันใหม่ เมื่อไทยมีศาสตร์พิสดารแจ้งเกิดแล้ว
      
        “ปูรณาการ” ถือเป็นศาสตร์เหนือศาสตร์ทั้งปวง เป็นความเยี่ยมยุทธ ไม่ใช่ว่าใครจะคิดศึกษา เลียนแบบได้ง่ายๆ บุคคลต้องมีลักษณพิเศษเพื่อ “เอาอยู่” 
      
        เป็นศาสตร์แห่งการลอยตัว เหนือระดับเซียนเหยียบเมฆ ขี่นกกะเรียน!
      
        หลัก “ปูรณาการ” ไม่มีการสอนในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด! แม้แต่มหาวิทยาลัยเคนตักกี้สเตท ยังไม่รู้ว่าสถาบันซึ่งถูกมองว่าอยู่ในระดับกระจอกๆ ไม่ติดอันดับโดดเด่นอะไรทั้งนั้น จะสามารถผลิตศิษย์หญิงจากแดนไกลจนได้เป็นผู้นำประเทศมีประชากรกว่า 65 ล้านคน ทั้งยังไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของรัฐใด
      
        หลักง่ายๆ ของการบริหารแบบ “ปูรณาการ” แต่ทำได้ยากสำหรับวิญญูชน คือต้องมีลักษณะของความหน่อมแน้ม ด้านหนา ทน อึด กล้ายิ้มสู้โลกซึ่งหัวเราะรอบด้านให้ตัวโง่ทดสอบความยั่งยืน ได้สัมผัสมือกับผู้นำมหาอำนาจของโลก
      
        การบริหารที่ได้ผลสูงสุด คือการไม่บริหาร ใช้ยุทธวิธีลับ ลวง พราง ว.5 ถ้าถูกจับได้ไล่ทัน ก็รับบทหน่อมแน้ม สลับบทเตมีย์ไบ้! ประการหลังนี้ไม่น่าจะได้รับการชี้แนะจากซือแป๋เปรม ต้นตำหรับยุค 30 ปีก่อนโน้น เพราะความคงอยู่ของแม่นางโพยปูโพรกเน่าในเด็ดกว่า! ใช้ลีลาพลิ้ว ผสานกับความทื่อๆ แอ๊บแบ๊ว ตาแป๋ว
      
        เป็นผู้นำรัฐบาล แต่หาทางเลี่ยง ทำตัวหลีกห่างจากเก้าอี้ ไปชี้โบ๊ ชี้เบ๊ ตามห้วยหนองคลองบึง ป่าเขาลำเนาไพร เพื่อความเข้าใจถูกต้องในการแยกแยะหญ้าแพรก กับหญ้าแฝก ในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เรือดันน้ำ เจ๊าะแจ๊ะแบ๊ะๆ
      
        อยากผลักดันกฎหมายให้เข้าสภา ไม่ยอมประชุมในสภาฯ ถูกยัดเยียดให้รับบทบาทเป็น “ขุน”บนกระดานหมากรุก โดยมีเบี้ยแดง ไพร่ขี้ครอก เป็นหน่วยเชลียร์ ยกก้นให้กระดกแต่พองามยามเดินสวนสนามตรวจผลกับผู้นำชาติอื่นๆ
      
        เป็นสตรีหน้าตาค่อนข้างดีกว่าธรรมดา แต่ทำให้บรรดาชายเฟือยทั้งหลายนั่งรายล้อมโต๊ะห้องประชุมคณะรัฐมนตรีไม่กล้าแสดงออกให้เห็นว่าตัวเองมีสติปัญญาฉลาดกว่าท่านผู้นำ ยอมรับสภาพกล้ำกลืนฝืนทนว่าต้องให้ดูโง่กว่า
      
        ถ้าบังอาจฉลาด กล้าชี้แนะกลางวงประชุม หรือในที่สาธารณะเมื่อไหร่ เตรียมย้ายที่อยู่ใหม่ หรือเปลี่ยนอาชีพได้ เมื่อแม่นางโพยถึงขั้นวีนแตก
      
        ผู้นำต่างชาติงงงวย หลังจากได้สนทนาวิสาสะกับแม่นางโพย เมื่อตัวเองไม่มีโพย เมื่อเจรจากัน แม่นางโพยไม่จ้องตา มุ่งแต่ปรึกษาคู่มือบนหน้าตัก ซ่อนเร้นไม่ให้เห็นความจริงจากแววตา เมื่อเสร็จการสนทนาแล้ว ก็ปล่อยให้งงต่อไป
      
        ไม่รู้ว่าตัวเองโง่ หรือสติปัญญาทาบชั้นแม่นางโพยไม่ได้ เมื่อฟังแม่เจ้าประคุณไม่รู้เรื่อง ทั้งๆ ที่ตัวเองมีประสบการณ์มากกว่า เป็นเจ้าของภาษาปะกิต
      
        ล่าสุด นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้พานักธุรกิจชั้นนำอเมริกันมาร่วมประชุมกับเครือข่ายธุรกิจอาเซียน เหตุผลหลัก คงต้องการให้นักธุรกิจชาติเดียวกันมาประเมินศักยภาพ ชีดความสามารถ ก้นบึ้งของแม่นางโพย
      
        ประเด็นหลัก แม่เจ้าประคุณเป็นอัจฉริยะ หรือเป็นนักบริหารศาสตร์ใดกันแน่ จึงได้อยู่ยึดยาวมานาน 1 ปี ท่ามกลางภัยรอบด้าน นอกจากทำให้น้ำท่วมเกือบทั่วประเทศ สร้างปรากฎการณ์ให้ประเทศไทยในรอบกว่า 100 ปี
      
        นางคลินตันน่าจะมีปัญหาคาใจว่า คำต้อนรับตามพิธีการทูตแบบใหม่ เช่น overcome นั้น เป็นพิธีการของกลุ่มอาเซียน หรือเฉพาะแม่คุณคนพิเศษเท่านั้น
      
        หลักการบริหารของแม่นางโพยปูโพรกเน่าใน จึงไม่ใช่เผด็จการ ทรราช ประชาธิปไตย หรือแบบไหนทั้งสิ้น เท่าที่ประชาชนได้รับทราบ คือใช้ความสงบนิ่งงันบื้อสยบความเคลื่อนไหว ใช้ความยิ้มแย้มหวานแทนการหุบปากเจื้อยแจ้ว
      
        เมื่อพูดก็มีแต่เรื่องไร้สาระ ขาดภูมิปัญญา ใยต้องเปลืองถ้อยคำ!
      
        การอำพรางท่าทีเป็นอาวุธสำคัญ แม้แต่พี่ชายสุดที่รักยังถูกหลอกว่าน้องสาวทำงานเต็มไม้เต็มมือเพื่อช่วยเหลือให้ตัวเองได้กลับบ้านแบบเท่ๆ
      
        ถ้าอยู่ได้นาน อาจเป็นจุดกำเนิดลัทธิยกย่องบูชาคนโง่ แล้วได้ดี!
      
        บ้านเมืองมีปํญหา แม่เจ้าประคุณทำให้ดูเหมือนว่าไร้ปัญหา ผู้คนห่วงใยกังวลล้วนถูกมองว่าเป็นพวกเอาแต่คิด รู้สึกเอาเอง! ความกล้าหาญในการพบปะกับผู้นำชาติอื่นๆ ไม่ใช่เพราะมีสติปัญญาความรอบรู้เหนือชั้น ทันเกม
      
       แต่เป็นการไม่รู้ถึงความสำคัญของผู้อื่น หรือไม่ห่วงกังวลว่าตัวเองหรือคนชาติเดียวกันต้องอับอายขายหน้า เสื่อมเสียเกียรติภูมิต่างหาก
      
       อะไรๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้น คนไทยไม่เคยพบเคยเห็น ก็มีในยุคนี้แหละ! ผู้พิพากษาตุลาการถูกพวกขี้คุกเดนตะรางข่มขู่คุกคามไม่เว้นแต่ละวัน ตำรวจ ทหารหดหัวเงียบ ไม่ถึงขั้นนอนตัวสั่น คุมโปงเพราะเกรงบารมีของชนเผ่าเสื้อแดงเท่านั้น
      
       “ปูรณาการ” จะเป็นศาสตร์แห่งการครองโลกยุคใหม่เช่นนั้นหรือ! ไม่น่าเป็นไปได้ มองไปทั่วโลก จะหาชนชาติใดยอมตกอยู่ไต้อำนาจการบริหารของผู้นำแบบนี้ได้นานกว่า 1 ปี คงไม่มีอีกแล้ว!
      
       เอ๊ะ! หรือว่านางคลินตันรู้สึกว่าได้ค้นพบศาสดาแห่งการบริหาร จึงต้องวนเวียนมาภูมิภาคนี้ ศึกษากลยุทธเพื่อชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีอีก 4 ปีข้างหน้า
      
       หรือนี่เป็นโอกาสพานักธุรกิจชั้นนำมาศึกษาเทคนิคใหม่เพื่อกอบกู้สหรัฐให้รอดพ้นจากหายนะจากวิกฤติเศรษฐกิจ! ไม่ต้องฉลาดก็ชนะได้! หรือใช้ความโง่สยบความฉลาด!! 

10 กรกฎาคม 2555

งานรำลึกเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ประจำปี ๒๕๕๕ ใน ๑๓ - ๑๔ กรกฎาคม นี้

กองทัพเรือ จัดงานรำลึกเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ประจำปี ๒๕๕๕ ใน ๑๓ - ๑๔ กรกฎาคม นี้
กองทัพเรือ เตรียมการจัดงานรำลึกเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ประจำปี ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีพระราชกุศโลบายทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจตะวันตก จนนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงนานัปการของสยามประเทศ ซึ่งการจัดงานรำลึกเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ในปีนี้ ครบรอบ ๑๑๙ ปีในวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ ป้อมพระจุลจอมเกล้าพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเทิดพระเกียรติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งเป็นการรำลึกถึงวีรกรรมของวีรชนในเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ บริเวณปาก แม่น้ำเจ้าพระยา โดยมี พลเรือเอก อมรเทพ ณ บางช้าง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นหัวหน้าคณะทำงานเตรียมการจัดงานฯ
งานรำลึกวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ในปีนี้ จัดขึ้นในวันที่ ๑๓ ถึง ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ น. - ๒๐.๓๐ น. ภายในงานมีกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย พิธีสงฆ์ การแสดงวีดิทัศน์สารคดีเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ การจัดเสวนาเรื่อง "ข้อมูลทางลึกวิกฤต ร.ศ.๑๑๒" พิธีวางพานพุ่มถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๕ พิธีสดุดีวีรชนในวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ การจัดนิทรรศการและการแสดงสินค้าโอท็อป การแสดงดนตรีวงดุริยางค์ทหารเรือ การแสดงท่าอาวุธประกอบดนตรี การแสดงประวัติธงชาติไทยและธงราชนาวี เชิญธงราชนาวีลง พิธีย่ำพระสุริย์ศรี ร่วมสนุกกับศิลปินนักร้อง จากค่ายแกรมมี่ ค่ายอาร์สยาม ศิลปินนักแสดง จากค่ายบอร์ดคลาส ค่ายยูม่า ค่ายฮูแอสนด์ฮู ค่ายเสต็พออนเวิร์ด การแสดงรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ การแสดงของนักเรียน นักศึกษา และหน่วยงานต่าง ๆ ในกองทัพเรือ และการแข่งขันตอบปัญหาชิงรางวัลต่าง ๆ
ขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมงานรำลึกวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ในช่วงวันดังกล่าว โดยไม่เสียค่า ใช้จ่ายใด ๆ (ที่มา : กพร.ทร.)

20 มิถุนายน 2555

เตรียมการรับศึกได้เลย


เมื่อชักศึกเข้าบ้าน ก็เตรียมการรับศึกได้เลย!

นักการเมืองขายชาติและทรยศชาติดึงดันยกเอาดินแดนไทยอันเป็นอธิปไตยสำคัญของชาติให้สหรัฐเข้ามาใช้เป็นฐานทัพ และยังมีการตกลงก่อสร้างระยะยาวตามที่แถลงไว้เมื่อสามวันก่อน

วันก่อนแถลงว่า จะมีการตั้งคณะกรรมการประสานงานในการก่อสร้างอาคารที่สนามบินอู่ตะเภาเพื่อให้ทหารสหรัฐเข้ามาใช้ แต่วันนี้มาโกหกให้คนไทยฟังว่า สหรัฐมาขอใช้แค่สองเดือน  โกหกว่าเขามาใช้เพียงสองเดือน จึงไม่ต้องขอความเห็นชอบต่อสภา ซึ่งขัดแย้งกับที่ได้แถลงไว้ในวันที่รัฐมนตรีต่างประเทศไปพบประธานาธิบดีโอบามาของสหรัฐเป็นคนละเรื่องแล้วยังหน้าด้านโกหกคนไทยว่า สหรัฐมาขอใช้เพื่อตรวจอากาศและบรรเทาสาธารณภัย

ก็ต้องบอกกรอกหูพวกขายชาติเหล่านั้นว่า ไม่ว่าจะยกแผ่นดินไทยให้สหรัฐใช้ทำเป็นฐานทัพเพื่อไปรบราฆ่าฟันกับชาวมุสลิมหรือชาวจีน หรือจะตั้งเป็นร้านอาบอบนวดก็เป็นการให้ใช้แผ่นดินไทยทั้งนั้นการให้ใช้แผ่นดินไทยแบบนี้ไม่ว่าจะใช้กี่วัน รัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีไม่มีอำนาจที่จะอนุญาตได้ จะต้องขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาเท่านั้น

ถึงแม้จะอ้างอิงนักกฎหมายที่ไหน เพื่อไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ความเห็นของนักกฎหมายประเภทนั้น ก็เป็นความเห็นแบบเดียวกันกับนักวิชาโกงที่ทำโพลสนับสนุนการขายชาติว่า ”นักการเมืองโกงชาติได้ แต่ขอให้ทำงานบ้าง” ย่อมไม่มีคุณค่าใดๆ ที่คนไทยจะเชื่อถือรับฟังได้เลย การดึงดันไม่ทำตามรัฐธรรมนูญ ถืออำนาจบาทใหญ่ยกแผ่นดินไทยให้ต่างชาติใช้สอยเช่นนี้จึงเป็นกบฏในราชอาณาจักร เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ เป็นการขายแผ่นดินเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งมีโทษหนักหลายสถาน หากคณะรัฐมนตรีลงมติว่าให้ใช้ดินแดนไทยได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบต่อรัฐสภา ทั้งนางยิ่งลักษณ์และคณะรัฐมนตรีก็ต้องรับผิดชอบอย่างเดียวกันด้วย

ยังคงต้องยืนยันว่า การให้ใช้ดินแดนไทยดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการทหาร ซึ่งขณะนี้ก็ก่อหวอดความตึงเครียดทางการทหารขึ้นอย่างกว้างขวาง แล้วประเทศจีน พม่า และลาว ต่างไม่พอใจ และแสดงปฏิกิริยาให้เห็นถ้วนหน้า ขณะนี้จีนส่งกำลังทหารถึง 15 กองพล จากภาคทหารเฉิงตู มาประจำไว้ที่ยูนนานแล้ว ในขณะที่พม่าและลาวก็เตรียมการทางทหารพร้อมๆกัน

จู่ๆกองกำลังว้าแดง 3 กองพัน ก็ยกกำลังมาประชิดชายแดนไทย อ้างว่าเพื่อขับไล่พวกกะเหรี่ยงตามคำสั่งของรัฐบาลพม่า และเมื่อกำลังทหารว้าแดง 3 กองพัน มาอยู่ใกล้ชายแดนไทย กองกำลังผาเมืองก็ต้องเตรียมความพร้อม แผ่นดินที่เคยเป็นสุข ก็คุกรุ่นด้วยเพลิงสงคราม

นักการเมืองมาโกหกประชาชนว่าจีน พม่า และลาว เข้าใจประเทศไทย คำพูดแบบนี้ไม่มีราคาอะไร เหมือนคำพูดว่า “เอาอยู่” นั่นแหละ เอาไปเอามาตอนนี้น้ำท่วมเกือบทุกภาคของประเทศไทยแล้ว แต่ยังคงหลอกลวงคนไทยกันต่อไปว่าน้ำไม่ท่วม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจีนได้เดินทางไปกัมพูชาและตกลงร่วมมือกันทางการทหารที่จะสนับสนุนกองทัพกัมพูชาให้เข้มแข็งเกรียงไกร หลังจากที่เคยส่งมอบเครื่องแบบทหาร รองเท้า และยุทโธปกรณ์จำนวนหนึ่งให้ไปก่อนหน้านี้แล้ว นั่นเป็นสถานการณ์ทางด้านจีน ซึ่งเขารู้ดีว่าขณะนี้รัฐบาลไทยหักหลัง ทรยศต่อความเป็นมิตรชัดแจ้งแล้ว คือหักหลังเรื่องข้อตกลงในการจัดการแก้ไขปัญหาน้ำ โดยได้ว่าจ้างเกาหลีมาดำเนินการ แลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนของบันคีมูนในเวทีนานาชาติ หักหลังเรื่องการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง โดยเตรียมจะให้ญี่ปุ่นเข้ามาทำการแทน เท่ากับการทำความตกลงกับรองประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ก็คือ การผายลมใส่ประเทศจีนเท่านั้น

ส่วนทางด้านโลกอิสลาม ก็ให้จับตาดูว่า กำลังจะเกิดปรากฏการณ์ประหลาดๆขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เหตุการณ์กำลังทวีความรุนแรงขึ้น จากการลอบฆ่า ลอบสังหารวันละศพ สองศพ ตอนนี้ได้ยกระดับความรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายเฉลี่ยวันละ 7-10 คนแล้ว และเริ่มมีการใช้อาวุธร้ายแรงเช่น ปืน 79 ยิงถล่มฐานปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้ว อำนาจรัฐได้เจือจางลงไปมากขึ้น ใกล้สูญเสียอำนาจปกครองเต็มทีแล้วกำลังมีการเคลื่อนไหวในหมู่พี่น้องมุสลิมตลอดฝั่งทะเลอันดามันในการละหมาดประจำวันศุกร์ และการละหมาดเที่ยงหรือค่ำในวันอื่นๆทั่วทุกมัสยิด ได้พูดจาไต่ถามกันถึงเรื่องประเทศไทยให้สหรัฐเข้ามาใช้ฐานทัพ ซึ่งห้ามใครไม่ให้คิดไม่ได้ว่า นี่คือการสมคบกันเพื่อใช้ถล่มดินแดนอิสลามในตะวันออกกลาง

ประเทศไทยกำลังกลายเป็นหมาหัวเน่าในหมู่ประเทศชาวเอเชีย และเป็นหมาหัวเน่าในหมู่ผู้มีเชื้อสายจีน ไม่ว่าจะเหลืออยู่กี่เปอร์เซ็นต์ตาม รวมทั้งในหมู่พี่น้องมุสลิมทั่วประเทศและทั่วโลก ทั้งกำลังถูกตราหน้าว่า ขายตัวลงเป็นทาส ล้างชาติ ล้างแผ่นดินเพียงเพื่อคนๆเดียวเท่านั้น

คนๆเดียวนั้นในวันนี้เมื่อถูกมองว่าเป็นต้นเหตุ ต้นตอ ของการเผชิญหน้ากับโลกอิสลามและประเทศจีน หากยังมีสติสมบูรณ์ดี สักเวลาหนึ่งก็ย่อมระลึกได้ว่ากำลังตกอยู่ในสภาพที่น่าสยดสยองเพียงใด!

 สิริอัญญา

07 พฤษภาคม 2555

ยุคขายชาติ ขายแผ่นดิน!!


ยุคขายชาติ ขายแผ่นดิน!!
โดย โสภณ องค์การณ์7 พฤษภาคม 2555 20:37 น.
       บ้านเมืองอยู่ในจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อ จากอากาศร้อนเกิดภัยแล้งรุนแรงใน 50 กว่าจังหวัด ระอุจนแผ่นดินลุกเป็นไฟ ควายตับแตกตาย น้ำแห้งขอดก้นแหล่งต่างๆ จู่ๆ เกิดฝนตกหนักหลายพื้นที่ น้ำป่าไหลหลากในภาคเหนือ เปลี่ยนฤดูกาลเฉียบพลัน        จะนำไปสู่อุทกภัยซ้ำอีกรอบหรือไม่ หลังจากไอน้ำจากอากาศร้อนได้สะสมในบรรยากาศมากเกินสมควร แปรสภาพเป็นฝนกระหน่ำหนักต่อเนื่องทุกภาค       สินค้าราคาแพง ประชาชนคนรายได้น้อยและปานกลางเดือดร้อนแทบทุกหย่อมหญ้า รากหญ้าเสื้อแดง เสื้อสีอื่นๆ พบกับความเสมอภาคยากจน ลำบากเลือดตาแทบกระเด็น มีแต่นายกฯ ปูโพรกเน่าใน แต่งกายไม่เคยซ้ำชุดเท่านั้น ยังไม่รู้สึกทุกข์ร้อน        แถมยังค่อนแคะชาวบ้านว่าปัญหาสินค้าราคาแพงเป็นเพียงรู้สึกไปเอง! ถ้างั้นผู้นำรัฐบาลคงด้านชา เสนาบดีเป็นผู้มีทรัพย์สินระดับหลายสิบล้าน ร้อยล้านบาท แม้กระทั่งพวกไพร่กำมะลอเสแสร้งยกระดับเป็นอำมาตย์ก็มองไม่เห็นหัวคนยากจน
      
       มาถึงจุดนี้ บ้านเมืองอยู่ในจุดเสี่ยงเป็นวิกฤตสูงสุด มี 2 ทางเลือก คือ วิบัติล่มจม สิ้นสภาพรัฐไทย หรือรอดพ้นจากมือขบวนการชั่วร้ายถ้ามีคนดีร่วมมือกอบกู้บ้านเมือง  เหตุการณ์ด้านการเมืองปัจจุบัน เช่น การล้มล้างรัฐธรรมนูญ ร่างกฎหมายปรองดอง แผนนิรโทษกรรม การคืนสู่อำนาจของกลุ่มนักการเมืองบ้าน 111 หรือเรื่องอื่นๆ ต่อเนื่อง เป็นฉากย่อยประกอบภาพรวมลวงตาให้คนไทยไม่ตระหนักถึงภัย    วิกฤตร้ายแรงดำเนินอยู่ขณะนี้คือแผนขายชาติ ขายแผ่นดินอย่างจริงจัง แฝงอยู่ในเหตุอ้างนโยบายต่างๆ รวมทั้งกระบวนการนอกกฎหมายเพื่อยึดครองรัฐไทยถาวร       ความเป็นจริงขณะนี้คือ 1 ใน 3 ของแผ่นดินไทยตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติในรูปแบบต่างๆ ทั้งวิธีฉ้อฉล ผ่านนิติบุคคล ตัวแทน การสมรส และกระบวนการอื่นๆ เช่น ส่งเสริมการลงทุน เปิดช่องทางให้ต่างชาติถือครอง โดยการเช่า ซื้อขายผ่านนายหน้า   แผ่นดินไทยยังอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ แหล่งผลิตพืชพันธุ์สินค้าเกษตรเป็นอาหารเกินความต้องการ ส่งไปขายในตลาดโลกได้ทุกปี แลกกับธนบัตรพิมพ์โดยแท่นพิมพ์ ถูกสมมติให้เป็นตราสารมีค่าตามกฎหมายการแลกเปลี่ยน       เกษตรกรไทยปลูกพืชผลเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติสารพัด เหนื่อยยากสายตัวแทบขาด ชาวนาถูกแปรสภาพเป็นชาวเช่านา กรรมกรภาคเกษตรค่าแรงต่ำ เพียงเพื่อแลกกับธนบัตรซึ่งนับวันค่าน้อยลงเมื่อได้มา สำหรับยังชีพแต่ละวัน ไร้โอกาสลืมตาอ้าปาก   แต่ละวันรัฐบาลประกาศส่งเสริมการลงทุน ชักชวนให้ต่างชาติเข้ามากอบโกยความมั่งคั่งของทรัพยากรไทย แรงงาน ใช้ไฟฟ้า น้ำประปา สาธารณูปโภคต่างๆ แผ่นดิน สร้างบำรุงด้วยเงินภาษีของคนไทย! ใช้พลังงาน น้ำมันของไทย ได้กำไรก็ขนกลับบ้าน     ทิ้งกากสารพิษ ขยะสารพัด สภาพแวดล้อมเสียหาย ซากอาคาร แม่น้ำลำคลองหนองบึงต่างๆ มีแต่สารพิษอุตสาหกรรม นอกเหนือจากอุบัติเหตุโรงงานสร้างความเสียหายคร่าชีวิตและทำลายร่างกายแรงงานไทย ดังที่เกิดขึ้นหมาดๆ ที่มาบตาพุด
      
       เรามุ่งขายชาติ ขายแผ่นดิน แลกกับเงินลงทุนจากต่างชาติ ทั้งๆ ที่แผ่นดินไทยผลิตได้ทุกอย่าง เพียงแต่กระแสเศรษฐกิจโลกสร้างความต้องการวัตถุ ทำให้เป็นสังคมบริโภคนิยม แปรเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิต การบริโภคอาหาร ค่านิยม    สังคมทุกระดับต้องมีกระดาษทิชชูเป็นสิ่งจำเป็นไว้เช็ดปากและเช็ดก้น!     การขายชาติในลักษณะพรางตาคือการส่งเสริมการลงทุน ปลอดภาษีสำหรับอุปกรณ์เครื่องจักร ให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส่งกำไรกลับคืน ประเทศไทยได้เพียงค่าน้ำ ค่าไฟ ภาษีเล็กน้อย และเงินเดือนสำหรับลูกจ้างพนักงาน! ไม่คุ้มกับความเสียหายสารพัด   ขบวนการเหลี่ยมร้ายและระบบทุนสามานย์ เศรษฐกิจเสรี มือใครยาวสาวได้สาวเอา ทำให้แผ่นดินไทยเป็นที่หมายปองของชาติมหาอำนาจซึ่งต้องการผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเมือง จุดยุทธศาสตร์ในอาเซียน ซึ่งจะเป็นเขตการค้าเสรีในปี 2558 นี้     ประเทศไทยจะเหมือนตัวหมากรุก ถูกบังคับให้เข้าสู่ตาบังคับ และจุดอับแทบจะไร้ทางเลือก เป็นจุดระเบิดของวิกฤตร้ายแรง การเผชิญหน้าของกลุ่มชนในประเทศและกับกัมพูชา ซึ่งคาดว่าจะชนะคดีพิพาทในศาลโลกกรณีแผ่นดินรอบปราสาทพระวิหาร
      
       กองทัพไทยจะทำอย่างไร ยอมหรือไม่? หลังจากไปเจรจากับผู้นำกองทัพจีนให้งดสนับสนุนด้านอาวุธให้กัมพูชา โดยเฉพาะเครื่องยิงจรวดสตาลินออร์แกนหลายลำกล้อง ซึ่งได้สร้างความเสียหายอย่างวินาศสันตะโรให้ชาวบ้านบริเวณชายแดน!      จีนคงอยากรู้ว่าไทยจะให้ชาติมหาอำนาจตะวันตกใช้ไทยเป็นฐานทัพหรือไม่!!    ชาติมหาอำนาจอยากตั้งฐานทัพในไทยเพื่อสร้างอิทธิพล ปิดล้อมจีน และรัฐบาลภายใต้เครือข่ายเหลี่ยมร้ายเท่านั้นจะทำให้เป็นความจริงได้ แลกกับผลประโยชน์ของตัวเอง! สนับสนุนช่วยเหลือกัมพูชาให้ฮุบทรัพยากรในอ่าวไทยและต่อเนื่องถึงบนบก      ถ้าชาติไทยแตกเป็นเสี่ยงจากวิกฤตภายใน ส่งผลให้เกิดการแทรกแซงโดยต่างชาติ จะเป็นการสูญเสียอธิปไตย ความอยู่รอดของชาติ สถาบันหลักถูกล้ม เพราะขัดโดยตรงกับทุนข้ามชาติและผลประโยชน์ของเครือข่ายเหลี่ยมร้ายตัวแทนทุนต่างชาติ      
       เหลี่ยมร้ายมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับกลุ่มทุนใหญ่ของสหรัฐฯ สิงคโปร์ และทุนตะวันตก! จึงไม่น่าประหลาดใจที่รัฐบาลต่างชาติยอมให้คนหนีคุก หนีหมายจับคดีก่อการร้ายได้เข้าประเทศ กระชับเครือข่ายกับกลุ่มทุนผลประโยชน์ยิวในสหรัฐฯ และยุโรป      ศึกกับเขมร หรือศึกระหว่างสีในไทย จะนำไปสู่ความเสี่ยงมิคสัญญีสิ้นชาติ! ยังมีต่อ!!

29 เมษายน 2555

เมียซื้อที่ดิน แต่ผัวติดคุก


ทำไม..."เมียซื้อที่ดิน แต่ผัวติดคุก" !?!

คนไทยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจว่า “พฤติการณ์ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม” (Conflict of Interest) หรือเรียกสั้นๆ ว่า “ผลประโยชน์ทับซ้อน” นั้นถือเป็นการคอร์รัปชัน จึงทำให้เกิดการวิพากษ์อย่างผิดๆ ว่าอดีตผู้นำผู้ล่วงลับ (สมัคร สุนทรเวช) ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพียงแค่ “รับจ็อบ” ทำกับข้าวออกทีวี โดยไม่เข้าใจว่าการรับผลประโยชน์จากเอกชนดังกล่าวขัดต่อกฎหมาย

เช่นเดียวกับความไม่เข้าใจที่ว่า เหตุใด "คุณหญิงพจมาน ชินวัตร" (ณ ป้อมเพชร) ซื้อที่ดิน (รัชดา) จากกองทุนฟื้นฟูฯ แต่อดีตนายกฯ "ทักษิณ ชินวัตร" กลับมีความผิด จนกลายเป็นวาทกรรมว่า

"เมียซื้อที่ดิน แต่ผัวติดคุก" !?!

ความจริงก็คือ กฎหมาย ป.ป.ช.ได้บัญญัติในมาตรา ๑๐๐ โดยสรุปว่า...ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ที่ตนปฏิบัติหน้าที่ และมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี ตลอดจนห้ามมิให้รับสัมปทาน หรือคงไว้ซึ่งสัมปทานจากหน่วยงานของรัฐทุกประเภท ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และห้ามมิให้เข้าไปมีส่วนได้เสียในกิจการต่างๆ ทั้งปวงดังกล่าว

นอกจากนี้วรรคท้ายของมาตรา ๑๐๐ ยังได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า "ให้นำบทบัญญัติในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคสอง โดยให้ถือว่าการดำเนินกิจการของคู่สมรสดังกล่าว เป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ"

ดังนั้น พฤติการณ์ที่ว่า "เมียซื้อ" จึงเท่ากับ "ผัวซื้อ" โดยปริยาย ในขณะที่กฎหมาย ป.ป.ช.ห้ามมิให้ "เจ้าหน้าที่ของรัฐ" มีผลประโยชน์ทับซ้อน ด้วยเหตุนี้พฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือเป็นความผิด !!!

ศูนย์ข่าว ป.ป.ช.ภาคประชาชน รายงาน

23 มีนาคม 2555

กิมิทาเทวี

ใกล้ถึงเทศกาลสงกรานต์ ช่วงเวลาของวิกฤติ จลาจล เลือดตกยางออก เหมือนปี 2552-2553 แล้ว ปีนี้นางสงกรานต์ มีนามว่า กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำว้า หัตถ์ขวาทรงขรรค์ หัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จไสยาสน์ลืมเนตร (นอนลืมตา) มาเหนือหลังมหิงส์ (กระบือ) เป็นพาหนะ ไม่ใช่นารีหน้าขาวขี่หลังควายแดงนะ!

ทำนายว่าฝนต้นปีจะมีมาก กลางปีงามแต่ปลายปีน้อย เกณฑ์ธัญญาหารชื่อ วิบัติ ข้าวกล้าในไร่นา จะเกิด กิมิชาติ คือ มีด้วงแมลงรบกวน ข้าวกล้า จะได้ผล ๑ ส่วน เสีย ๕ ส่วน บ้านเมืองจะเกิดยุทธสงคราม มีไฟกลางเมือง นอกจากนี้ยังทำนายว่า “พระมหาษัตริย์จะรุ่งเรืองด้วยพระเดชานุภาพ และมีชัยชนะแก่ศัตรูทุกทิศทั้งปวง ประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข”

คำทำนายจะแม่นยำหรือไม่ ต้องรอพิสูจน์! แต่อะไรๆ ทำไมดูประจวบเหมาะ โป๊ะเช๊ะ! หรือนั่นจะเป็นจุดจบของคนบาปหนา หยาบช้า สุมหัวอกด้วยไฟกิเลสตัณหา อวิชชา กล้าฝืนชะตากรรมจริงๆ? หลังจากย่ำยีบ้านเมืองจนเกือบวิบัติล่มจมหลายครั้ง

อ่านเต็มๆได้ที่นี่

14 กุมภาพันธ์ 2555

- 3 G - เทียม 3 G - แท้ และการพังพินาศของรัฐวิสาหกิจไทย

“คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคมเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะให้มีองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระองค์กรหนึ่งทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ตามวรรคหนึ่ง และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม การดำเนินการตามวรรคสองต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ทั้งในด้านการศึกษา วัฒนธรรม ความมั่นคงของรัฐและประโยชน์สาธารณะอื่นรวมทั้งการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรมรวมทั้งต้องจัดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการสื่อมวลชนสาธารณะ การกำกับการประกอบกิจการตามวรรคสองต้องมีมาตรการเพื่อป้องกันการควบรวมหรือการครอบงำระหว่างสื่อมวลชนด้วยกันเองหรือโดยบุคคลอื่นใดซึ่งจะมีผลเป็นการขัดขวางเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารหรือปิดกั้นการได้รับข้อมูลข่าวสารที่หลากหลาย”

ธุรกิจโทรคมนาคมทั้งที่มีสายและไร้สายเป็นธุรกิจที่นำคลื่นความถี่ซึ่งเป็นสมบัติของแผ่นดิน ผลประโยชน์เข้ารัฐจึงต้องเป็นธรรม ทั้งทีโอทีและกสท.จะต้องตรวจสอบสัญญาสัมปทานเดิมที่ทำไว้กับคู่สัญญาเพื่อกำหนดแนวทางการแปรสัญญาสัมปทานก่อนการออกใบอนุญาติในระบบ 3จีต่อไป แต่รัฐบาลต่างๆค่อยๆละลายองค์กรแห่งชาติทั้งสองแห่งลงทีละน้อยๆ รายได้ค่าสัมปทานผลประโยชน์ที่รัฐพึงได้รับลดลงต่อเนื่อง ธุรกิจสื่อสารในไทยมีเอกชนเป็นผู้ดำเนินการเกือบทั้งหมดโดยได้รับสัญญาสัมปทานกับรัฐผ่านไม่ทีโอทีก็กสท. ผู้ได้รับสัญญาสัมปทานเมื่อสร้างเสร็จแล้วต้องโอนทุกอย่างให้กับรัฐ บริษัทเอกชนเป็นเพียงผู้ดำเนินการ เมื่อมีรายได้ก็ต้องนำรายได้นั้นมาแบ่งให้กับภาครัฐ สิ่งก่อสร้างและอุปกรณ์ทั้งหมดเป็นสมบัติของหลวงทั้งสิ้น สัญญาสัมปทานเหล่านี้ได้ลงนามข้อตกลงกันมานาน
แล้ว แก้ไขสัญญาก็หลายครั้งตั้งแต่การแก้ไขในทางเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงการแก้ไขสัญญาที่รัฐเสียเปรียบ ไม่ต้องส่งมอบสิ่งก่อสร้างและอุปกรณ์ทั้งหมดให้เป็นสมบัติของหลวง เหมือนที่เคยเกิดข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญาตั้งมากตั้งมาย กระทั่งระหว่างทีโอทีและกสท.ก็อุตส่าห์ยังมีคดีฟ้องร้องกันเองด้วย การแก้ไขสัญญาหลายครั้งหลายหนเป็นการแก้ไขที่ผิดกฎหมายแต่หน่วยงานทั้งทีโอทีและกสท.กลับละเลยปล่อยให้เวลาล่วงเลยมา ตั้งแต่ปี 2543 มีการแก้ไขสัญญาสัมปทานของทั้งสามราย ประมาณ 10 ครั้ง ที่ทำให้ ทีโอที และ กสท คู่สัมปทานได้รับความเสียหายราว 2.2 แสนล้านบาท คณะกรรมการกฤษฎีการะบุว่า การแก้ไขสัญญาไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ผ่านกฎหมายร่วมทุนรัฐและเอกชน แต่ทั้งหมดก็ไม่มีการดำเนินการตามกฎหมาย เพราะทั้งสามรายต่างมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองที่แน่นปึ้ก จึงไม่มีใครกล้าทำอะไร

การให้บริการโทรศัพท์มือถือของประเทศไทย ซึ่งจากการที่ประเทศไทยมีผู้ให้บริการกิจการโทรคมนาคมอยู่เพียงไม่กี่ราย และผู้ให้บริการรายใหญ่เพียง 3 ราย ครองส่วนแบ่งทางการตลาดรวมกว่า 98% ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกใช้บริการไม่มาก ถูกบีบรัดจากระบบการตลาดที่เกือบจะผูกขาด ทั้งๆ ที่โทรคมนาคมมีความสำคัญกับชีวิตคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะที่เป็นสาธารณูปโภคประเภทหนึ่ง การแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งในส่วนของทีโอทีและกสทในยุครัฐบาลทักษิณภายใต้ข้ออ้างว่าทำให้สององค์กรนี้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่เอาเข้าจริงๆ มันคือการบอนไซไม่ให้รัฐวิสาหกิจทั้งสองเข้มแข็งในขณะที่บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของระบอบทักษิณกลับเข้มแข็งขึ้น ทีโอทีและกสท กลายเป็นเสือลำบาก รายได้หดออกอาการบักโกรก แถมยังกลายเป็นแหล่งทำมาหาเงินของกลุ่มธุรกิจการเมือง.. สหภาพแรงงานฯ ก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะยืนต้านพายุแห่งผลประโยชน์ได้

ทุกวันนี้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่างให้บริการโดยมีลักษณะที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย และกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคอย่างชัดเจน" สารี อ๋องสมหวัง กรรมการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (กบท.) กล่าว สิทธิที่ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ อาทิการกำหนดวันหมดอายุระบบเติมเงิน การตั้งสถานีส่งสัญญาณโดยไม่ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ การไม่เปิดให้บริการคงสิทธิเลขหมายทั้งที่ระยะเวลาล่วงเลยมากว่าที่กฎหมายกำหนด หรือการไม่มีระบบรับเรื่องร้องเรียนทางโทรศัพท์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย มีการละเมิดกฎหมายที่ทำกันจนกลายเป็นเรื่องปรกติมากมาย ซึ่งกทช.น่าจะใช้โอกาสของการให้ใบไลเซนส์ 3G กำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมประมูลต้องไม่เป็นผู้ฝ่าฝืนกฎหมายรวมทั้งการผลักดันให้เกิดการแข่งขันทางด้านบริการมือถือ ไม่ว่าจะเป็น 2G หรือ 3G ก็ตาม สิทธิของผู้บริโภคจะต้องไม่ถูกละเมิดอีกต่อไป เช่น ต้องมีการจัดระบบรับเรื่องร้องเรียนทางโทรศัพท์เลขหมาย 4 ตัวโดยไม่คิดค่าบริการ ต้องมีการจัดระบบแจ้งบอกรับและระบบยกเลิก SMS รบกวน การกำกับดูแลอัตราค่าบริการประเภทเสียงขั้นสูง ไม่เกิน 50 สตางค์ต่อนาที การกำกับดูแลค่าบริการตามระยะเวลาการใช้งานไม่ใช้ตามปริมาณข้อมูล หรือการป้องกันเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมไปสู่กลุ่มเยาวชน ผู้เกี่ยวข้องจะต้องไม่ลืมที่จะดูแลผู้บริโภค ไม่ใช่เพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากกว่าประชาชนผู้บริโภคทั่วประเทศ

การประมูลงาน 3จีจะส่งผลกับแผนธุรกิจเดิมๆของทั้งสององค์กร หากมีการย้ายฐานลูกค้าแบ่งรายได้ให้กับรัฐตามสัญญาเก่าไปอยู่ภายใต้บริษัท 3จี คู่สัญญากลุ่มนี้ก็ไม่ต้องแบ่งรายได้ให้รัฐอีกต่อไปหรือถ้าต้องแบ่งคู่สัญญาก็คงแบ่งในอัตราที่ต่ำกว่าเดิมมากเนื่องจากการโอนย้ายลูกค้า 2จี ของบริษัทที่จ่ายค่าสัมปทานให้กับรัฐเดิมเคยจ่ายร้อยละ 20-25 ไปใช้บริการ 3จี ของบริษัทที่แบ่งรายได้ให้กทช.ที่ออกแบบไว้แค่ร้อยละ 6.5 แม้ว่าคู่สัญญาที่ไปทำ 3จีจะต้องจ่ายค่าใบอนุญาตก็ยังสุดคุ้ม แถมยังมีกระบวนการเตะสกัดแผนธุรกิจของทีโอทีให้ล่าช้า ยิ่งทีโอทีวางโครงข่าย 3จีล่าช้าจะเป็นประโยชน์กับบริษัทที่ยังไม่มีใบอนุญาตฯ ในการประมูลใบอนุญาต 4 ใบที่กทช.จะแจกต่อไปมีจะเสียงคัดค้านและความเห็นจากกลุ่มต่าง ๆ มากมายทั้งจากนักวิชาการ องค์กรผู้บริโภค หน่วยงานของรัฐ นักการเมือง เพราะมันอาจจะเอื้อผลประโยชน์ให้กับผู้ให้บริการในปัจจุบัน ก่อให้เกิดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับรัฐและสาธารณะ ขาดการวางกรอบมาตรการในการคุ้มครองผลประโยชน์ของสาธารณะและผู้บริโภค หากกทช.ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในการประมูล ผู้ให้บริการหลัก 3 รายใหญ่จะได้ประโยชน์โดยตรง การประมูลเพียง 4 ใบอนุญาตคลื่นฯ 3จีไม่เอื้อให้มีการแข่งขันในการประมูลอย่างแท้จริง หากผู้ได้รับอนุญาตไม่สามารถให้บริการได้ตามเงื่อนไขกทช.ก็ควรจะมีมาตรการลงโทษที่เป็นจริงและเป็นมาตรการ มีกำหนดเพดานราคาขั้นสูง ควบคุมให้ผู้ได้รับอนุญาตลงทุนและใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกันเพื่อป้องกันปัญหาทางเทคนิคในอนาคตและยังได้เรียนรู้ร่วมกันอีกด้วย กทช.ไม่น่าจะตั้งราคาแบบลดแลกแจกแถมราคาตั้งต้นที่ต่ำมากคือ ใบละ 4,600 ล้านบาทสำหรับ 10 MHz และ 5,200 ล้านบาท สำหรับ 15 MHz จ่ายตอนเริ่มต้นเพียงครั้งเดียว มีการประเมินก่อนหน้านี้แล้วว่าหากผู้ประกอบการรายเดิม เข้าชนะการประมูลใบอนุญาต 3จี ของ กทช.แล้วโอนลูกค้า
จากระบบเดิมทั้งหมดไปสู่ระบบ 3จี จะทำให้ทีโอที และ กสท โทรคมนาคม สูญเสียส่วนแบ่งรายได้เกือบ 36,800 ล้านบาทต่อปี จากปัจจุบันที่ทีโอที และ กสท มีรายได้ จากการให้สัมปทานปีละประมาณ 39,400 ล้านบาท แบ่งเป็น การสูญเสียรายได้ของทีโอที 18,000 ล้านบาทต่อปี และการสูญเสียรายได้ของ กสท โทรคมนาคม อีก 18,800 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตามมีการประเมินกันว่าภายใน 3 ปี คาดกันว่ารายได้ที่คาดว่าจะได้รับ 4.6 แสนล้านบาท จะเหลือเพียง 1.1 แสนล้านบาทเท่านั้น เท่ากับว่าหายไปกว่า 3 แสนล้านบาทเลยทีเดียว ศึกครั้งนี้มีเม็ดเงินเดิมพัน 3 แสนล้านบาทที่ฝ่ายหนึ่งรัฐบาล ไม่อยากสูญเสียและต้องการคุมเกมเรื่อง 3จีให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ ... อีกฝ่ายไม่อยากจ่าย ..แถมยังมี กทช.ที่อ้างอำนาจตามกฎหมาย ที่จะทำเรื่อง 3จี ทั้งหมด

เวลานี้กทช. กำหนดค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (อินเตอร์คอนเน็คชั่น ชาร์จ) หรือ IC ราคาเกินจริงที่เฉลี่ยนาทีละ 1 บาทส่งผลให้ผู้บริโภคต้องรับภาระค่าโทร.แพง ทั้งยังส่งผลให้ค่าโทร.ข้ามเครือข่าย (ออนเน็ต) โทร.ในเครือข่าย (ออฟเน็ต) มีอัตราที่ต่างกันเป็นอย่างมากส่งผลกระทบให้ผู้ประกอบการรายใหม่หรือรายเล็กในตลาดแข่งขันในตลาดได้อย่างยากลำบากและตายไปในที่สุด ที่ผ่านมากทช.สมคบกับเอกชนเอาเปรียบผู้บริโภคเพราะจากข้อมูลที่รวบรวมส่วนตัวพบว่าต้นทุนค่า IC ที่แท้จริงอยู่ที่ 0.20-0.30 บาทซึ่งเป็นตัวเลขที่ตรงกับที่ปรึกษาของกทช.เคยเสนอไว้ก่อนหน้านี้ แม้ปัจจุบันกทช.จะมีความพยามปรับลดค่า IC เหลือ 0.50 บาทแต่ก็ยังเป็นอัตราที่ไม่สะท้อนความเป็นจริงและยังทำให้ค่าโทร.ออฟเน็ตและออนเน็ตแตกต่างกันเหมือนเดิม สภาทนายความ โดยนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสมาคมสภาทนายความ ก็ออกแถลงการณ์ถึงบทบาทอำนาจหน้าที่ และความไม่ชอบธรรมของ กทช.ชุดสุดท้ายนั้น สืบเนื่องจากตามมาตรา 47 วรรค 2 รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 กำหนดให้องค์กรจัดสรรคลื่
นความถี่และกำกับดูแลการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ทำหน้าที่เพียงฝ่ายเดียวดังนั้น กทช.มีหน้าที่ปฏิบัติตามบทเฉพาะกาลจึงไม่มีอำนาจหน้าที่จัดทำและประกาศแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคมและแผนความถี่วิทยุ ฉบับที่ 2 ซึ่งหมายถึงการเปิดประมูลใบอนุญาต 3 จีด้วย ทำไมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. ในเวลานั้นที่นำโดย พ.อ.นที ศุกลรัตน์ หนึ่งในกรรมการ กทช. และประธานคณะทำงาน 3.9G จะต้องเร่งรีบให้เกิดการประมูลใบไลเซนส์ 3G ให้ได้ในเดือนกันยายน 53"กทช.ไม่ใช่เจ้าของประเทศไทย การจะมากำหนดว่าคนไทยต้องการ 3G ทั้งประเทศเป็นเรื่องที่ฟังไม่ขึ้น ทั้งที่ในความจริงที่เกิดขึ้นในประเทศที่มี 3G มานานแล้ว ผู้ใช้มือถือส่วนใหญ่ในประเทศเหล่านั้นก็ยังคงใช้ 2G กันอยู่” การเร่งรีบเพื่อให้เกิดการให้บริการ 3G จึงถูกมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนที่ชนะการประมูลใบไลเซนส์ 3G มากกว่า โดยแนวโน้มของผู้ให้บริการ 3G ในประเทศไทย คงจะไม่หนีไปจากผู้ให้บริการ 2G อย่างเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ ซึ่งยังมีสัญญาสัมปทานกับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดยเอไอเอสมีระยะเวลาสัญญาสัมปทานอีก 5 ปี ดีแทค 8 ปี และทรูมูฟ 3 ปี ซึ่งหากมีการโอนย้ายผู้ใช้บริการที่อยู่ในระบบ 2G ไปสู่การบริการ 3G ก็จะกระทบต่อทีโอที และ กสท อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงกระทบถึงรายได้ที่รัฐวิสาหกิจทั้งสองหน่วยงานนำส่งให้รัฐด้วย “งานนี้เอกชนรวยขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ใช่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชน” การจะยกเลิกสัญญาสัมปทาน 2G น่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลัง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาบอกว่าการยกเลิกสัญญาสัมปทาน 2G เป็นใบไลเซนส์ รัฐจะต้องไม่เสียหายก็ตาม แต่ในความเป็นจริงนั้น ย่อมสร้างผลกระทบต่อทีโอที และ กสทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องของโครงข่ายที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละรายได้ลงทุนเป็นสิบๆ ปีที่ผ่านมานั้นมีมูลค่านับแสนล้านบาท การที่จะต้องยกให้ทีโอที และ กสท เมื่อครบอายุสัญญาสัมปทานนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่เอกชนยอมไม่ได้จากสิ่งที่ตนเองได้ลงทุนลงแรงไป “ผู้ให้บริการมือถือต้องการเป็นเจ้าของโครงข่ายที่ลงทุนเองทั้งนั้น ไม่มีใครอยากให้ยกเป็นของคนอื่น ยิ่งเมื่อมีการให้บริการ 3G ในมือถือด้วย การมีโครงข่ายเดิมย่อมทำให้การพัฒนาโครงข่าย 3G เป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น ลงทุนน้อยยิ่งขึ้นระดับพันล้าน จากเดิม 2G หลายหมื่นล้านและใครล่ะจะยอมเสียมันไป”


แม้ว่าเดือน ก.ย. 53 กทช.3 รายคือ นายประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ นายสุชาติ สุชาติเวชภูมิ นายสุธรรม อยู่ในธรรม จะครบวาระ แต่ตามกฎหมาย กทช.ยังสามารถทำงานต่อเหมือนเดิมทุกประการจนกว่าจะมี กทช.คนใหม่ กทช.มีทั้งหมด 7 คนเหลือ 3 คนไม่ถึงครึ่งแต่กทช.ก็พยายามที่จะดิ้นรนให้มีการตีความทางกฎหมายว่าตัวเองมีอำนาจและยังคงดันทุรังเดินหน้าใช้อำนาจต่อไป ข้อกำหนด–เงื่อนไขการประมูลของกทช.ยังไม่รัดกุมเพียงพอที่จะปกป้องคลื่นความถี่ซึ่งเป็นสมบัติชาติมิให้ตกไปอยู่ในมือของกลุ่มธุรกิจต่างชาติได้ ขณะเดียวกันยังมีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่พยายามเปิดทางให้บริษัทเอกชนสามารถพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันไปสู่ระบบใกล้เคียงกับเทคโนโลยี 3G ได้แม้วิธีการจะสุ่มเสี่ยงต่อการผิดสัญญาสัมปทานและผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 2535 วันก่อนนี้นักการเมืองและผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมีการคุยกันเรียบร้อยถึงการยกเลิกสัญญาสัมปทาน 2G และเรื่องของใบไลเซนส์ 3G ผ่านทางสายสัมพันธ์ที่แต่ละบริษัทมีกับสายการเมืองของตนเอง โดยมีชื่อของอดีตผู้จัดการรัฐบาล สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นโต้โผใหญ่ในการจัดการเรื่องนี้ โดยเอไอเอสใช้สายสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมรุน "มช." ตัวตั้งตัวตีคนสำคัญของท้องเรื่องการยกเลิกสัญญาสัมปทาน 2G สู่ใบไลเซนส์นั้นอดีตรมว.คลังกรณ์ จาติกวณิชเกือบจะได้เขียนตำนานบทใหม่ให้กับวงการโทรศัพท์มือถือเมืองไทยตกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ไว้ให้ศึกษากัน ในฐานะผู้ปลดโซ่ตรวนให้กับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ซึ่งถ้าสำเร็จอาจส่งผลผู้ให้บริการทั้งเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ ที่คาดว่าจะประมูลใบไลเซนส์ 3G ด้วยนั้น เหมือนพยัคฆ์ติดปีกกินรวบธุรกิจสื่อสารไว้อย่างราบคาบ ในต่างประเทศนั้น ไม่มีผู้ให้บริการ 3G รายใดที่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีการให้บริการ 2G ร่วมด้วย "ที่ผ่านมาการแข่งขันในธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีการแข่งขันภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เท่าเทียมกัน ทั้งกฎเกณฑ์ กติกา และภาระการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ ให้รัฐ อายุสัมปทานที่เหลือก็ไม่เท่ากัน คลื่นความถี่ก็ไม่เท่าเทียมกัน จึงมีแนวคิดให้เปลี่ยนจากสัมปทาน มาเป็นใบอนุญาต และให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กทช. นอกจากนี้เนื่องจากอายุสัมปทานเหลือน้อยลง ทำให้ผู้ประกอบการไม่ลงทุนเพิ่ม ขณะที่ผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ทำให้คุณภาพการให้บริการลดลง การเปลี่ยนจากสัมปทานเป็นใบอนุญาตดังกล่าวจะทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมเสมอภาคกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการ” เป็นสิ่งที่กรณ์ จาติกวณิช กล่าว

เพื่อยกระดับบริการด้วยเทคโนโลยีใหม่และเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจเข้าสู่ระบบใบอนุญาตที่กฎกติกาการแข่งขันที่มีความเท่าเทียมกัน ต่างจากสัญญาสัมปทานเดิมที่ลักลั่น ทั้งระยะเวลาคลื่นความถี่ และการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ ที่สูงกว่าไลเซนส์มาก โดยไลเซนส์ 3G คิดค่าธรรมเนียมรายปี 6% ขณะที่สัมปทานสูงถึง 20-25% การโอนถ่ายลูกค้าภายใต้สัมปทาน2G มายัง 3G ในระบบไลเซนส์จึงเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ รายได้จากสัมปทานมือถือปีละหลายหมื่นล้านบาทของ กสท และทีโอทีย่อมหายวับไปกับตา ส่งผลถึงกระเป๋าเงินของกระทรวงการคลังโดยตรงในฐานะผู้ถือหุ้น 100% ใน 2 รัฐวิสาหกิจ จึงสอดคล้องกับแนวคิดในการยกเลิกสัมปทานมือถือเข้าสู่ระบบไลเซนส์เพื่อปรับระบบธุรกิจเข้าสู่การแข่งขันเสรีเป็นธรรมของกระทรวงการคลังและกระทรวงไอซีที เพื่อรักษาขุมทรัพย์ ด้วยการยืดอายุสัญญาเป็น 15 ปี ลดการจ่ายรายปีลงครึ่งหนึ่งเทียบกับสัมปทานเดิม (ไม่รวมค่าเข้าระบบไลเซนส์ที่ต้องคำนวณจากการได้ต่ออายุสัญญา) การผลักดันยกเลิกสัญญาสัมปทาน 2G ยังมีหัวเรือใหญ่รัฐบาลอย่างอดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กระโดดมาสวมบทกัปตันผลักดันให้เรื่องนี้ดูเข้มข้นขึ้นไปอีกชั้น และเสมือนกาวที่ประสานให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

การประมูลครั้งนี้มีผลประโยชน์หลายล้านล้านบาทอาจมีกลุ่มธุรกิจการเมืองบางกลุ่มได้ประโยชน์ทั้งเม็ดเงินการประมูลและการเอื้อประโยชน์ให้กับนักธุรกิจมือถือปัจจุบัน โดยเฉพาะบริษัทมือถือรายใหญ่ที่หากชนะการประมูลจะโอนย้ายลูกค้าไปใช้โครงข่ายใหม่ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ที่ต้องนำส่งรัฐ การประมูลใบอนุญาตครั้งนี้มูลค่ากว่า 1.6 ล้านล้านบาทแต่การประมูลที่เกิดขึ้นกลับมีรูปแบบลุกลี้ลุกลนเหมือนการพยายามอำนวยประโยชน์กัน เนื่องจากมีการกีดกันกสทและทีโอทีประกอบกับมีการให้ใบอนุญาตเพียง 4 ใบซึ่งเมื่อหลับตาดูแล้วก็จะรู้ว่ามีผู้ให้บริการรายใดบ้างที่จะได้ใบอนุญาตไปการประมูลจึงเป็นเพียงการจัดฉากเพื่อแบ่งผลประโยชน์เท่านั้น หลายเสียงออกมากระตุกให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. ชะลอการประมูลใบไลเซนส์ 3G ออกไปจากเดือนกันยายน 2553 ‘ผลกระทบจากส่วนแบ่งรายได้ที่หายไปของสัมปทานมือถือกสทก็จะส่งผลให้รายได้ที่ส่งให้รัฐหายไปด้วย ในขณะที่รายได้ที่ได้รับจากใบอนุญาต 3G ของ กทช.ก็เพียงเล็กน้อย ส่วนต่างที่หายไป ความเสียหายที่เกิดกับรัฐ ใครก็รับผิดชอบ’ แต่หัวเรือใหญ่อย่าง พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และประธานคณะทำงาน 3G ยังยึดตามกรอบและระยะเวลาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง “การยกเลิกสัมปทาน 2G เดิม และการออกใบอนุญาต 3G ใหม่ไม่ควรนำมาผูกกันหรือรอให้อย่างใดอย่างหนึ่งเสร็จก่อน เพราะจะทำให้พังกัน ทั้งคู่และหากแนวคิดของคลังครั้งนี้ไม่สำเร็จ มีแต่จะทำให้ประเทศและประชาชนเสียโอกาสเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา และหากแนวคิดนี้ไม่สำเร็จแล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะเรื่องการเลิกสัมปทานหรือแปรสัญญาสัมปทานที่ผ่านมา ผมจำได้ว่ามีการพูดถึงและพยายามทำมาแล้วไม่น้อยกว่า 15 ปี จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทำได้เพราะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อน การยกเลิกสัมปทานต้องวิเคราะห์อย่างละเอียดหลายเรื่อง เช่นส่วนแบ่งที่ลดลงคำนวณจากอะไร ค่าชดเชยเมื่อเปลี่ยนเป็นใบอนุญาตคิดจากอายุสัมปทานที่เหลือและคลื่นที่มีต่างกัน จะคำนวณอย่างไร”

ที่ผ่านมา พ.อ.นที ถือเป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องของดาวเทียม จนได้เป็นที่ปรึกษาของดาวเทียมไทยคม ทำให้มีหลายคนตั้งประเด็นถึงความโปร่งใสของการเร่งรีบประมูลใบไลเซนส์ว่าแท้ที่จริงนั้น เป็นเพื่อสร้างโอกาสให้ประเทศและประชาชน หรือการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนกันแน่ เพราะวันนี้ทุกคนก็คาดการณ์ว่าหากมีการประมูลใบไลเซนส์ 3G เกิดขึ้น ผู้ให้บริการที่น่าจะชนะการประมูลเป็นบริษัท ก็น่าที่จะชื่อ “เอไอเอส” มากกว่า “ดีแทค” และ “ทรูมูฟ” กทช.ลุยแหลกปลดเดดล็อกไม่รอกสทช.เกิด ประกาศปล่อยไลเซนส์3.9G กันยายน 2553 พร้อมไวแมกซ์ในเวลาไล่เลี่ยกันเปิดโอกาศไอเอสพีรายย่อยแข่งขันในตลาดบรอดแบนด์ได้ยันไม่หวั่นถูกฟ้อง เชื่อประชาชนได้ประโยชน์ ส่วนออนเน็ต ออฟเน็ตผู้ประกอบการไม่ทำตาม ไม่ต้องประมูล 3G ระหว่างกระบวนการสรรหา ซึ่งถูกกล่าวหาว่าไม่ชอบมาพากล คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ถูกทหารยึดไปแล้ว บุคคลที่ผ่านการสรรหา '5 ทหาร' '2 นักวิชการ' '1 ตำรวจ' '1 แพทย์' '1 ผู้พิพากษา' และ '1 เอ็นจีโอ' เสียงเพรียกถึง 3G ยังมีอยู่บ้างประปราย วิเคราะห์พิจารณ์กันอีกหลายครั้ง หลังปลุกกระแส 'คนไทยควรมี 3G' มานานแรมปี ในที่สุดคนไทยก็มี 3G พันธุ์ทางใช้แล้ว เมื่อ 3 โอเปอเรเตอร์มือถือทั้งเอไอเอส ดีแทค และ ทรูมูฟ เอช ต่างเปิดตัวให้บริการ 3G กันทั่วหน้าภายใต้ความถี่เดิมทั้ง 900 MHz และ 850 MHz ไม่ใช่ใบอนุญาติใหม่ ความถี่มาตรฐาน 2.1 GHz อย่างที่โอเปอเรเตอร์ปรารถนา กันยายน 2554 แค่เปิดตัว 3G พันธุ์ทางก็ดุเดือดเสียขนาดนี้แล้ว

ภายหลังประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กสทช. นัดสุดท้ายของปี 2554 ได้ผ่านความเห็นชอบตั้งคณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมสำหรับการบริหารคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz เพื่อรองรับเทคโนโลยี IMT - 2000 หรือ IMT Advanced โดยมีหน้าที่หลักในการเข้ามาดูแลและบริหารจัดการภายหลังเกิด 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz โดยมีคณะอนุกรรมการรวม 16 คน ซึ่งมีบอร์ด กทค. ทั้ง 5 คนอยู้่ในคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวด้วย ขั้นตอนต่อไปจะนำเผยแพร่ขึ้นบนเว็บไซต์กสทช.เพื่อนำไปสู่การเปิดรับฟังความเห็นสาธารณะ (ประชาพิจารณ์) ภายในต้นปี 55 และจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อประกาศใช้อย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาสแรกหรือประมาณเดือนมี.ค.ของปี 2555 หากแผนดังกล่าวผ่านการรับฟังความเห็นสาธารณะและประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ภารกิจของ กสทช. ทั้งหมดก็จะเดินหน้าตามแผนแม่บทดังกล่าวซึ่งจะนำไปสู่การเปิดประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์มือถือ 3G การออกใบอนุญาตผู้ประกอบการวิทยุและโทรทัศน์รวมถึงการสนับสนุนให้มีการแข่งขันอย่างเสรี

11 กุมภาพันธ์ 2555





04 กุมภาพันธ์ 2555

ปตท.-ก.พลังงาน ‘พาร์ตเนอร์’ แห่งการเอาเปรียบและผูกขาด

Manager Online - ปตท.-ก.พลังงาน ‘พาร์ตเนอร์’ แห่งการเอาเปรียบและผูกขาด
www.manager.co.th
ASTVผู้จัดการออนไลน์ – จับตารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ใช้แผนสงบสยบแรงต้าน พร้อมใช้อำนาจการเมืองผูกขาดเบ็ดเสร็จเร่งรัดแปลงสภาพปตท. ให้กลายเป็นบริษัทเอกชนเต็มรูปแบบในชั่วพริบตา เช่นเดียวกับการออกพ.ร.ก.กู้เงินฯ ที่ดันทุรังจนสำเร็จ รวมถึงกม.ปรองดองตามแผนนิรโทษกรรม “นายใหญ่” ที่รอยัดเข้าสภามัดมือชก อ่านต่อ

13 มกราคม 2555

จะรอเป็นทาสไต้อุ้งตีนเหลี่ยมร้ายหรือ?


จะรอเป็นทาสไต้อุ้งตีนเหลี่ยมร้ายหรือ?
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน13 มกราคม 2555 18:39 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น

โสภณ องค์การณ์
       ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
      
       ทิศทาง แนวโน้มสถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้แทบไม่ต้องอาศัยหมอดู โหราจารย์ ทำนายทายทักว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อปัจจัย กิจกรรมต่างๆ บ่งชี้ชัดว่า ถ้ายังไม่เปลี่ยนแนว ความวุ่นวายถึงขั้นกลียุคคงเลี่ยงได้ยาก จะมากถึงขนาดเลือดนองท้องช้างหรือไม่เท่านั้น
      
        ตัวเร่งคือพฤติกรรมของนักการเมืองทาสเงินเหลี่ยมร้าย มีปู เจ้าแม่คูปอง ดันทุรังเดินหน้านโยบายประชานิยมผสมแผนโกงแบบหักดิบซึ่งหน้า สร้างเงื่อนไขให้เข้าจังหวะ
      
        ไม่หวั่นเสียงท้วงติง ตักเตือน เหมือนยโสโอหัง ลำพองว่ามี 15 ล้านคนเลือกเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วจะเดินหน้าล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติ ต้มยำทำแกงบ้านเมืองอย่างไรก็ได้ ชาวบ้านส่วนใหญ่ นั่งทำตาปริบๆ คิดแต่ว่าบ้านเมืองไม่ใช่ของข้าคนเดียว
      
        จิตสำนึกของความเป็นชาติแทบไม่เหลือในคนรุ่นใหม่ ซึ่งแข่งกันออกแนวรณรงค์หาทางหมิ่นสถาบัน พูดจาล่วงเกินเจ้า นึกว่าเป็นการกระทำโก้หรู มีนักวิชาการ อาจารย์หัวนอก ไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชาติไทยเป็นตัวนำปั่นหัวล้างสมอง
      
        บ้านเมืองไม่เคยเผชิญความเสี่ยงกับการล่มจมเท่ากับยุคนี้ นับตั้งแต่ขบวนการเหลี่ยมร้ายได้ลิ้มรสอำนาจการเมือง เบิกทางให้โกงบ้านกินเมืองอย่างไม่แยแสกฎหมาย
      
        แต่ละวันมีแต่ข่าวกลุ่มคนหัวหงอก หัวดำ เข้าร่วมขบวนการเหลี่ยมร้าย รับตำแหน่งกรรมการต่างๆ แลกกับการสร้างบุญคุณสารพัด บางรายมีปัญหาคดีอาญาร้ายแรงเกี่ยวโยงลูกหลาน ต้องอาศัยบารมีเครือข่ายเหลี่ยมร้ายช่วยให้พ้นโทษ
      
        เมื่อเห็นการใช้อำนาจนอกระบบได้ผล ก็ยอมสยบต่ออำนาจเหลี่ยมร้าย เป็นผีโม่แป้งด้วยความเต็มใจ ยอมบริการทุกอย่างแม้แต่การทรยศสถาบัน ขายชาติ ไร้จิตวิญญาณ แลกกับการอยู่ดีกินดีมีสุข นั่งอยู่บนกองทุกข์ ทะเลน้ำตาของประชาชน
      
        เงินเหลี่ยมร้ายจึงมีพลังมากกว่าเงินของมหาเศรษฐีอื่นๆ มีอำนาจการเมืองหนุนเป็นฐาน! ยิ่งเหลี่ยมร้ายใช้เงินเปิดหน้ากาก สันดาน ธาตุแท้ของพวกนักสร้างภาพได้มากเท่าไหร่ ชาวบ้านก็ได้เห็นกำพืดของพวกนักตีกิน นักแสวงหาสันติภาพ เป็นกลาง
      
        สถานการณ์บ้านเมืองยุคนี้จะหวังให้คนรุ่นใหม่สืบสานมรดกของชาติ คงยาก นักศึกษาเยาวชนปัจจุบันตกเป็นทาสของระบบบริโภคนิยม ฟุ้งเฟ้อ อยู่ไปแต่ละวันเพียงแต่หาจังหวะ ทางลัด ให้ชีวิตดีกว่าเดิม ไม่ใส่ใจหลักศีลธรรม คุณธรรม ความสุจริต
      
        พวกมุ่งกิจกรรมการเมือง มีแต่กลุ่มจ้องล้มเจ้า หมิ่นสถาบัน เอาเป็นแฟชั่นโมเดลโก้ๆ ออกแนวปัญญาชน หารู้ไม่ว่าตัวเองตกเป็นทาสทางความคิดของพวกหลงยุค ลืมบุญคุณแผ่นดิน ขาดจิตสำนึก การรับรู้คุณค่าของความเป็นชาติ ไม่เคยเป็นอาณานิคม
      
        ที่น่าสมเพชเวทนาคือกลุ่มชนซึ่งกระสันลดระดับตัวจากความเป็นชนชาติ ให้เป็นเพียงชนเผ่าเสื้อแดง ประกาศเปิดตัวหมู่บ้านได้แล้วกว่า 8 พันแห่ง แต่เป็นเพียงชนกลุ่มน้อยในสังคม! นี่เหมือนกับการประจานตัวเองว่าเป็นกลุ่มขาดอิสรภาพทางความคิด
      
        ด้านจิตใจนอกจากฝักใฝ่เงินชั่วร้ายจากขบวนการเหลี่ยม ยังยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับเงินเพียงเล็กน้อยในฤดูกาลเลือกตั้ง รับเพียง 500 บาท หรือ 1,000 บาท ค่าตัวต่ำกว่าหมาไทยถูกลักลอบนำออกไปขายให้ชาวเวียดนามเปิบเป็นอาหารรสเลิศ
      
        มองไปข้างหน้าวิญญูชนคนห่วงบ้านเมืองรู้สึกวังเวง มีสิ่งบอกเหตุว่าชะรอยจะเลี่ยงการปะทะกันทางความคิด ใช้ความรุนแรงประหัตประหารกันเป็นกลียุค ถึงขั้นเป็นสงครามกลางเมืองหรือไม่ ขึ้นอยู่กับหน่วยงานรักษาความมั่นคงว่าพร้อมเพียงใด
      
        ปัจจัยตัวเร่งคือขบวนการเหลี่ยมร้ายพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแก้มาตรา 112 ให้หมิ่นเจ้า การแก้ไข พรบ. กลาโหม การใช้อำนาจการเมืองล้างผลาญงบประมาณ ทรัพยากรแผ่นดิน พฤติกรรมขายชาติต่างๆ จะนำไปสู่ความไม่สงบในบ้านเมือง
      
        การโอนหนี้เน่า 1.14 ล้านล้านบาทให้ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดช่องให้กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทเอามาถลุง! ถ้างาบ 20-30 เปอร์เซ็นต์ก็จะได้ทุนซื้อเสียงกุมอำนาจรัฐต่อเนื่อง เป็นประชาธิปไตยโดยเผด็จการผ่านรัฐสภา ใช้เงินกดหัวชาวบ้านให้จำยอม
      
        มีความหวังอะไรเหลือสำหรับการเปลี่ยนแปลงกระแสโดยสันติ ปราศจากความรุนแรง? คงจะยาก เมื่อนโยบายเยียวยาอาชญากร ผู้ก่อการร้าย ฆ่าทหาร ปล้นร้านค้า เผาบ้านเผาเมือง ด้วยยอดเงิน 7.75 ล้านบาทสำหรับผู้เสียชีวิต จะเป็นตัวล่อ
      
        รัฐบาลหวังจะได้พลังมวลชนหิวเงิน ไร้จิตสำนึกเป็นฐาน และเกราะกำบังการเปลี่ยนแปลง การคัดค้านนโยบาย พฤติกรรมรัฐบาลโดยกลุ่มอื่นๆ! เมื่อบาดเจ็บล้มตายจะได้รางวัล ผลตอบแทนเป็นเงินสดๆ ก้อนใหญ่ กุ๊ย อันธพาลการเมืองก็กล้าเสี่ยง
      
        มีที่ไหนในโลก ที่อาชญากร ผู้ก่อการร้าย ฆ่าเจ้าหน้าที่ ได้รับผลตอบแทนเป็นเงิน! นี่คือสัญญาณชัดของการล่มสลายของระบบนิติรัฐ บ้านเมืองไร้ขื่อแป! ไม่เพียงแต่คนไทยจะเลิกหวังในกระบวนการยุติธรรม ต่างชาติยิ่งมองไม่เห็นบ้านเมืองมีหลักการ
      
        เมื่อบริหารประเทศโดยไม่เคารพกฎหมาย ไร้ระเบียบ ศีลธรรม คุณธรรม บ้านเมืองจะมีแต่อาชญากรต่างชาติเข้ามาต้มตุ๋น หลอกลวง สร้างเครือข่ายนอกกฎหมายสารพัด นักลงทุนจะมีแต่พวกฉวยโอกาสปล้นทรัพยากร ทิ้งกากสารพิษไว้
      
        แผ่นดินไทยมีแต่เชื้อชั่ว นักขายชาติ มุ่งชิงผลประโยชน์ มีเครือข่ายเหลี่ยมร้ายเป็นแกนหลัก ตีกินจากนักแสวงโชค ทำให้การขายชาติ ยึดครองทรัพย์สินแผ่นดินเป็นรูปธรรม รับรองโดยกฎหมายเถื่อน ผ่านสภาตรายางของโสเภณีการเมืองหิวเงิน
      
        จากนี้ไปจะมีกลุ่มสารพัดเรียกร้องให้รัฐบาลปูคูปองช่วยเหลือ บริษัทน้ำมันประกาศขึ้นราคาแทบเป็นรายวัน กระทรวงพลังงานทวงภาษีคืน หลังจากลดภาษีหลอกชาวบ้านให้มีความสุขชั่วคราวกับน้ำมันเชื้อเพลิงราคาถูก! ความสุขย่อมมีวาระสิ้นสุด
      
        จากนี้ไปทุกข์ของชาวบ้านจะเพิ่ม สร้างปัญหาให้รัฐบาลปูคูปอง เมื่อหลายประเด็นประดังเข้ามารุมเร้า จะก่อตัวเป็นวิกฤติรอบใหม่ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ภัยธรรมชาติ การขาดแคลน แย่งชิงทรัพยากร สร้างกระแสความไม่พอใจ โกรธแค้น!
      
       ไม่ต้องให้หมอดูมาทำนาย ก็บอกได้ว่าเค้าลางหายนะเริ่มปรากฎให้เห็นแล้ว!
      
        เตรียมตัวไว้ วิกฤติที่ผ่านมาป็นเพียงการทดสอบ รอบจริงจะตามมาแน่ๆ ถ้าประชาชนส่วนใหญ่เจ้าของประเทศยังนั่งงอมืองอเท้า รอถูกการยัดเยียดให้เป็นทาสการเมืองยุคใหม่ของขบวนการเหลี่ยมร้าย หวังลงรากลึก ล้มสถาบันหลักสำเร็จ!
      
        ถ้าจะให้บ้านเมืองล่มจม หรือจมปลักเป็นทาสเหลี่ยมร้าย ก็ตามใจ!