26 พฤษภาคม 2554

10 ปี 10 วิบัติ ปท.ย่อยยับด้วยน้ำมือนักการเมือง

"รศ.ดร.พิชาย" ชี้ 10 ปี 10 วิบัติ ปท.ย่อยยับด้วยน้ำมือนักการเมือง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์27 พฤษภาคม 2554 03:11 น.

"รศ.ดร.พิชาย" เปิดมุมมองวิบัติจากนักการเมือง ระบุใช้ประชานิยมมอมเมาปชช. เป็นบันไดสู่อำนาจ จนมีแต่คนเลวเข้ามาครองเมือง ทำให้ความยุติธรรมสูญสลาย จัดการนักการเมืองโกงไม่ได้ แพร่โรคระบาดคอร์รัปชั่นจนเป็นเรื่องปกติ เป็นตัวอย่างขายตัวขายวิญญาณให้กับเงิน เปลี่ยนจากสังคมเอื้ออารีเป็นหวาดระแวง เกลียดชั่ง ถึงขั้นปล่อยปะละเลยให้เขมรรุกล้ำดินแดนไทย จนความมั่นคงของชาติกำลังสั่นคลอน
       
       วันที่ 26 พ.ค.2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวถึงวิบัติ 10 อย่างในช่วงเวลา 10 ปี นับตั้งแต่พ.ศ. 2544 สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมามีอำนาจ ประชาชนอย่างเราต้องเชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต จากน้ำมือของนักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศ
       
       1.การเมืองล้มเหลว กล่าวคือ มีแต่คนเลวเข้ามาครองเมือง สิ่งที่บ่งชี้ให้เห็นคือ 1.ตั้งแต่ปี 2544เป็นต้นมา รัฐบาลไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงาน ไม่สามารถแก้ปัญหาสังคม ใช้อำนาจฉ้อฉลสร้างประโยชน์แก่พวกพ้องตัวเองเป็นหลัก ทุจริตคอร์รัปชั่น 2.ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขถูกบ่อนทำลาย จนเหลือแต่ซาก ไม่ต่างจากบ้านที่โดนปลวกกัดกินเนื้อในไม้จนหมดสิ้น เหลือแต่เปลือกไม้ให้เราเห็นว่าเป็นประชาธิปไตยอยู่ 3.เกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างมากมาย และรุนแรงจน มีคนบาดเจ็บล้มตาย ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง
       
       2.สังคมแตกสลาย ทั้งนี้สังคมไทยในอดีตเป็นสังคมที่เอื้ออารี ไว้วางใจกันสูง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่หลังจาก ปี 2544 ความไว้วางใจระหว่างคนในสังคมสูญสลาย มีแต่ความหวาดระแวง ความเกลียดชั่งค่อยๆก่อตัวมากขึ้นทุกวัน มีอาชญากรรมแปลกๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก เช่นอาชญากรต่อเนื่องที่ฆ่าโสเภนีหลายราย เด็กอายุ 13 ข่มขืนฆ่าเด็ก 9 ขวบ วัยรุ่นใจแตกจนกระทั่งเกิดสถิติใหม่วัยรุ่นติดเอดส์จำนวนมาก ทำแท้งมากอย่างน่าใจหาย ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี่นับวันจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ
       
       3.ประชาชนถูกมอมเมาจนงมงาย แบ่งออกเป็น 1.ถูกนักการเมืองมอมเมาด้วยประชานิยม ใช้ประชาชนเป็นบันไดสู่อำนาจ ถือได้ว่าเป็นโรคชนิดหนึ่งเป็นยาเสตพติดที่ติดเชื้อ กำเนิดจากไทยรักไทย แล้วแพร่ระบาดไปทุกพรรค 2.ถูกมอมเมาด้วยละครน้ำเน่า ทำให้คนตกอยู่ในโลกความฝัน เรียนแบบละครจนทำให้เด็กบางคนเปลี่ยนนิสัยกลายเป็นเด็กขี้อิจฉา ริษยา 3. ถูกมอมเมาด้วยลัทธิความเชื่อแบบแก้กรรม เพราะเขาไมมีความมั่นคงในชีวิต เครียด อันเป็นสาเหตุมาจากเพราะนักการเมือง ที่ไม่สามรถทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคง เลยทำให้คนไปหาไสยศาสตร์ ความงมงายมากขึ้น
       
       4.สิ่งแวดล้อมย่อยยับ ใน 10 ปีที่ผ่านมาทรัพย์ยากรถูกทำลายล้างอย่างไม่เคยมีมาก่อน ป่าไม้ถูกบุกรุก จนเกิดภาพที่เราเห็นภูเขาถล่มทำให้ทั้งตำบลจมหาย หรือกรณีมาบตาพุด คนเจ็บ ตายมากมาย จากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ต้องถามว่าการปล่อยให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เป็นฝีมือใคร ก็นักการเมืองนั่นแหละ มีอำนาจอยู่ในมือไม่เข้าไปจัดการ รับประโยชน์จากนายทุนแล้วปล่อยปะละเลย ขืนปล่อยให้นักการเมองชั่วอยู่ต่อไปจะวิบัติมากกว่านี้
       
       5.เศรษฐกิจคลอนแคลน ที่ผ่านมาระบบเศรฐกิจของเราเหมือนอยู่บนเส้นด้าย ข้าวของแพง มีช่วงหนึ่งคนว่างงานจำนวนมาก จนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ นี่แหละต้องออกเช็กช่วยชาติแจกคนละ 2,000 บาท ซึ่งทำเป็นอยู่เรื่องเดียวแจกเงิน นโยบายไหนที่อาศัยปัญญาความกล้าหาญแก้ไข แกทำไม่ได้สักอย่าง ไม่ว่าเขาวิหาร คอร์รัปชั่นจัดการไม่ได้เลย ที่สำคัญหนี้สินเพิ่มขึ้นตอนนี้พวกเรามีหนี้สาธารณะเฉลี่ย ครัวเรือนละ 100,000 บาท เกิดตั้งแต่สมัยพ.ต.ท.ทักษิณสะสมมาถึงปัจจุบัน เถ้าคนพวกนี้ข้ามาบริหารประเทศอีก หนี้สินก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจน ประเทศล้มละลายในที่สุด
       
       6.การศึกษาตกต่ำ ตั้งแต่มีการปฏิรูปการศึกษาทำให้ครูดีๆ เก่งๆ ออกเกือบหมด เหลือแต่ครูที่ไม่รู้จะไปไหนอยู่ แล้วครูพวกนี้ยังไม่มีเวลาสอนเด็กอีก ต้องเอาเวลามาทำผลงานทางวิชาการเพื่อแสวงหาความก้าวหน้า หรือไม่ก็ไปทำอาชีพเสริม ระบบประกันคุณภาพ ไม่ได้ช่วยทำให้นักศึกษาเก่ง เห็นได้จากนักเรียนสอบโอเน็ตตกเกือบทั้งประเทศ ซ้ำร้ายสภาบันที่สอนปริญญาโท แข่งกันเปิด คนจบเต็มไปหมดแต่มีความรู้จริงๆไม่ถึงครึ่ง ร้ายกว่านั้นบางที่เปิดปริญญาเอกไปเชิญนักการเมืองมาเรียน เพื่อให้นักการเมืองเอาทำโก้ ไปอวด ทั้งที่ปัญญามีเท่าหางอึ่ง
       
       7.คุณธรรมเสื่อมทราม แบ่งเป็น 1.เกิดการแพร่ระบาดของการคอรัปชั่น จนคนมองเป็นเรื่องปกติหากได้ผลประโยชน์ด้วย 2.มีคนในหลากหลายอาชีพ ขายตัว ขายวิญญาณให้กับเงิน โดยไม่คำนึงความเป็นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตั้งแต่ในสภาจนถึงหมู่บ้าน 3.เกิดลัทธิบูชาคนชั่วเป็นพระเจ้าอย่างไม่ลืมหูลืมตา 4.โกหกตอแหลแพร่ระบาด คนที่เราเคยคิดว่าดีๆ ก็ติดเชื้อไปด้วย
       
       8.ยาเสพติดและคอร์รัปชั่นเกลื่อนเมือง เห็นได้จากช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเยาวชนติดยาเพิ่มขึ้น ปี 51เยาวชนติดยาเสตติดไม่ถึง 1% ปี52 เพิ่มเป็น 4% ปี53 7% และปี45เพิ่มเป็น 12% โดยที่รัฐบาลไม่ทำอะไรเลยไม่ทำอะไรเลย ส่วนคอร์รัปชั่นเห็นๆกันอยู่โกงกินอย่ามโหฬาร ในทุกระดับทุกองค์กร
       
       9.กฎหมายหมดสภาพ ความยุติธรรมสูญสลาย ทั้งนี้หากจำได้ตอนเสื้อแดงประท้วง ละเมิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิมนุษย์ กฎหมายจัดการไม่ได้ แถมผู้รักษากฎหมายจำนวนหนึ่งยังให้ท้ายอีกต่างหาก และตลอดตั้งแต่ปี 50 นอกจากกรณีพ.ต.ท.ทัก โดนคดีไป 2 ปี ก็ไม่เคยมีนักการเมืองรายอื่นโดนคดีทุจริต ซึ่งไม่รู้ว่า ป.ป.ช. หลับอยู่หรือไม่
       
       10.ความมั่นคงของชาติกำลังสั่นคลอน รัฐบาลปล่อยปะละเลยให้กัมพูชาเข้ามาอยู่ในดินแดนไทย ปัญหาอธิปไตยของชาติไม่เคยอยู่ในสายตา ในภาวะหาเสียงเลือกตั้งเช่นนี้ ก็ไม่เห็นมีพรรคการเมืองไหนใช้ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องดินแดนหาเสียง ฉะนั้นเราจะเอามันเข้ามาอีกหรือ หากไม่เอาต้องไปโหวตโน

23 พฤษภาคม 2554

น้องมินิ


จาก ‘นอมินี’ ถึง ‘น้องมินิ’
โดย โสภณ องค์การณ์23 พฤษภาคม 2554 16:52 น.
การเมืองไทยมีบรรยากาศของความหลากหลายมิติ สะท้อนให้เห็นภาพเหมือนหนังไทยผสมละครทีวี มีครบฉากบู๊โลดโผน ฆ่าฟันห้ำหั่น ทรยศหักหลัง รักโศกเศร้า ตลกด้าน และโป๊ ให้ พระเอก นางเอก ตัวโกง โจรผู้ร้าย ตัวประกอบ เล่นแบบตีบทให้แตก
      
        ถ้าการแสดงไม่เนียน เก้ๆ กังๆ พูดจาเหมือนท่องบท คนดูร้องยี้! ช่วงนี้เราเห็นนักการเมืองจึงรับบทนักแสดงในการตระเวนหาเสียง ซื้อใจ หว่าน ป้อน ยัดเยียดคำมั่นสัญญาสารพัด สลับกับฉีกยิ้มมุมปากเกือบถึงใบหู ให้ชาวบ้านด้วยมิตรไมตรีจิตอันดียิ่ง
      
        แตกต่างจากเวลาชาวบ้านพกพาความทุกข์ระทมไปขอพบในทำเนียบฯ กระทรวง เมื่อคนใกล้ชิดเสนาบดีผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ชายตามองเหมือนเห็นหมูหมากาไก่
      
        ถึงอย่างไร ความอัปลักษณ์ของการเมืองไทยยุคนี้เกินกว่าที่ผ่านมา เห็นพวกเสนอหน้ามาเป็น ส.ส. ล้วนแต่ประวัติฉาว มีอาชญากรก่อการร้าย นักฆ่า โจรปล้นสะดมร้านค้า นักวางเพลิง ทุรชนทุกสายพันธุ์ ขี้คุก เดนตะราง ขยะสังคม นักฉกที่ดินวัด ฯลฯ
      
        ถ้าเลือกมาครบ 500 คน จะหาวิญญูชน สาธุชนคนดี สักโหล คงยาก!
      
        ช่วงนี้ต้องทำใจ ถ้าไปไหนแล้วพบปะขบวนนักหาเสียงเข้ามายกมือไหว้ ทักทายด้วยภาษาของนายแสนดีวจีไพเราะ เหมือนเป็นญาติสนิท มิตรสหายใกล้ชิด แจกบัตรแนะนำตัวเอง มองด้วยสายตาเว้าวอน ปากหวานออดอ้อน ขอให้ลงคะแนนเลือกด้วย
      
        เป็นเทศกาลสำหรับนักการเมืองได้พล่ามโวโม้ โกหกพกลม ไม่กะพริบตา ด้วยคำสัญญาลมๆ แล้งๆ ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อประชาชน แต่ไม่บอกว่าจะทำงานด้วยความซื่อสัตย์ มีนโยบายปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ กำจัดพวกกังฉินกินเมือง
      
        พวกเคยได้อยู่ในรัฐบาล ไม่อธิบายว่าทำไมผลงานไม่เข้าตาประชาชน มีแต่ข่าวโกงบ้านกินเมือง งาบคำโต ไม่ฟังคำท้วงติงแนะนำในนโยบายต่างๆ มีแต่ความยโสโอหัง
      
        สื่อเสนอข่าวตามกระแสความเคลื่อนไหวของนักอ่อยเหยื่อ แต่ไม่ตั้งคำถามอย่างจริงจังให้นักการเมืองตอบในเรื่องสำคัญต่างๆ ให้ประชาชนได้ข้อมูลใช้ตัดสินใจ
      
        ชาวบ้านกำลังตื่นเต้นกับปรากฏการณ์ “ขี้ใหม่หมาหอม” ของน้องจอมวีนแตก คนแห่ล้อมหน้าล้อมหลัง! นักเชลียร์หวังได้ตำแหน่งสำคัญ กระเหี้ยนกระหือรือ อยากวางตัวใกล้ชิดเพื่อเบิกน้ำเลี้ยงจากเจ้าของพรรคชาวต่างประเทศเหลี่ยมจัด หนีคุกไทย
      
        “น้องปู” และ “พี่มาร์ค” ชิงพื้นที่ข่าวเด่นหน้า 1 สื่อสิ่งพิมพ์ รายการข่าวทีวี แข่งจัดกิจกรรมต่างๆ เอาอกเอาใจประชาชน สะท้อนให้เห็นความจริงว่า “นักการเมืองคือพวกที่เดินยกมือเข้ามาไหว้เราให้เลือกเขาเข้าไปในสภา 500 แล้วให้เราไหว้หลังจากนั้น”
      
        สำหรับ “น้องปู” เบอร์ 1 พรรคแดงเพื่อพี่เหลี่ยมกำลังสนุกกับการเร่งหว่านเสน่ห์ความใสอย่างเต็มสูบ โชว์วิสัยทัศน์ ความรอบรู้ สติปัญญา อย่างค่อนข้างประหยัด! ไม่ให้หลุด! ใช้คำขวัญ “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” ย้ำชัดว่า “พี่ชายสั่งอย่างไร น้องทำให้”
      
        มีใครฉุกคิดว่าพรรคแดงของน้องปูนั้นอยู่ภายใต้การกำกับด้านทิศทางนโยบายโดยพี่เหลี่ยม ชาวมอนเตเนโกร? มีนัยชัดว่าพรรคแดงต้องการชนะเลือกตั้ง ปลดเปลื้องโทษจำคุกและคดีอาญาอื่นๆ ให้อาชญากรต่างสัญชาติ เข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง
      
        ถ้า กกต.ได้รับคำร้องให้พิจารณาประเด็นนี้ จะมีใครโวยมั้ย? กกต.จะกลัวพวกเสื้อแดงแห่ไปขู่คุกคามถึงสำนักงานเหมือนช่วงแดงชุมนุมกลางเมืองหรือไม่?
      
        จากยุค 2 “นอมินี” รัฐบาล “หมัก” และ “ชาย ตู้เย็น” นายกฯ นอกทำเนียบฯ โดนพันธมิตรฯ จัดหนักแบบเกรียน จบไม่สวย มาถึงจุดเปลี่ยนผ่านเป็น “น้องมินิ” น้องนุชสุดเลิฟของพี่เหลี่ยม รับประกันความเหมือนของดีเอ็นเอจากกระบวนการโคลนนิ่ง!
      
        เปิดตัวด้วยการอ่อยว่า “ไม่ล้างแค้น” แบบนี้ชาวบ้านฟันธงว่ามีล้างแค้นแหงๆ! ยังไม่ลืมยุคเหลี่ยมผยองว่าเป็นเจ้าของนโยบาย “พูดอย่าง ทำอย่าง” ดัชนีของการล้างแค้นมีแค่ไหน “สิงห์เหลิม บางบอน” ได้โชว์แรงอาฆาตให้ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ เชียงราย รู้ซึ้งแล้ว
      
        นอกจากข้าราชการ เป้าหมายหลักคือพวกขาใหญ่ค่ายสะตอ! “สิงห์เหลิม” มองว่าพวกนี้ได้ออกคำสั่งให้ทหารไปปราบปรามผู้ก่อการร้ายแดง!
      
        นักการเมืองแข่งหาเสียง ตั้งเวทีแหกปากสัญญาว่าจะทำสารพัด! ชาวบ้านอยากรู้ว่า “จะจ่ายเท่าไหร่” เป็นแรงจูงใจให้ไปกาเบอร์! อย่างอื่นว่ากันทีหลัง แม้แต่ค่ายสะตอรักษาการแท้ๆ ยังพูดไม่เต็มปากว่าผลงานที่ผ่านมาถูกใจอย่างไร จะได้โม้ถนัดๆ
      
        ทำไมกระแสพรรคเพื่อชาวมอนเตเนโกรมาแรง แซงหน้าค่ายสะตอทุกโพล ทั้งๆ ที่ค่ายสะตอเน้นนโยบายประชานิยม ลดแลกแจกแถม เอาใจชาวบ้านตลอด 2 ปี??
      
        ชาวบ้านชี้ให้เห็นว่านโยบายประชานิยมโดย “เหลี่ยม” และ “มาร์ค” ต่างกันในสาระสำคัญ คือ “การได้รับเม็ดเงิน” ซึ่งสร้างความประทับใจแม้จะเป็นการสร้างหนี้
      
        ค่ายสะตอมีนโยบายประชานิยมอื้อซ่า จัดสรรงบประมาณให้โครงการต่างๆ ผ่านองค์กรส่วนท้องถิ่น เมื่อถึงมือชาวบ้าน แทบไม่เหลืออะไร! เหมือนแท่งไอติมผ่านการดูดจากทำเนียบฯ กระทรวง ผ่านกรม จังหวัด อำเภอ ตำบล สู่ท้องถิ่น ชนบทนาดอน
      
        ผ่านปากเสือหิวทุกระดับถึงชาวบ้านก็เหลือคราบน้ำลายบูดติดไม้แท่งไอติม! นักธุรกิจโวยว่าการงาบหัวคิวยุคนี้สูง 50 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับ 20-30 เปอร์เซ็นต์ในยุคเหลี่ยม
      
        ประชานิยมยุคเหลี่ยมเป็นการนำเงินสดๆ ไปให้มือชาวบ้านจับต้องเงินจริงๆ ผ่านกองทุนหมู่บ้าน กองทุนพิเศษเร้นลับ ซื้อใจชมรมแม่บ้าน! แบบนี้ใครๆ ก็รักหลงเหลี่ยม
      
        หล่อแบบ “มาร์ค” กินไม่ได้! จะพลิกเกมสู้กระแส “น้องมินิ” อย่างไร! ไม่ว่าค่ายเหลี่ยมหรือค่ายหล่อชนะ บ้านเมืองยังต้องโดนโกงกินล้างผลาญเหมือนเดิมนิ! อิอิอิ!!!