25 กรกฎาคม 2552

เวลาของท่านนายกฯ เหลือน้อยแล้ว


โดย พลอากาศเอกเทอดศักดิ์ สัจจะรักษ์24 กรกฎาคม 2552 14:57 น.
หลังจาก ฯพณฯ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้บริหารประเทศผ่านพ้นไป 6 เดือน ได้มีบุคคลต่างๆ ทั้งพวกที่สนับสนุนและต่อต้านท่าน พากันออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้น ไม่ว่าสื่อมวลชน คอลัมนิสต์ นักวิชาการจากสถาบัน และอิสระไม่เว้นแม้คอการเมืองทั่วไปที่เข้าไปแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อทางอินเทอร์เน็ต สำหรับพวกที่คัดค้านหรือต่อต้านท่านนายกฯ แบบขวาตกขอบ ผมขอข้ามไปไม่ขอพูดถึงเพราะคนพวกนี้ ไม่ว่าท่านนายกฯ จะถูกหรือผิด ดีหรือเลว แม่ง.......ก็ด่าได้ทุกเรื่อง ค้านได้ทุกเรื่องไป

แต่ที่ผมอยากพูดถึงและออกจะแปลกใจเอามากๆ ก็คือ ได้มีกลุ่มคนที่ออกตัวว่าเคยรักใคร่และสนับสนุนท่านนายกฯ อยากให้อยู่นานๆ เพื่อแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง พากันออกมาติติงในลักษณะต่างๆ กันมากขึ้น บ้างก็ติเพื่อก่อบ้างติติงการทำงานที่ไม่มีเอกภาพไปยอมพรรคร่วมรัฐบาลมากไป ติว่าไม่มีผลงานผ่านไป 6 เดือนเปรียบเทียบกับรัฐบาลสมัย คมช.ที่ว่าแย่กลับแย่กว่า ปัญหาด้านความมั่นคงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาชายแดนกัมพูชา ปัญหาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงโดยกลุ่มผู้ไม่หวังดีและวิทยุชุมชนบางแห่งรัฐบาลยังแก้ไขไม่ได้เลย ทั้งที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือซ้ำร้ายสถานการณ์กลับเลวลงกว่าเก่า ขนาดนายกฯ และคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่บางจังหวัดไม่ได้ ไม่มีความปลอดภัย และที่น่าเป็นห่วงเอามากๆ ก็เห็นจะเป็นบรรดาลูกพรรคประชาธิปัตย์และคนที่สนับสนุนพรรคพากันออกมาแสดงอาการรังเกียจ และไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพรรคในระยะหลังๆ แบบชนิดไม่เกรงใจหัวหน้าพรรคกันอีกต่อไปแล้ว

ถ้าท่านนายกฯ เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนคำพังเพยที่ว่า คนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อถือเป็นเรื่องปกติทางการเมืองก็ไม่ว่ากัน แต่ผมว่าท่านอย่าใจเย็นนะครับท่าน น่าจะให้ทีมงานที่ปรึกษาวิเคราะห์ดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วรีบหาทางแก้ไขในกรณีที่ท่านห็นว่าข้อติติงนั้นมีเหตุผลและรับฟังได้

ผมเองก็เป็นแฟนคลับของท่านคนหนึ่ง จากสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ ผมอยากให้ท่านนายกฯ มีโอกาสได้บริหารบ้านเมืองเพื่อแก้วิกฤตชาติไปนานๆ เพราะผมยังมีความเชื่อและศรัทธา ถ้าจะนำนักการเมืองที่สังกัดพรรคการเมืองทั้งซีกฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลที่มีอยู่ในเวลานี้ มาเปรียบเทียบคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ ความเหมาะสมในการเป็นนายกรัฐมนตรีแบบภาษานักมวยที่พูดว่า หมัดต่อหมัด น้ำหนักปอนด์ต่อปอนด์ ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ชนะขาดในเวลานี้ แม้จะเป็นนักมวยหน้าใหม่ โอกาสแสดงฝีมือยังน้อยแต่ก็แฝงเสน่ห์ไว้ด้วยความสุภาพเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าวและแถมรูปหล่ออีกต่างหาก

แต่อย่างไรก็ตาม คนที่รักกันและมีความปรารถนาดีต่อกันใช่ว่าจะตัองชมกันทุกเรื่องไป บางครั้งก็จำเป็นต้องท้วงติงกันบ้าง เสนอแนะกันบ้างส่วนว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็คงไม่ว่ากัน แต่ก็ขอกราบเรียนว่ากระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ เหมือนบทความที่ผมเคยเขียนเรื่อง ต้องกล้าๆ หน่อยท่านนายกฯ ภายหลังพวก นปช.ปฏิบัติการสงกรานต์เลือดไม่กี่วัน ผมเคยเชียร์ให้ท่านนายกฯ กล้าตัดสินใจ ให้มีความเด็ดขาดในการแก้ปัญหา อย่าซื้อเวลากับเรื่องบางเรื่อง ในฐานะที่เคยเป็นทหารเก่าแม้จะเกษียณราชการมาแล้วก็ตาม ผมรู้สึกไม่สบายใจและไม่เห็นด้วยกับนโยบายด้านความมั่นคงบางเรื่องของท่านนายกฯ และบรรดาน้องๆ นายทหารที่เป็นบิ๊กๆ อยู่ขณะนี้เกี่ยวกับการซื้อเวลา

เรื่องแรก ก็คือ การปล่อยให้คนกลุ่มเสื้อแดงและคนกลุ่มที่เคยแสดงออกถึงการไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ออกมาปลุกระดมล่ารายชื่อ หนึ่งล้านชื่อเพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ นช.ทักษิณ ชินวัตรโดยไม่แคร์ต่อความรู้สึกของประชาชนผู้มีความจงรักภักดี ได้มีบุคคลมากมายที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เป็นนักวิชาการด้านกฎหมาย เป็นสื่อสารมวลชน ฯลฯ พากันออกมาทักท้วง บอกว่ามันทำไม่ได้ มันผิดขั้นตอน เพราะทักษิณยังไม่เคยรับโทษในคุก มันไม่ถูกขั้นตอนตามกฎหมาย

ไม่ว่าจะล่ารายชื่อได้ครบหรือไม่ จะได้มีโอกาสถวายฎีกาหรือไม่ก็ตาม การที่นายกฯ ปล่อยเวลาให้ยาวนานออกไป โดยที่กลุ่มผู้ดำเนินการยังไม่ยอมยุติได้สร้างความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้ เป็นการยอมให้คนผู้ไม่หวังดีแต่ประสงค์ร้ายดึงสถาบันลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทุกวันนี้เพื่อชักชวนประชาชนให้มาลงชื่อร่วมด้วย ได้มีสถานีวิทยุชุมชนบางแห่งปลุกระดมข้อความอันเป็นเท็จรวมถึงใบปลิวเถื่อนโจมตีสถาบันว่อนไปทั่วทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน ผมมีความเชื่อโดยไม่มีความสงสัยว่าท่านนายกฯ ก็ทราบเรื่องนี้ รองนายกฯ สุเทพก็ทราบหน่วยงานความมั่นคงก็ทราบ แต่ทำไมไม่ดำเนินการยุติเรื่องนี้โดยเร็วจะรอให้เกิดความเสียหายมากไปถึงไหน ท่านเป็นผู้บริหารสูงสุดของชาติจะรอให้ใครมาสั่ง คงไม่มีแล้วท่านต้องกล้าตัดสินใจเองเพื่อรักษาสถาบันเอาไว้

กลุ่มบุคคลต่อไปที่ผมเห็นสมควรถูกตำหนิในเรื่องเดียวกันนี้ ก็คือบรรดาบิ๊กๆทหารของกองทัพและและรมว.กห.ซึ่งเป็นอดีตทหารเก่าเช่นเดียวกับผม ตลอดเวลาที่เกิดเรื่องนี้ ผมไม่เห็นบิ๊กทหารคนไหนออกมากล่าวปกป้องสถาบันในฐานะที่ดำรงตำแหน่งนายทหารราชวัลลภรักษาพระองค์ ท่านทั้งหลายล้วนเคยกล่าวคำปฏิญาณตนต่อหน้าพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแล้วทั้งนั้นว่า ข้าฯ จะยอมตายเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า แล้วทำไมเมื่อถึงเวลาและโอกาสที่สมควรพูดหรือแสดงออกกลับไม่มีเหมือนกลัวดอกพิกุลจะหลุดจากปาก

เรื่องการจาบจ้วงสถาบันมีมานานและหนักขึ้นเรื่อยๆ ผ่านมาถึงรัฐบาลปัจจุบันนึกว่าจะเบาลงก็เหลว มันเป็นหน้าที่ของพวกท่านแล้วที่จะต้องบอกรัฐบาลว่าเรื่องนี้ทหารรับไม่ได้ ถ้าท่านได้พูดด้วยเหตุผลและความบริสุทธิ์ใจแล้วรัฐบาลยังเฉยหรือเข้าเกียร์ว่าง ก็คงตัองจับเข่าคุยกันระหว่างพี่ๆ น้องๆ ในฐานะทหารรักษาพระองค์ว่าจะทำอย่างไรดี เพื่อรักษาคำปฏิญาณนั้นไว้ให้ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่ทำอะไรเลยแล้ว วันที่ 3 ธันวาคมที่จะถึงนี้พวกท่านจะกล่าวคำปฏิญาณว่าอย่างไร

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมขอแสดงความเห็นต่างมุมกับท่านนายกฯ กรณีตำรวจตั้งข้อหาแกนนำ พธม.และคณะว่าเป็นผู้ก่อการร้ายสากล ท่านนายกฯ ได้แสดงจุดยืนว่าท่านจะไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่ ในเรื่องนี้ได้มีผู้รู้ออกมาแสดงความคิดเห็นประเด็นของข้อหาว่าน่าจะไม่ถูกต้องและไม่เข้าหลักเกณฑ์ และเรื่องนี้มีการเมืองเข้ามาชี้นำอย่างแน่นอน พธม.ไปรายงานตัวแต่ไม่ยอมรับข้อกล่าวหาแถมมีการฟ้องกลับเรื่องจึงทำท่าจะบานปลายและผลเสียของเรื่องนี้จะกระทบต่อท่านนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์อย่างไม่ต้องสงสัย ข้อหานี้แม้จะมีโทษหนักถึงประหารชีวิต แต่คนเหล่านั้นเขาไม่เคยกลัวเพราะข้อหากบฏก็โดนมาแล้ว เพราะตั้งตามใบสั่งทางการเมืองท้ายสุดศาลท่านก็ไม่รับฟ้อง แต่ที่เขาโกรธก็เพราะข้อหานี้มีเจตนาจะกำจัด รัฐมนตรี กษิต ภิรมย์แต่เพียงผู้เดียว โดยฝีมือคนในพรรคประชาธิปัตย์บางคนร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลและการร่วมกระทืบซ้ำโดยพรรคฝ่ายค้าน เพราะเรื่องนี้มันเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน เพราะรัฐมนตรีกษิตเป็นคนที่รู้ทันทักษิณ เกาะติด กัดไม่ปล่อยเป็นมวยที่ถูกคู่ที่สุดและเป็นคนที่ทำให้ทักษิณเหลือที่ยืนในต่างประเทศน้อยลงเรื่อยๆ

ท่านกษิตแม้จะเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์แต่ก็เป็นฮีโร่ในดวงใจของ พธม.จึงไม่ต้องแปลกใจ ถ้ากษิตถูกต้อนจนตกเวทีเมื่อไร ท่านนายกฯ และพรรคการเมืองของท่านก็จะถูกบรรดา พธม.ทำให้เวทีทางการเมืองของประชาธิปัตย์เล็กลงอย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะเพียงท่านอยากจะบอกว่าท่านเป็นกลางแม้ข้อหาจะไม่ถูกต้องและเป็นธรรม จะทำอะไรก็ต้องรีบแล้วละครับ ผมเดาว่าท่านนายกฯ ก็คงรู้ข้อหาการเมืองเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร ถึงวันนี้คนตั้งข้อหาเขาพูดว่าผู้ก่อการดี แล้วทำไมท่านปล่อยบรรดาคนรอบข้างและพรรคฝ่ายค้านละเลงสีจนเลอะ ท่านนายกฯ เองก็เปลืองตัวเอาเวลาเรื่องนี้ไปใช้แก้ปัญหาบ้านเมืองดีกว่า

ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์มีประวัติในอดีตที่งดงาม มีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่วัยเด็ก วันนี้ความฝันของท่านก็เป็นจริงแล้ว ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย แต่ผมไม่ทราบว่าท่านฝันจะเป็นนายกฯ ที่ประชาชนคนไทยจดจำและยกย่องเชิดชูในคุณงามความดี หรือสักแต่ได้ชื่อว่าเป็นนายกฯ เหมือนอดีตนายกฯ คนก่อนๆ ก็พอแล้ว ท่านอาสาเข้ามาบริหารประเทศในเวลาที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤต ประชาชนต้องการผู้นำที่กล้าหาญ เด็ดขาดและมือสะอาด ท่านต้องไม่ลืมธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่องมงคลชีวิต 38 ข้อแรกเลยคือ การไม่คบคนชั่วเป็นมิตร

ผมขอเรียนว่าคนรอบข้างท่านช่วยเหลืองานท่านมีทั้งคนดี คนไม่หวังดีและคนชั่ว ถ้าท่านยังแยกแยะไม่ออก หรือมัวแต่เกรงใจ เวลาในการบริหารบ้านเมืองที่ดูเหมือนว่ามันเหลือน้อยอยู่แล้วจะยิ่งน้อยไปอีก มิตรเทียมของท่านกำลังทำลายท่านตลอดเวลา และคนที่เคยรักและชอบท่านกำลังจะลดน้อยลงและทิ้งท่านไปเรื่อยๆ เพราะท่านไม่ได้ทำตามที่ท่านเคยเขียนไว้ในหนังสือของท่านเลย

และสุดท้ายอยากกราบเรียนว่า คดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำมวลชนและสื่อมวลชนอย่างโหดเหี้ยมและอุกอาจ เป็นเสมือนฝีร้ายในตัวรัฐบาลที่กำลังอักเสบและรอเวลาที่จะแตก ความลับมันไม่มีในโลก ใครเกี่ยวข้องบ้าง ท่านนายกฯ ก็คงทราบนานแล้วจากการรายงานของตำรวจ แต่การไม่รีบเร่งดำเนินการเพราะคิดว่ายังเก็บความลับไว้ได้หรือเกรงใจคนบางกลุ่ม จนคนร้ายหลบหนีทำลายหลักฐาน ท่านให้สัมภาษณ์ว่าเจอแต่ตอ ถ้าไม่รีบผ่าตัดเอาฝีร้ายออกก่อนที่มันจะแตกหนทางที่จะรอดก็เหลือน้อยแล้วละครับ

ไม่มีความคิดเห็น: