13 ตุลาคม 2552

ANNEX 1 ที่ทำให้เราเจ็บปวดทั้งประเทศมาแล้วในปี 2505

 

เหตุการณ์ การลงพื้นที่ วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552 จากศาลหลักเมือง จ.ศรีสะเกษ ถึง หน้าด่านเก็บเงินอุทยาน เขาพระวิหาร  และเหตุการณ์บริเวณหมู่บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ (http://www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=article&id=102&Itemid=130)

ตะปูเรือใบที่เก็บได้ระหว่างทาง ไปเขาพระวิหาร บริเวณก่อนถึงหมู่บ้านภูมิซรอล  ได้มีกลุ่มวัยรุ่นขี่รถจักรยานยนต์ นำตะปูเรือใบมาโปรยตามท้องถนน เพื่อต้องการให้รถที่เดินทางไปเขาพระวิหาร นั้นยางแตก และเกิดอุบัติเหตุ (มีรถยางแตกไปไม่ต่ำว่า 5 คัน) จึงเป็นหลักฐานยืนยันได้ดีว่า กลุ่มจัดตั้งที่อยู่บริเวณหมู่บ้านภูมิซรอล ได้เริ่มต้นทำร้ายกลุ่มที่ไปทวงคืนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร ก่อน

ตำรวจตั้งด่านกั้นประชาชนที่ไปทวงคืนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร  กลุ่มประชาชนที่ไปทางคืนฯ จึงกางธงชาติไทยผื่นใหญ่หน้าด่านตำรวจ การเจรจาระหว่างตำรวจกับกลุ่มประชาชนที่ไปทวงคืนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นไปโดยสงบ และประชาชนกลุ่มทวงคืนฯ ยังให้ CD เพลงเกี่ยวกับปราสาทเขาพระวิหาร เปิดผ่านเครื่องเสียงของตำรวจ ทำให้เจ้าหน้าตำรวจและประชาชนกลุ่มทวงคืนฯ มีความรู้สึกเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ถึงกับมีบางคนเต็นตามเสียงเพลง   อีกทั้งมีการแจกเอกสารความจริงเกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหารให้ตำรวจ  ซึ่งก็มีเสียงขอบคุณจากตำรวจประกาศผ่านเครื่องเสียงขอบคุณที่ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าตำรวจและบอกว่าเจ้าหน้าตำรวจยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

กลุ่มจัดตั้งบริเวณหมู่บ้าน และหน้าวัดภูมิซรอล มีการรวมตัวและมีอาวุธ อันได้แก่ ไม้, หิน หนังสติ๊ก ที่มีหัวเน็ตขนาดใหญ่เป็นกระสุน, ประทัดยักษ์, ระเบิดขวด, และอาวุธปืน  อีกทั้งมีผู้ปลุกระดมชาวบ้านอยู่หน้าบริเวณวัดภูมิซรอล ให้คนไทยทำร้ายคนไทยด้วยกัน 

          เหตุการณ์หลังจากตำรวจได้เปิดแนวกันเพื่อให้ กลุ่มประชาชนทวงคืนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ผ่านไป  กลุ่มจัดตั้งบริเวณหมู่บ้านภูมิซรอล ก็เริ่มลงมือขวางปา หิน และยิงหนังสติ๊กกระสุนหัวเน็ต เขาใส่กลุ่มประชาชนทวงคืนฯ ทันที โดยเจ้าหน้าตำรวจได้แต่เพียงยืนดู ไม่ยอมทำหน้าที่ให้เต็มที และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 50 กว่านายที่มีโล่พร้อมมือ  หนีมาลอบ ด้านโรงเรียน ไม่ไปทำหน้าป้องกันประชาชนกลุ่มจัดตั้ง เข้าทำร้ายกลุ่มประชาชนทวงคืนฯ

 

28 ก.ย. 52 ในการประชุมวุฒิสภาช่วงเปิดให้สมาชิกหารือก่อนเข้าสู่วาระและได้มีการหารือว่ากรณีเหตุการณ์ปราสาทพระวิหารเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วที่มีคนไทย 2 กลุ่มกระทบกระทั่งกันเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ทำให้คนไทยแตกแยกกันแต่เท่าที่ผ่านมา 1 ปี รัฐบาลก็นิ่งเฉย ในส.ว.ก็ไม่มีใครรู้เรื่องจริงเรื่องนี้คนไทยต้องร่วมแก้ปัญหาแต่รัฐบาลปล่อยปละละเลย   วันนี้ฝ่ายรัฐต้องอธิบายความให้ประชาชนเข้าใจชัดเจนว่าปัญหาคืออะไรและประชาสัมพันธ์ในวงกว้างถึงวิธีแก้ไข ไม่ต้องอ้างความมั่นคง ไม่เช่นนั้นกรณีนี้จะถูกนำไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองอยู่ตลอด

 

แกนกำกลุ่มธรรมยาตรานำ 3 คนไทยพระคำพอง  ชยธัมโม นายวิชาญ  ทับซ้อนและนางชนิกานต์  เก่งนอกที่เคยถูกทหาร-ตร.เขมรจับตัวไปจากบริเวณเขาพระวิหารเมื่อ 15 ก.ค.ปีที่แล้วโดยนับตั้งแต่วันที่แจ้งความจนถึงวันนี้เวลาได้ผ่านไปกว่า 1 ปีแล้วแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เกี่ยวข้องไม่ได้ดำเนินการใดๆ ในคดีนี้เลยได้มาแจ้งความร้องทุกข์จึงได้เข้าแจ้งจับ 3 นายตำรวจสภ.บึงมะลู - สภ.กันทรลักษ์ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ดำเนินคดีตามกฏหมายแล้วพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้แจ้งทั้ง 3 รายไว้ และจะได้ส่งเรื่องทั้งหมดไปให้สภ.บึงมะลู ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุเพื่อดำเนินการต่อไป

 

ป.ป.ช.เตรียมพิจารณามติครม.สมัครออกแถลงการณ์ร่วมเขาพระวิหารหลังจากที่คณะกรรมการจะต้องพิจารณาในแต่ละบุคคลที่ถูกกล่าวหาซึ่งขณะนี้เหลืออีก 32 คน ชัดเจนว่าจะต้องนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมอย่างแน่นอนแต่จะเสร็จสมบูรณ์เพียงใดก็แล้วแต่ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่มีอุปสรรคใดๆ

 

ฮุน เซนได้มีคำสั่งในระหว่างเปิดอาคารใหม่ของกระทรวงการท่องเที่ยวหลังจากที่ภาคีเครือข่ายติดตามสถานการณ์กรณีเขาพระวิหารได้รวมตัวชุมนุมกันเรียกร้องสิทธิเหนือพื้นที่พิพาทให้ทหารเขมรยิงพลเรือนหรือทหารไทยได้หากบุกรุกเข้ามายังบริเวณพื้นที่พิพาทของเขมรพร้อมขู่จะยกกรณีพิพาทนี้เข้าสู่ที่ประชุมอาเซียนรวมถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็น)หากเขมรถูกไทยรุกราน "หากพวกเขาเข้ามาอีก พวกเขาจะถูกยิง  นี่เป็นคำกล่าวอ้างเพียงฝ่ายเดียวเพราะความปรารถนาที่จะครอบครองพื้นที่ดินแดนเขมร  ถ้านายกฯ ของไทยเอาแผนที่มากางต่อหน้า ก็จะฉีกมัน" ฮุน เซนกล่าว  พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรของไทยที่ฮุนเซนพูดได้อย่างเต็มปากว่าพื้นที่พิพาทของเขมร หากความขัดแย้งเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารระหว่างสองประเทศยังคงอยู่ฮุน เซนอาจมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเขมรเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนแทน      ฮุน เซนกล่าวด้วยว่าจะไม่เจรจากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรใกล้กับปราสาทพระวิหารตราบที่ฝ่ายไทยยังคงใช้แผนที่ที่ฝ่ายไทยเขียนขึ้นเองพร้อมกันนี้ยังกล่าวด้วยว่าความขัดแย้งตามแนวชายแดนเขมร-ไทยมาจากปัญหาการเมืองภายในของไทยเอง

 

29 ก.ย. 52  พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประมาณ 500 คนนำโดยคุณวีระ สมความคิดรวมตัวกันที่หน้าตึกอำนวยการค่ายริมขอบฟ้าเมืองโบราณ ต.บางปู อ.เมือง จ.สมุทรปราการเพื่อประกาศเจตนารมณ์ที่จะปกป้องเขาพระวิหาร ต่อมาเวลา 15.00 น.ได้เคลื่อนขบวนออกจากค่ายขึ้นไปยังบนเขาพระวิหารจำลองและชักธงชาติไทยขึ้นสู่ปลายเสาอ่านคำแถลงการณ์ภาคีเครือข่ายประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินประกาศจุดยืนที่จะดำเนินการในทุกวิธีทางทีถูกต้องตามกรอบข้อกฎหมายในการที่จะนำเข้าพระวิหารกลับคืนมาพร้อมกับจะนำตัวผู้กระทำความผิดโดยการทำงานโดยมิชอบทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนให้กับเขมรมาดำเนินคดี จากนั้นได้ทยอยเดินทางลงจากเขาพระวิหารจำลองเพื่อเข้าประชุมเสวนาความจริงความขัดแย้งกรณีเข้าพระวิหารที่มีรศ.ศรีศักร วัลลิโภดมและคุณวีระ สมความคิดเป็นวิทยากรอันมีการประชุมที่เป็นไปด้วยความสงบ

 

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณีเขมรประกาศจะไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน  ด้านผบ.ทบ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาระบุทหารในพื้นที่ชายแดนไทย-เขมรบริเวณปราสาทพระวิหารยังคงตั้งมั่นอยู่ในพื้นที่และยังคงรักษาความสัมพันธ์ของทหารในพื้นที่ไว้โดยยึดหลักเจรจาตามนโยบายของรัฐบาลหากมีการรุกล้ำด้วยกองกำลังใดๆ คงจะปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้แล้วและจะดำเนินการตามหลักสิทธิมนุษยชน  นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีย้ำว่าประเทศไทยยังจะยึดหลักตามข้อตกลงเดิม ว่าจะไม่มีการใช้กำลัง ซึ่งปัจจุบันนี้มีการลาดตระเวนร่วมกันอยู่ และจากการพบปะกันแต่ละครั้งที่ผ่านมาก็เป็นการพบปะกันในบรรยากาศที่ดี ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งก็หวังว่าทางเขมรจะยึดแนวทางสันติวิธีเช่นเดียวกัน    อย่างไรก็ตามนายปณิธานกล่าวว่านายกรัฐมนตรีทราบรายงานข่าวดังกล่าวนั้นตั้งแต่คืนที่ผ่านมาแล้วเช่นกัน  แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่าทราบท่าทีของเขมรแล้ว หากทางฝั่งเขมรติดอาวุธเข้ามาก็พร้อมตอบโต้ และสถานการณ์เช่นนี้อาจนำไปสู่ความตึงเครียด แม้ว่าแนวทางที่ปฏิบัติอยู่จะพยายามเจรจาเพื่อลดความตึงเครียด โดยมีการเจรจาตามจุดที่มีการตรึงกำลัง เนื่องจากระดับปฏิบัติการของทั้งสองประเทศก็มีการประสานงานกันอย่างต่อเนื่องเงื่อนไขการปฏิบัติที่แตกต่างกันของทั้งสองประเทศ เป็นสาเหตุให้เกิดความตึงเครียด โดยเฉพาะการตัดสินใจในระดับนโยบาย      สุเทพ เทือกขอตรวจสอบการให้ข่าวของฮุน เซนว่าเป็นความจริงหรือไม่และได้ให้กองทัพภาคที่ 2 ดูแลความเรียบร้อยโดยรัฐบาลมีจุดยืนที่จะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางเมตรเดียว

 

ป.ป.ช.แถลงมติชี้มูลความผิดคดีกล่าวหาครม.สมัคร สุนทรราชปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้ดำเนินคดีอาญากับครม.สมัครรวมผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 44 คนขณะที่มีรัฐมนตรีที่ไม่เข้าประชุมและลาประชุม บางคนที่ได้ลาออกพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว บางคนเพิ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ และอยู่ระหว่างรอเข้างาน  จึงเห็นว่าให้คำร้องตกไปและพิจารณาข้อกล่าวหาบุคคลที่เหลือในความผิดทางอาญา   ป.ป.ช.เห็นว่าข้าราชการไม่มีมูลความผิดให้คำร้องตกไป ประเด็นที่คณะกรรมการป.ป.ช.เสียงข้างมากเห็นว่ามีความผิดนั้นพิจารณาร่วมกับการที่ศาลปกครองเพิกถอนแถลงการณ์ร่วมและกำหนดมาตรการคุ้มครองชั้วคราว ในคำสั่งดังกล่าวตามคำร้องของนายสุวัตร อภัยภักดิ์และศาลรัฐธรรมนูญที่ 6-7/2551 เมื่อวันที่ 8 ก.ค.2551 ซึ่งได้วินิจฉัยชี้ขาดคำแถลงร่วมไทย-เขมรว่าเป็นหนังสือที่ต้องได้รับคำเห็นชอบจากรัฐสภาหรือไม่โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้ว่าเป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาและแม้แถลงการณ์ร่วมฉบับนั้นไม่ปรากฏสาระสำคัญชัดเจนว่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตก็ตามแต่เมื่อพิจารณาเอกสารรวมถึงแผนที่แนบท้ายที่จัดทำโดยเขมรเพียงฝ่ายเดียวจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแผนที่ดังกล่าวได้อ้างถึงพื้นที่เอ็น 1 เอ็น 2 และเอ็น 3 โดยไม่กำหนดขอบเขตที่ชัดเจนว่าครอบคลุมพื้นที่เท่าใดซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในอาณาเขตของประเทศไทยอันเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนและอาจทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศในภายภาคหน้าได้     ศาลปกครองกลางได้วินิจฉัยในคดีหมายเลขดำที่ 984/2551 วันที่ 27 มิ.ย.2551 ว่าแผนที่แนบท้ายที่เขมรจัดทำขึ้นมีการกำหนดขอบเขตพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหารอย่างชัดเจน โดยระบุว่าเป็นพื้นที่เอ็น 1 ซึ่งอาจถือได้ว่าประเทศไทยยอมรับเขตแดนรอบพื้นที่ของปราสาทพระวิหารโดยปริยาย ศาลปกครองกลางยังระบุว่า เครื่องหมายเอ็น 3 ให้มีการจัดเตรียมพื้นที่ดังกล่าวระหว่างรัฐบาลไทยกับเขมรสำหรับการอนุรักษ์ ศาลปกครองกลางเห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวอาจจะมีผลผูกพันประเทศไทยและอาจทำลายน้ำหนักอ้างอิงที่ประเทศไทยยึดถือสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดนโดยตลอด คดีจึงมีมูลว่าการกระทำดังกล่าวอาจจำทำให้มีความเสียหายต่อประเทศชาติ ประชาชน รวมถึงผู้ฟ้องคดี ให้ได้รับความเสียหายอันเป็นความเสียหายที่ยากต่อการเยียวยาภายหลัง  สรุปได้ว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-เขมรสมัคร สุนทรราชนายกรัฐมนตรีเป็นประธานซึ่งครม.ได้เห็นชอบตามที่นพดลเสนอมาและในวันที่ 18 มิ.ย.2551 นพดลได้ลงนามในร่างคำแถลงการณ์ดังกล่าวซึ่งดำเนินการลักษณะปิดบังอำพรางอย่างมีมูลเหตุจูงใจอื่นแอบแฝงอยู่    ความเสียหายที่เกิดขึ้นมี 2 อย่าง 1.ความเสียหายต่อประเทศไทยอาจมีบทเปลี่ยนแปลงโดยคำแถลงการณ์ร่วมที่นพดลลงนามและ 2.ความเสียหายต่อความมั่นคงประเทศที่ถูกกระทบอย่างกว้างขวางโดยแถลงการณ์ร่วมนี้   หลังศาลรัฐธรรมนูญตีความความมุ่งหมายของมาตรา 190  โดยให้รวมถึงหนังสือสัญญา"ที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขต"ของประเทศ  นพดลกระทำไปโดยรู้อยู่แล้วเป็นอย่างดีในความเสียหายดังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงถือว่าในการปฏิบัติหน้าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจึงผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157  และหัวหน้ารัฐบาลต้องทราบดีถึงความอ่อนไหวของประเด็นซึ่งจะทำให้เกิดสภาวะสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในเรื่องอาณาเขตและวิกฤตการณ์ทางสังคมแต่ยังเป็นฝ่ายขอดำเนินการเพื่อช่วยเหลือฮุน เซ็นให้นำผลประโยชน์ของประเทศชาติมาใช้เป็นเครื่องมือ  จากสถานะของสมัครหัวหน้ารัฐบาลที่ได้รับความไว้พระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนับว่าเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อที่จะมีนักการเมืองไทยคนใดจะมีความคิดเช่นนี้ สมัครจึงมีเจตนาร่วมกระทำผิดร่วมกับนพดลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆได้ถูกนำมาแจ้งต่อที่ประชุมครม.ในเวลาอันสั้นจึงไม่น่าจะรู้ถึงข้อเท็จจริง ผู้ถูกกล่าวหาเหล่านี้จึงไม่มีเจตนากระทำความผิดร่วม  ทั้งหมดนี้จะจบลงด้วยการดำเนินคดีอาญา

 

สมัคร สุนทรราชนายกรัฐมนตรี(สมัยนั้น)แจ้งว่ามันเป็นเรื่องใหญ่นะ เขาจะเอาออกจากตำแหน่งนะ

นพดลปัสสาวะแจ้งว่าไม่เป็นไร

สมัครแจ้งว่าเมื่อครั้งไปแนะนำตัวได้พูดจากันถูกอัธยาศัยสิ่งหนึ่งที่คุณฮุนเซนเขาปรับทุกข์ก็คือขอให้เราช่วยอนุเคราะห์เขาหน่อยเขาต้องทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเพื่อผลการเลือกตั้ง

 

หลังจากการชี้มูลนพดล ปัสสาวะก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์มีแค่เลขานุการเท่านั้น ที่ออกมาเปิดเผยว่าจะเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ 30 ก.ย. ส่วนทางด้าน สมัคร สุนทรราชป่วยเป็นโรคมะเร็งอย่างหนักอาการไม่ค่อยดีนักกำลังถูกย้ายจากห้องผู้ป่วยเข้าห้องไอซียู

 

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีเห็นว่าที่ฮุนเซนให้สัมภาษณ์เป็นวิธีการพูดให้เป็นข่าว  ยืนยันอย่างเดียวว่าจุดยืนเดียวของไทยคือรักษาดินแดน สิทธิ อธิปไตยของเราและต้องการแก้ปัญหาโดยสันติวิธีและจะไม่ให้เสียเปรียบในด้านการดำเนินการและกฎหมายระหว่างประเทศ   ทั้งๆที่เวลานี้เขมรเปิดฉากชัดเจนแล้วว่า ไทยเป็นศัตรู    แต่คำพูดจาของผู้นำรัฐบาล ผู้นำกองทัพ ทำให้ประชาชนรู้สึกว่า มีความกลัวเขมรจนตัวสั่น กลัวจะรบทัพจับศึก ยอมเสียดินแดนและให้เขมรดูหมิ่นแคลนซ้ำซาก   รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยังดีแต่พูดว่าไทยยังไม่เสียดินแดน ฮุนเซนคงมองว่าขณะนี้ทางการไทยกลัวสงครามรัฐบาลถึงแสดงท่าทีใช้วิธีการเจรจามากกว่าใช้กำลังทหารซึ่งบุคคลสำคัญระดับประเทศของไทย ยืนยันว่าหลักการเจรจาเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างสันติทำให้เรื่องราวทุกอย่างจบลงด้วยดี  ในเมื่อทางเขมรแสดงท่าทีเช่นนี้แล้วรัฐบาลไทยถึงยังมองว่าการเจรจาเป็นวิธีแก้ปัญหาอยู่อีกหรือห่วงผลประโยชน์นักการเมืองหลายคนของไทยในเขมรจนไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศ 

 

ฮุนเซน กล่าวชื่นชม พล.อ.พล สะเรือนที่ได้ "ฉีกแผนที่" ที่ฝ่ายไทยนำขึ้นวางบนโต๊ะเจรจาในระหว่างการประชุมเจรจาปัญหาชายแดนระหว่างสองฝ่ายที่ผ่านมาที่ไม่เคยมีการเปิดเผยมาก่อน   ผู้นำเขมรยังกล่าวอีกว่าตนเองจะฉีกแผนที่ดังกล่าวเช่นกันถ้าหากนายอภิสิทธิ์นำขึ้นวางบนโต๊ะเจรจาในโอกาสข้างหน้า  เพื่อบอกให้ฝ่ายไทยรู้ว่า ไม่ควรใช้แผนที่ที่ จัดทำขึ้นเองแต่ฝ่ายเดียวในการเจรจาและยังได้สั่งการมิให้คณะเขมรทุกคณะ เจรจากับฝ่ายไทยต่อไปหากไทยยังใช้แผนที่ที่ไม่ได้รับการยอมรับและจะเจรจาบนหลักการและใช้แผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นเมื่อกว่า 100 ปีก่อนเท่านั้น   ฮุน เซนไม่ได้เพียงแต่ฉีกแผนที่เท่านั้น ยังฉีกหน้าผู้นำไทย ผู้นำกองทัพไทย และกำลังหยามน้ำหน้าคนไทยทั้งชาติกว่า 63 ล้านคน ว่าไร้น้ำยา ทั้งๆ ที่กัมพูชาเป็นชาติเล็กทำตัวเหมือนหมูสกปรกคลุกขี้แล้วมาทำกร่างมาร้องท้าราชสีห์รบ

 

ชายแดนไทย-เขมรด้านเขาพระวิหารจ.ศรีสะเกษตึงเครียดสมใจฮุนเซน   ทหารเขมรเสริมกำลังตลอดแนวรอบเขาพระวิหารนำปืนกลและอาวุธหนักขึ้นมาตั้งฐานและหันปากกระบอกปืนมายังฐานปฏิบัติการทหารไทยพร้อมเผชิญหน้าทหารไทยต่างฝ่ายเตรียมพร้อมเต็มที่   แฉทหารเขมรพร้อมอาวุธครบมือลอบรุกล้ำเขตแดนไทยด้านช่องโดนโปรอยต่อ อ.ภูสิงห์-ขุนหาญ กลางดึก เกิดปะทะ 5 นาทีก่อนเผ่นหนีกลับไปคาดว่าเป็นกองกำลังที่เกี่ยวข้องกับขนส่งสินค้าของเถื่อนประเภทยาเสพติด กรณีที่ฮุนเซนขู่จะยิงคนไทยที่บุกรุกเข้าไปในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหารว่าเป็นเรื่องการเมืองภายในของเขมรซึ่งทางการไทยจะไม่ก้าวล่วงแต่ท่าทีเช่นนี้เป็นเรื่องปกติของประเทศเล็กกว่าที่มีปัญหากับประเทศใหญ่กว่าก็จะใช้พื้นที่สื่อให้เกิดประโยชน์   เขมรซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพน้อยกว่าไทยจึงใช้สื่อเพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเองนอกจากนี้ประเทศที่เล็กกว่าก็มักจะใช้โอกาสที่มีการประชุมนานาชาติบ่อยครั้งสร้างวาระขึ้นมาเพื่อให้เป็นที่สนใจไม่ต่างกับที่อิหร่านทดลองยิงขีปนาวุธระหว่างการประชุมใหญ่องค์การสหประชาชาตินายปณิธาน วัฒนากรรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสรุป    ไทยซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่และมีศักยภาพมากกว่าก็ต้องยืนยันจะใช้หลักสันติวิธีและนำปัญหาข้อถกเถียงเข้าสู่การเจรจาคณะกรรมการชายแดนรวมถึงการเจรจาระดับผู้นำประเทศ  ในการประชุมยูเอ็นที่ผ่านมานายบัน คี มูนเลขาธิการยูเอ็นก็ได้สอบถามถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-เขมรซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีก็ยืนยันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงและชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งทั้งหลายเกิดขึ้นก่อนที่ยูเนสโกจะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

ดังนั้นไทยจะดำเนินการทุกทางเพื่อชะลอไม่ให้มรดกโลกมีผลเดินหน้าเพราะถ้าปล่อยให้มรดกโลกเดินหน้าจะเกิดปัญหาตามมามากมาย

 

รายการคนในข่าว(mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/Newsmaker_290909.wmv)ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีนายเติมศักดิ์ จารุปราณดำเนินรายการมีคุณวีระ สมความคิดภาคีเครือข่ายติดตามสถานการณ์กรณีเขาพระวิหารและร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ผู้ประสานงานกองทัพธรรมมาร่วมพูดคุยถึงท่าทีของรัฐบาลไทยกับความแข็งกร้าวของเขมร  คุณวีระมองท่าทีที่เข็งกร้าวของเขมรว่าเป็นอาการของคนที่รู้ว่าตัวเองกำลังฝันสลายหลังชาวไทยตื่นตัวรุกคืบทวงคืนเขาวิหารเพราะหากมีการผลักดันให้ชาวเขมรออกไป     โอกาสที่เขาจะนำปราสาทเขาพระวิหารไปจดทะเบียนคงเป็นไปไม่ได้ง่ายๆอีกแล้ว  ฮุน เซนจะถูกการเมืองภายในกดดันอย่างหนักและความลับทั้งหลายจะถูกเปิดเผยว่าคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือตัวฮุน เซนเองไม่ใช่ชาวบ้านร้านช่องที่ไหน  กรณีที่ฮุนเซนประกาศว่า"พื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของเขาพร้อมให้ทหารสริมกำลังเต็มที่หากใครรุกล้ำเขาให้ยิงตอบโต้ทันที" ที่ส่อให้เห็นเจตนาว่าพูดจริง  หากนายก สุเทพ เทือกและนายกษิตบอกว่าไทยยังไม่เสียดินแดนและมั่นใจว่าฮุนเซนพูดขู่ไปอย่างนั้นเองก็อยากให้กอดคอกันเดินเข้าไปในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.แล้วดูว่าทหารเขมรจะยิงไหม  ตามกฏบัตรสหประชาชาติ ไม่มีข้อห้ามให้ประเทศไม่ให้ใช้กำลังในการป้องกันอธิปไตยของตัวเองและรัฐภาคีก็ไม่มีสิทธิเข้าแทรกแซงด้วยที่จริงรัฐภาคีควรจะเข้าไปปรามเขมรที่เข้ายึดแผ่นดินไทยแล้วยังจะมาขู่ยิงคนไทยอีกต่างหากถึงจะถูก  การไปลงนามแถลงการณ์ร่วมไทย-เขมรมีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่ตั้งแต่สมัยทักษิณเป็นนายกฯ แล้วตกทอดมายังสมัคร สุนทรราชที่เป็นนอมินีสานต่อและต้องทำทุกวิถีทางที่จะให้ฮุนเซนเป็นนายกฯต่อเพราะหากฮุนเซนแพ้เลือกตั้งผลประโยชน์ต่างๆ ที่ตกลงกันมาต้องชะงักทันที   อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าเขมรฉลาดที่ไปดึงเอาประเทศมหาอำนาจเข้ามาร่วมด้วยโดยแลกกับผลประโยชน์เพราะประเทศเหล่านั้นล้วนเป็นประเทศหลักของทูตยูเนสโกที่พยายามรับรองให้เป็นมรดกโลกทั้งสิ้นแม้ว่าจะขัดต่อระเบียบที่ตัวเองร่างมาทั้งสิ้น ขอประณามยูเนสโกที่หลับหูหลับตาขึ้นทะเบียนเขาวิหารเพราะบริเวณนั้นเต็มไปด้วยกับระเบิดมีทหารทั้งสองฝ่ายตรึงกำลังกันอยู่    รัฐบาลนี้ที่ปล่อยให้อันธพาลจัดตั้งมาทำร้ายประชาชนชาวไทยที่ทวงอธิปไตยรอบเขาวิหารโดยก่อนหน้าที่ตนจะนำประชาชนเคลื่อนขบวนได้ประกาศออกสื่อว่า มีผู้ว่าฯ สั่งปิดปั๊มน้ำมัน ปิดโรงแรม กีดกันขบวนที่จะขึ้นไปทวงอธิปไตยรอบเขาวิหารคืน ตรงนี้รัฐบาลสามารถสั่งผู้ว่าฯ สั่งตำรวจให้รักษาความปลอดภัยได้แต่ไม่ทำ หากรัฐบาลทำจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นเลยและจะมาอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้เพราะต้องรู้ความเป็นไปในบ้านเมืองอยู่แล้ว   ที่ว่ากลุ่มอันธพาลจัดตั้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐจากที่สังเกตระหว่างทางตำรวจจะค้นอาวุธขบวนผู้รักชาติตลอดเส้นทางอย่างระเอียด แต่ฝ่ายตรงข้ามถือมีดสปาตาร์ยืนข้างตำรวจโดยตำรวจนิ่งเฉยไม่ได้เข้าไปจับกุมแต่อย่างใด ลำพังคนพวกนี้ไม่มีศักยภาพพอที่จะก่อเหตุอย่างโจ่งแจ้งถ้าไม่ได้มีการยกไฟเขียวจากรัฐ จึงทำให้เห็นภาพถืออาวุธ มีด ปีน กลางวันแสกๆ กลางถนนสาธารณะ   อีกอย่างขณะนั้นตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์ก็มีมากกว่าคนพวกนี้ตั้งเยอะแต่ปล่อยให้มาทำร้ายประชาชนมือเปล่าแล้วอย่างนี้จะบอกไม่รู้เห็นเป็นใจได้อย่างไร   มีทหารบางคนเอารถไปรับชาวเขมรจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม.มาอยู่ที่บ้านภูมิซรอลตั้งแต่วันที่ 18 เพื่อรอดักรอทำร้ายชาวไทยที่จะไปทวงคืนอธิปไตย  ยิ่งฮุนเซ็นมาพูดอย่างนี้ทหารไทยยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวถือว่าเราหมดศักดิ์ศรีแล้วและต่อไปทหารคงไม่ต้องเองงบประมาณไปซื้ออาวุธให้เปลืองภาษีของประชาชนปล่อยให้คนมือเปล่าไปเจรจาดีกว่า ส่วนที่บอกว่ามีการเหยี่ยดหยามด้วยการฉีกแผนที่ตรงนี้ถือเป็นความตกต่ำในการเจรจาของไทยที่สุด   รัฐบาลไทยอ่อนกับเขมรมากเกินไป   รัฐบาลต้องชัดเจน รัฐบาลไทยต้องเรียกทูตเขมรเข้าพบแล้วถามว่านายกฯของคุณพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร  ทางเขมรต้องการรบกับไทยใช่หรือไม่หากใช่ก็ไล่ทูตเขมรกลับไปทันทีเลยเพราะอย่างน้อยก็เป็นการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์ให้รัฐบาลเขารับรู้ว่าเราก็ไม่ยอม  หากเขมรไม่ออกจากพื้นที่พิพาทเราต้องผลักดันให้ออกไปและให้รื้อสิ่งปลูกสร้างที่เขาเอามาสร้างออกไปด้วย หากจำเป็นต้องแข็งกร้าวกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทวงสิทธิ์ของเรากลับคืนมาก็จำเป็นต้องทำไม่ใช่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างอยู่แบบนี้ตลอดไป รัฐบาลไทยต้องทำหนังสือยืนยันไปยังคณะกรรมการมรดกโลกว่าตอนนี้เดินหน้าเจรจาไม่ได้แล้วต้องถอนออกไปก่อนเพราะ 1. เราประกาศกฎอัยการศึก 2.พื้นที่นี้ไม่เหมาะที่จะเป็นมรดกโลกเพราะมีแต่กองกำลังทหารอีกอย่างตอนนี้เขมรประกาศว่าจะยิงทุกคนที่เข้าไปดังนั้นจึงไม่สมควรขึ้นเป็นมรดกโลก ข่าวกรณีเขาวิหารจะปิดหูปิดตาใครไม่ได้อีกแล้วหลังขบวนทวงคืนอธิปไตยรอบเขาวิหารขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ที่ผามออีแดงโดยมีนักข่าวต่างประเทศไปทำข่าวจำนวนมากทำให้ทั่วโลกรู้ถึงความไม่ชอบธรรมดังกล่าว   พวกที่ชอบพูดว่าคนที่ไปทวงอธิปไตยเป็นคนคลั่งชาติเป็นพวกที่พูดพล่อย ไม่ดูความจริง คนที่ไป ไปด้วยสุภาพ  ด้วยความเสียสละ ทั้งเงิน ความสุขส่วนตัวแค่ต้องการไปอ่านแถลงการณ์เท่านั้นและที่เขาไปเสียงเพราะเขากลัวว่าจะเสียดินแดนไปจริงๆ    ที่ปะทะกันนั้นเป็นเพราะเราต้องการป้องกันตัวเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้านิ่งซึ่งถ้าหากคลั่งจริงต้องทำรุนแรงมากกว่านี้   แรกๆสื่อต่างชาติตีความเหตุการณ์วันที่ 19 ว่าขบวนผู้รักชาติ รับงานมาสร้างความวุ่นวาย การกล่าวหาอย่านี้เป็นการใส่ร้ายไม่เป็นธรรมไม่ต่างจากการใส่ร้าย โยนผิด เอาคนเดินบนถนนแล้วถูกยิงตายแล้วคุณมาบอกว่าทำไมมาเดินเพ่นพ่านให้ถูกยิง  ไม่ได้    ที่ผ่านมาตั้งแต่ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตรเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันมีการละเลยปัญหาพื้นที่ชายแดนจนปล่อยให้ทางฝ่ายเขมรรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ เข้ามาตั้งรกราก สร้างอาคารต่างๆมากมายจนยากจะผลักดันออกไป มีเจ้าหน้าที่ของรัฐบางกลุ่มเข้าไปหาประโยชน์ปล่อยให้มีการเช่าพื้นที่ยอมให้ชาวเขมรเข้ามาใช้ที่ดินจนในที่สุดนำมาสู่ลักษณะการครอบครองปรปักษ์มายึดดินแดนโดยพฤตินัยหน้าตาเฉย เพราะผลประโยชน์เฉพาะหน้าของนักการเมืองในรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องบางกลุ่มเท่านั้นทำให้ปัญหาชายแดนไทย-เขมรเกิดความยุ่งยากและคาราคาซังเรื่อยมา ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างตรงไปตรงมา  ส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนตั้งแต่ระดับนโยบายลงมาจนถึงผู้นำกองทัพบางคน  ที่ผ่านมามีข้อครหาในเรื่องผลประโยชน์ตอบแทนในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยที่คาดกันว่ามีแหล่งพลังงานจำนวนมหาศาลซึ่งมีความเกี่ยวพันไปถึงเขตแดนของประเทศด้วย  

 

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่เขาพระวิหาร รัฐบาล และกองทัพจะเล่นแต่บทเพื่อนที่แสนดีและเพลย์เซฟเกินเหตุด้วยการไม่ขยับตัวทำอะไรเลยไม่ได้อีกต่อไปด้านหนึ่ง ก็ต้องย้ำถึงอธิปไตยเหนือดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรด้วยการรีบเคลียร์คนของเขมรให้พ้นพื้นที่ทับซ้อนตามข้อตกลงเสียทีเพื่อไม่ให้กลายเป็นเงื่อนไขการปลุกระดมของคนในประเทศอีก     อีกด้านก็ต้องมีความฉับไวกว่านี้ในการเล่นเกมการเมืองและการทูตในเวทีระหว่างประเทศขืนปล่อยให้กลุ่มการเมืองทั้งในและนอกประเทศ ขย่มเล่นแบบนี้ไปเรื่อยๆ นอกจากรัฐบาลจะรับแรงกดดันไม่ไหวจนอาจพังไปเองแล้วยังเสี่ยงต่อการพลาดพลั้งเสียทีในเวทีนานาชาติ และอาจตกหลุมพรางเสียดินแดนตรงนี้ไปจริงๆ เข้าสักวัน     หลังการลงทุนลงแรงเสี่ยงอันตรายทุกรูปแบบของภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนแผ่นดินไทยรอบปราสาทพระวิหารได้เข้าไปในพื้นที่เมื่อสัปดาห์ก่อนได้สร้างแรงกระเพื่อมพอสมควรอย่างน้อยก็ทำให้ทุกฝ่ายได้หันกลับมาให้มาสนใจกับปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังอีกครั้งอย่างน้อยก็จะทำให้คนไทยที่ไม่รู้ข้อมูลหรือสื่อทุเรศบางกลุ่มที่จงใจบิดเบือนจะได้รู้สึกละอายบ้าง 

 

สิ่งที่ต้องจับตาก็คือการแสดงท่าทีล่าสุดของสุเทพ เทือกที่จะเดินทางไปเจรจากับฮุนเซนในเร็วๆ นี้   สุเทพ เทือกมีหน้าที่โดยตรงหรือไม่  ครั้งก่อนนั้นก็ได้สร้างความกังขาให้กับสังคมว่าซ่อนเร้นอะไรหรือไม่  ลดบทบาทของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือไม่   น่าจับตาว่าทุกครั้งที่เดินทางไปเยือนจะเป็นช่วงที่มีความตึงเครียดเรื่องเขตแดนทุกที  เป็นตัวแทนรัฐบาลไทย หรือไปในฐานะส่วนตัว  ช่วยไม่ได้ที่จะถูกตั้งข้อสงสัยว่าไปเจรจาเพื่อเคลียร์พื้นที่ทับซ้อนหรือผลประโยชน์ทับซ้อนกันแน่เพราะมีโอกาสเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทับซ้อนที่ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลก่อนๆได้  เราสามารถเชื่อมโยงเหตุและผลหลายๆอย่างได้เช่นเมื่อเขมรสามารถขยับเขตแดนเข้ามาในประเทศไทยได้แล้วก็ย่อมมีผลต่อเส้นเขตแดนตั้งแต่บนบกลงทะเลอ่าวไทยซึ่งจะมีผลกระทบไปถึงพื้นที่ของไทยอีกมากมายอันจะส่งผลร้ายต่อพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยที่มีทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล    ประเทศที่มีอำนาจมากกว่าย่อมไม่มีใครเขายอมก้มหัวให้ประเทศที่เล็กกว่า  ทำไมประเทศไทยถึงต้องก้มหัวให้เขมร  เศรษฐกิจไทยเราใหญ่กว่าเขมรประมาณสัก 50 เท่า  ไทยเรามีเงินมากกว่าเขมร 60 เท่า  ถ้าเราปิดด่านการค้า ปิดเที่ยวบิน (ห้ามบินเข้าเขมร) ถามว่าใครเดือดร้อน  แล้วมาชำระประวัติศาสตร์ในระหว่างที่ให้ประกาศดินแดนเขาพระวิหารเป็นเขตเป็นกลางอยู่ในความดูแลของ UN กอรปกับทำสงครามจิตวิทยาเชิงเศรษฐศาสตร์ในบริบทของเวทีโลก  คณวีระ สมฯเคยพูดในรายการว่าทหารที่ไปด้วยพูดให้ฟังว่าสุเทพ เทือกแทบจะคลานเข้าไปหาฮุนเซนเลยแล้วฮุนเซนก็เข้าไปประคองสุเทพ เทือกให้ลุกขึ้น   ผบ.ทอ.กับคณะเคยพากันบินหางจุกตูดไปหาผบ.ทอ.เขมรมาทีหนึ่งแล้ว  นี่สุเทพ เทือกก็จะรีบไปกราบเท้าพ่อเขมรมันอีก นี่มันอะไรกัน  เพื่อผลประโยชน์ของตัวและพวกพ้องก็พร้อมจะละทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นไทยและยอมขายยอมแลกสมบัติชาติเพื่อพวกตัวและตัวกู   ตรงบ่อน้ำมัน นั้นมันของไทยหรือเขมร  แล้วจะไปเจรจากับเขมรให้บริหารร่วมตรงบ่อน้ำมันทำไม  ชาวบ้านขอทำกินในพื้นที่ฟาร์มของสุเทพบ้างได้ไหม  อะไรที่เป็นผลประโยชน์ของชาติหัดเอามาพูดให้มันหนักแน่นบ้างสิ

 

30 ก.ย. 52  ทหารเขมรเหิมระดมพลและอาวุธหนักเสริมทัพเข้าใกล้เตรียมพร้อมยกกำลังหนุนทันทีหากเปิดฉากปะทะทหารไทย  อย่างเช่นที่ที่หมู่บ้านสะแอม ห่างจากปราสาทพระวิหาร เข้าไปในเขตประเทศกัมพูชาประมาณ 30 กิโลเมตรมีค่ายทหารของกัมพูชาตั้งอยู่     การเคลื่อนกำลังมารวมพลกันอยู่จำนวนมากพร้อมทั้งได้นำเอาอาวุธหนักมาเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่กำลังมาเสริมบริเวณเขาพระวิหารได้ทันที    ขณะที่สถานการณ์บริเวณเขาพระวิหารชายแดนไทย-กัมพูชาจ.ศรีสะเกษยังตึงเครียด ฝ่ายไทยคุมเข้มทางขึ้นอุทยานฯ ห้ามผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องขึ้นไปเด็ดขาด ไม่มีใครหรอกที่อยู่ดี ๆ ก็จะบ้าดีเดือดออกไปท้ารบกับชาติอื่นถ้าเขาไม่มารุกรานเรา เขมรรู้อยู่แก่ใจว่าดินแดนรอบเขาพระวิหารเป็นของไทยถ้าไม่อย่างนั้นทำไมต้องรอมาจนถึงปี 2552 ค่อยมาตั้งหน้าตั้งตาจะยืดให้ได้ทำไมไม่ยืดตั้งแต่ 2505 ที่เราแพ้คดีเฉพาะตัวปราสาทเขมรไม่ทำเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าแผนที่ของใครเป็นแผนที่ของจริงและคนที่หลับหูหลับตาอยู่ได้ว่าถ้าทักษิณอยู่เขมรมันไม่กล้าหือ ไอ้ที่เขมรกล้าทำขนาดนี้ไม่ใช่ผลงานนายกฯ ชื่อทักษิณหรือที่ขายได้ทุกอย่างแม้แต่แผ่นดินเกิดขอแค่ให้ได้สัมปทานน้ำมัน ทุกวันนี้ได้ยินข่าวแต่ทหารข่มขู่ข่มเหงขืนใจลูกน้องหรือประชาชนหรือหากินกับของเถื่อนหนีภาษี จริงไม่จริงแค่ไหนไม่ทราบทราบแต่ประชาชนไม่เคยได้รับความจริงเท่าไหร่  เราไม่มีสงครามกับเพื่อนบ้านมานาน  นานเกินไปแล้ว ทหารไทยจะได้สร้างภูมิต้านทานและสำนึกหน้าที่คำว่าทหารมิใช่รอกินตำแหน่ง วันๆเอาแต่ตีกอล์ฟหรือทำการค้าแข่งกับพ่อค้า เป็นทหารก็ให้ชัดเจน เลือกทำในสิ่งถูกต้องที่สมัครเข้ามารับใช้ชาติ ให้ทำหน้าที่ที่ควรกระทำกับศัตรูมิใช่กับประชาชนที่จ่ายภาษีให้มา  

 

มีเรื่องเล่ากันว่าปี 2526 เดือนเมษา เวียตนามส่ง 3 กองพันเข้าตีฐานกองพันทหารราบ 11 รอ ที่เขาพนมประ อำเภอตราพระยา จังหวัดปราจีนบุรีอย่างหนักทั้งปืนรถถัง ปืนคอ อาร์พีจี อาก้า เข้าถล่มอย่างหนัก แต่ผบ.พันขณะนั้นคือ พันโทณรงค์เดช นันทโพธิเดช ร้อยเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา(พลเอกประยุทธ์ รอง ผบ.ทบ ปัจจุบัน) ร้อยเอกอุดมเดช สีตบุตร (พลโทอุดมเดช รองแม่ทัพภาค 1 ปัจจุบัน) และเหล่าทหารเสือราชินีได้ต่อสู้อย่างทรหดจนข้าศึกพ่อฮุนเซนต้องสูญเสียอย่างหนักจนต้องถอนทัพกลับไปแม้เราจะแลกด้วยชีวิตทหารกล้าหลายสิบชีวิตก็ตามแต่เราก็ไม่เคยหวั่นเกรง นั่นเป็นวีรกรรมหทารกล้าแห่งสมรภูมิเลือดเขาพนมประในอดีตเราไม่เคยลืมพวกท่าน   จนวันนี้ฮุนเซนกล้าประกาศว่าจะฉีกแผนที่ของไทยต่อหน้าอภิสิทธิ์เหมือนที่เคยทำต่อหน้าทหารไทยได้และพร้อมยิงคนไทยทุกคนที่ขึ้นไปในเขตพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ที่เป็นแผ่นดินไทย   จนขนาดนี้แล้วจะยอมนั่งอยู่เฉย ๆ หรือ    ถ้าเขมรอยากได้ปราสาทพระวิหารนักเราก็รื้อถอนตัวปราสาทให้เค้าไปเลยส่งอิฐทุกก้อนที่เขมรบอกว่าเป็นของเค้ากลับไปแผ่นดินเขมรให้หมด ไทยก็ไม่อยากได้อิฐหินของชนชาติเขมรแม้แต่หินก้อนเดียวของมันก็อย่าให้ตกอยู่ในแผ่นดินไทย แต่แผ่นดินไทยทุกตารางนิ้วต้องเป็นของไทยทรายสักเม็ดของไทยก็อย่าให้มันเอาไปได้ ถ้าจะรบก็ต้องรบแต่รบแล้วต้องนึกถึงคนไทยใจเขมรที่ตั้งหน้าตั้งตาขายชาติจนทหารไทยต้องเสียเลือดเนื้อด้วย คนขายชาติที่ชื่อทักษิณและครอบครัว, นพดล, สมัคร, เนวิน, ปองพล และไอ้ที่อยู่ในคณะรัฐมนตรีรัฐบาลสมัครที่ร่วมกันลงนามขึ้นทะเบียนมรดกโลกต้องไม่ให้อภัยคนพวกนี้เด็ดขาด  

 

สุเทพ เทือกโยนลูกกระทรวงต่างประเทศแถลงการณ์ตอบโต้กัมพูชาโดยไม่ซ้ำเติมสถานการณ์  จุดยืนของรัฐบาลไทยก็คือเราพยายามที่รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านทุกด้าน  ตั้งหลักให้ดีแล้วความตึงเครียดก็น่าจะลดลงได้เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นเรื่องร้ายแรงที่จะทำให้ความสัมพันธ์เสียหาย การทำมาหากินของทั้ง 2 ประเทศก็จะเป็นปกติดี

 

นพดล ปัสสาวะอดีตรมว.ต่างประเทศแถลงถึงกรณีที่ป.ป.ช.มีมติ 6 ต่อ 3 เสียงชี้มูลความผิดกรณีออกมติคณะรัฐมนตรีสนับสนุนการลงนามในแถลงการณ์ร่วมฯตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และความผิดทางอาญาตามาตรา 157 ว่าตนขอแสดงความยินดีต่อข้าราชการและรัฐมนตรีทุกคนที่ถูกยกคำร้องในขณะที่ตนได้ปกป้องแผ่นดินไทยและพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นผลสำเร็จแต่สิ่งที่ได้รับจะเป็นตำนานของการทำคุณบูชาโทษไปอีกนานแล้วยังดูเหมือนจงใจว่าจะเอาผิดแค่ตนกับสมัคร สุนทรราชเท่านั้น

 

นายศิริโชค โสภาส.ส.สงขลาพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงท่าทีของฮุนเซนว่าเป็นเรื่องการเมืองในประเทศเขมรเท่าที่ทราบพรรคร่วมรัฐบาลของฮุนเซนก็ไม่ได้มีความเข้มแข็งเท่าใดนักและประเด็นที่หาได้ง่ายที่สุดคือการปลุกความรู้สึกชาตินิยมรวมถึงกรณีเขาพระวิหาร  พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติปลัดกระทรวงกลาโหมกล่าวถึงว่าเป็นสิ่งที่ท่านประกาศเจตนารมณ์บนพื้นฐานของความเข้าใจอยู่    แต่ในส่วนของกองทัพไทยเป็นไปตามที่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาผู้บัญชาการทหารบกได้ชี้แจงไปแล้วโดยยึดพื้นฐานการเจรจาเป็นหลักไม่ทำอะไรล่วงล้ำอธิปไตยของเขา ยืนอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องยึดถือหลักสันติวิธีเป็นหลัก  เมื่อถามว่าผู้นำกัมพูชาพูดเช่นนี้เพราะไทยอ่อนข้อมากไปหรือไม่  พล.อ.อภิชาตกล่าวว่าเรายึดหลักปฏิบัติกับมิตรประเทศในทุกประเทศเหมือนกันหมดเราไม่ได้เลือกปฏิบัติ   นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเสียงแข็งยันไม่ถอนกำลังทหารจนกว่าสภาสั่ง  ที่ด่านเก็บค่าธรรมเนียมอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษทางขึ้นสู่ปราสาทพระวิหาร ทหารไทย พร้อมอาวุธครบมือตั้งด่านรักษาความสงบเรียบร้อยอย่างเข้มงวดและยังไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องขึ้นไปบริเวณผามออีแดงอย่างเด็ดขาด

 

พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์แม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่รับมอบภารกิจหน้าที่ ต่อจากพล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาลที่เกษียณอายุราชการ  เน้นรักษาความสงบเรียบร้อยให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ ยึดหลักเจรจาไม่ใช้กำลังและเสนอจัดระเบียบชายแดนตลอดแนวหลังชาวกัมพูชาตั้งชุมชนในพื้นที่อ้างสิทธิ์ อัดสรยุทธช่อง 3 เต้าข่าวทหารเขมรยิงปืนรุกล้ำฝั่งไทยเกินเหตุระบุทหารไทยพร้อมเต็มที่ทั้งกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์หากเกิดปะทะกันขึ้น  จากนี้ไปทางกองทัพภาคที่ 2 จะรุกการประชาสัมพันธ์ให้มากกว่านี้เปิดแถลงข่าวทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน  

 

เชื่อแล้วที่ว่าเขมรมันบอกว่ามัน 1 คนสู้ทหารไทยได้ 3 คน ขนาดฮุนเซ็นคนเดียวตะคอกว่าจะสั่งยิงคนไทยหากรุกล้ำเขาพระวิหารทั้งรัฐบาล ทั้งกองทัพ ทุกคนกลัวมันคนเดียวขี้แตก  ขี้แตนเงียบฉีไม่มีใครกล้าออกมาพูดอะไรเลย     แล้วทุกวันนี้ที่พวกเขานอนกินภาษีชาวบ้านอยู่ได้ หลับเถอะ  รัฐบาลและทหารกล้าประชาชนจะปกป้องเอง  ผู้นำเหล่าทัพของเราไม่ทำให้คนไทยภูมิใจว่าเราต้องไม่ให้ใครหยามจนเสียสภาพ ฮุนเซนได้ใจเหมือนถือไพ่เหนือกว่าไทย หรือฮุนเซนเจตนาหาเรื่อง รู้ว่ากองทัพไทยไม่กล้าทำอะไรเพราะจะถูกมองว่าชาติใหญ่กว่ารังแกชาติเล็ก ถ้ารบกันจะวิ่งโร่ไปฟ้องยูเอ็นพ่อใครก็ไม่รู้    ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราต้องยื่นคำขาดให้ฮุนเซนถอนกำลังทหารและคนออกไปให้หมดไม่อย่างนั้นจะใช้กำลังผลักดัน จะรบก็ต้องรบ เพื่อเอาอธิปไตยเหนือดินแดนคืนมาแต่ยังมีหลายคนตั้งข้อสงสัยว่ารัฐบาลและกองทัพของเรากล้ารบหรือเปล่า ทหารระดับผู้น้อยย่อมกล้าเสี่ยงชีวิตเพื่อมาตุภูมิแต่แม่ทัพต้องแสดงให้เห็นความพร้อม ความใจถึง ทั้งคำพูดและการแสดงออก ไม่ใช่ยอมให้เขาขู่คุกคาม มาถึงยุคนี้ ต้องถามว่ามีคนรักชาติจริงหรือไม่ หลังจากเรามีนักการเมืองขายชาติไปทำข้อตกลงกับเขมรแบบลับๆ ทำให้เราต้องสูญเสียดินแดนและผลประโยชน์ เช่น ทรัพยากรทั้งบนบก ในทะเล แบบนี้ประชาชนมีสิทธิถามว่าเราเสียเงินซื้ออาวุธมาทำไม

 

อดีตเอกอัครราชทูตสุรพงษ์ ชัยนามแนะนำว่ารัฐบาลสมควรจะตอบด้วยการกระทำอันเป็นสัญลักษณ์มองเห็นได้ว่าเรามีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรที่เขมรดอดเข้ามาครอบครอง เช่นการชักธงไทยขึ้นเสาในอาณาบริเวณ ส่งเจ้าหน้าที่ต่างๆ ขึ้นไปปฏิบัติงานเช่นนักอนุรักษ์ ตรวจคนเข้าเมืองหรือท่องเที่ยวเป็นต้น ในชั้นนี้อาจจะยังไม่ต้องใช้กำลังกวาดต้อนเขมรออกไปเลยก็ได้และต้องปรามเขมรว่าถ้าขืนแตะต้องคนของเราจะต้องเจอดีพร้อมทั้งแสดงศักยภาพทางกำลังว่าสามารถจะกระทำตามที่ขู่ได้    ในวันที่ 13 กันยายนเมื่อรัฐมนตรีกษิตขึ้นไปสำรวจพื้นที่นั้นเห็นในทีวีมีภาพธงชาติเขมรโบกสบัดอยู่และถ้าเราปล่อยให้เขมรอ้างได้ว่าก่อนจะขึ้นไปรัฐมนตรีกษิตยังต้องขออนุญาตฝ่ายเขมรด้วยก็ยิ่งจะแย่แต่ไม่น่าเชื่อว่ารัฐมนตรีกษิตจะต้องทำอย่างนั้น    ทั้งหมดนี้มิใช่จะยุกองทัพอากาศให้เตรียมพร้อมหรือยุให้รัฐบาลไทยทำสงครามกับเขมร ลำพังกำลังทหารเขมรที่เบ่งอยู่แถวเขาพระวิหารนั้นใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงขี้คร้านจะวิ่งแจ้นมาเจรจา  ถ้าไทยยังขืนยึกยักเรื่องนี้อยู่ก็อาจจะไม่มาประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับคู่เจรจาหรือถ้าอภิสิทธิ์ขืนเอาแผนที่ฉบับเดิมมาอ้างอีกก็จะฉีกแผนที่ใส่หน้าอภิสิทธิ์ เช่นเดียวกับที่ทหารเขมรฉีกแผนที่ใส่หน้าผู้บัญชาการทหารสูงสุดไทยมาแล้ว     แผนที่ที่ว่านี้ก็คือฉบับเดียวกับที่เขมรเคยรับแล้วในปี 2505 ภายหลังที่ศาลโลกตัดสินแต่ทำไมในวันนี้เขมรจึงจองหองพองขนน่าเหยียบอย่างนี้ ในความอ่อนแอโลเลของรัฐบาลไทยทุกรัฐบาลที่งดเว้นไม่ทำในสิ่งที่ควรกระทำและ/หรือกลับไปกระทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำคือการร่วมมือกับผู้มีอำนาจทั้งไทยและเขมรเอาที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนี้เป็นเครื่องมือต่อรองกับพื้นที่ในทะเลอันเป็นผลประโยชน์ส่วนบุคคลได้       สำหรับรัฐบาลปัจจุบันที่มัวแต่อมพะนำไม่พูดหรือทำอะไรที่ชัดเจนอ้างแต่ว่าสัมพันธภาพระหว่างประเทศเพื่อนบ้านเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมัวแต่เทียวไปเทียวมาล.ก.ป.ฮุนเซน   เมื่อประชาชนผู้รักชาติพากันขึ้นไปยืนยันอธิปไตยเหนือดินแดนของชาติแทนที่จะยกย่องและถือโอกาสประกาศให้ฮุนเซนเข้าใจว่าพลังรักชาติที่แท้จริงของคนไทยนั้นใครก็ห้ามไม่อยู่ก็กลับขู่ว่าใครทำผิดเรื่องปะทะกันก็จะว่าตามผิดทั้งๆที่ไม่มีการปะทะมีแต่การซุ่มโจมตีจากพวกสมุนผู้ขายชาติ    หากรัฐบาลสมัครไม่ขายชาติกระดาษแผ่นเดียวจากรัฐบาลไทยไปบอกยูเนสโกว่าไทยจะขอเป็นผู้ร้องร่วมเรื่องเขาพระวิหารก็จบ     บัดนี้ป.ป.ช.ชี้มูลไปแล้วเมื่อวานนี้ว่าสมัครกับนพดลกระทำผิดเอื้อประโยชน์ให้คุณพ่อฮุนเซนส่วน ครม.โง่ทั้งคณะนั้นพ้นผิดเพราะไม่มีเจตนาและป.ป.ช.ยังไม่เข้าใจหลักประชาธิปไตยเรื่องความรับผิดชอบร่วมของครม.ก็ไม่เป็นไร   แต่รัฐบาลต้องไปบอกยูเนสโกเดี๋ยวนี้ว่าทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองและป.ป.ช.มีความเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่าการกระทำของรัฐบาลสมัครเป็นโมฆะ รัฐบาลนี้จำเป็นต้องเชื่อฟัง        เรื่องเขมรเบ่งคับทับคนไทยนี้อาจารย์ปราโมท นาครทรรพว่าแก้ไม่ยากถ้าหากไทยไม่คว่ำบาตรโดยมาตรการเศรษฐกิจ   เมื่อเขมรได้สำแดงแน่ชัดว่าต้องการรักษาสภาพ No

War-No Peace คือไม่มีสงคราม-ไม่มีสันติภาพอย่างนี้ก็ดีแล้วปล่อยให้เขายิงเราลองดูสักนัดหนึ่งก่อน เราจะสามารถใช้เครื่องบินถล่มเลยทันทีแล้วจึงค่อยเจรจากัน      ไทยไม่ควรกลัวแต่ควรใช้คำตัดสินของศาลโลกปี 2505 ให้เป็นประโยชน์เพราะเราเพียงถูกหลักกฎหมายปิดปากมิให้เรียกร้องตัวเขาพระวิหารเท่านั้น อาณาบริเวณต่างๆ ยังเป็นของไทยอยู่ถ้ายึดหลักสนธิสัญญากับฝรั่งเศสปี 1904 ที่เอาสันปันน้ำเป็นเขต      หรือถ้าเขมรจะถือสิทธิเรียกร้องกลับไปถึงสมัยโบราณที่ตนและไทยยังไม่มีสภาพเป็นรัฐชาติเช่นในปัจจุบัน   เราก็จะได้ถือหลักให้คืนกลับไปสู่สถานภาพเดิมล่าสุดก่อนที่จะมาเป็นรัฐชาติของเขมรโดยเอาเสียมเรียบ พระตะบองกับศรีโสภณคืนมาเสีย

นายวัชระ เพชรทองส.ส.ประชาธิปัตย์แถลงข่าวตอบโต้ฮุนเซ็นที่สั่งให้ทหารใช้อาวุธยิงผู้ล่วงล้ำพื้นที่พิพาทเขาพระวิหารและกล่าวว่าผู้นำกัมพูชาแสดงออกถึงความเป็นประเทศด้อยพัฒนาไม่สำนึกถึงบุญคุณที่ประเทศไทยมีต่อกัมพูชาที่รัฐสภา

 

1 ต.ค. 52  สุเทพ เทือกห้สัมภาษณ์ยังไม่มีการประสานโดยตรง แต่เท่าที่ติดตามก็ไม่คิดว่าทางกัมพูชาจะแสดงท่าทีแข็งกร้าวรุนแรงอะไรอย่างจริงจัง  กัมพูชาบอกว่าที่ฮุนเซนพูดอย่างนั้นเพราะไม่พอใจที่มีกลุ่มคนไทยบุกขึ้นไปบนปราสาทรองนายกฯกล่าวว่าไม่แทรกแซงจากเขมร    ไม่ต่างไปจากนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่ตอบกระทู้ถามสดปัญหาพระวิหาร ยันสถานการณ์ยังปกติ  ในพื้นที่ปราสาทพระวิหารมีทหารจากทั้ง 2 ฝ่ายตรึงพื้นที่ไว้  และไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพราะการดำเนินนโยบายระหว่างไทยและกัมพูชา ไม่ได้มีปัญหาเกิดขึ้นและเป็นไปด้วยดี   คนที่มีสถานะเป็นผู้ประเทศสามารถกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้ในหมู่ประชาชนวงกว้างในบางครั้งแค่เพียงด้วยคำพูดและแววตาแค่เสี้ยวนาทีให้รู้สึกอบอุ่น หรืออ้างว้าง มีกำลังใจ หรือสิ้นหวัง ให้ปลื้มปิติ หรือหดหู่ ให้ฮึกเหิม หรือหดหัว 

 

ทั้งๆ ที่ฝ่ายไทยวางเฉยและพยายามอดกลั้นเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีแต่สมเด็จฮุนเซ็นกลับแสดงท่าทียโส โอหัง ก้าวร้าวสามหาวและสะท้อนพฤติกรรมของอันธพาลให้สัมภาษณ์ยั่วยุและขู่จะใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อฝ่ายไทยอยู่ตลอดทั้งๆ ที่พื้นพิพาท 4.6 ตางรงกิโลเมตร บริเวณรอบปราสาทพระวิหารดังกล่าวอยู่ในเขตแดนไทย  ฮุนเซ็นยังให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นขู่ว่าอาจจะไม่เดินทางมาร่วมประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและจะไม่เจรจาใดๆ กับนายกรัฐมนตรีของไทยอีก   มองกันว่าฮุนเซ็นอาศัยกรณีข้อพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหารปลุกระดมสร้างกระแสชาตินิยมในหมู่ชาวกัมพูชามาอย่างต่อเนื่องเพราะยิ่งนับวันชาวกัมพูชาจะไม่พอใจต่อความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาการคอร์รัปชั่นของระบอบฮุนเซ็นมากขี้นเรื่อยๆ    นอกจากนี้ฮุนเซ็นที่ได้คืบเอาศอกยังพยายามยั่วยุให้ฝ่ายไทยตกหลุมพรางด้วยการตอบโต้ทางทหารโดยหวังจุดชนวนสร้างสถานการณ์ให้ลุกลามบานปลายเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการนำปัญหาความขัดแย้งเข้าสู่การพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติไปจนถึงศาลโลกเพื่อกัมพูชาจะอ้างสิทธิครอบครองพื้นที่พิพาท 4.6 ตางรางกิโลเมตรเหมือนที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในกรณีตัวปราสาท   ท่าทีของนักการเมืองกัมพูชาผู้หนึ่งจะสร้างความฮึกเหิมและกระตุ้นคะแนนนิยมทางการเมืองของตัวเขาเองในหมู่ประชาชนคนกัมพูชาได้ไม่น้อย   แต่ท่าทีเช่นนี้ทำให้คนไทยแทบจะทุกคนรู้สึกเสมือนถูกข่มขู่ คุกคาม อาฆาตมาดร้าย หมายมุ่งเอาชีวิต จากเพื่อนบ้านที่ไม่เป็นมิตร ช่างไม่ให้เกียรติกันเอาเสียเลย     คนไทยเหมือนกำลังถูกกุ๊ยข่มขู่ในบ้านตัวเอง มีความผิดอะไรหรือหากเข้าไปในบริเวณที่ราชการไทยยืนยันต่อคนไทยทั้งประเทศเองว่าเป็นเขตดินแดนราชอาณาจักรไทยจึงต้องถูกยิงทิ้งโดยกองกำลังต่างชาติ   มันน่าจะดีขึ้นกว่าการที่ผู้นำของเราจะเล่นบทแต่เพียงไม่ถือคนบ้า - ไม่ว่าคนเมา - ไม่สนใจเอาความอะไรกับไอ้กุ๊ยข้างบ้าน แต่เชื่อว่าชาวไทยก็ยังสนับสนุนให้นายกฯอภิสิทธิ์พยายามยึดถือแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีต่อไปแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนเป็นนายกรัฐมนตรีจะไม่ต้องสื่อความหมายหรือสื่อความรู้สึกนึกคิดกับคนไทยด้วยกันเองเพื่อนำความเชื่อมั่นมาสู่หัวใจคนไทยและต้องบริหารจัดการอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของคนในชาติบ้าง  จะทำแค่ไหน อย่างไร เพื่อรักษาหลักการ ความถูกต้องและผลประโยชน์ส่วนรวมไปพร้อมๆ กันด้วย

 

ที่สุดป.ป.ช.ก็ได้มีมติชี้มูลความผิดกรณีออกมติคณะรัฐมนตรีสมัคร สุนทรราชสนับสนุนกัมพูชาตามมาตรา 157 นอมินีของระบอบทักษิณได้ดำเนินการในลักษณะที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ได้ยึดถือเอาผลประโยชน์ของชาติแต่อย่างใด ไม่สนใจว่าประเทศชาติจะต้องสูญเสียดินแดนและอธิปไตยทั้งยังไม่ยอมฟังเสียงทักท้วงใดๆ ตามลักษณะพฤติกรรมของคนขายชาติ   เรื่องละเอียดอ่อนกระทบกับอธิปไตยของชาติแบบนี้ข้าราชการและอดีตคณะรัฐมนตรีหลุดรอดไปได้ โดยไม่มีความผิดเนื่องจากไม่มีเจตนาและเห็นว่าเป็นเรื่องทางเทคนิก มีรายละเอียดมากต้องรีบอนุมัติเพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน เป็นวาระจร ไม่มีเวลาในการพิจารณามากนักแสดงให้เห็นว่าคณะรัฐมนตรีที่เหลือเหล่านั้นเป็นแค่ตรายางโดยมีข้าราชการที่สมประโยชน์ ทำเรื่องต่างๆได้ทุกเรื่องโดยไม่สนใจผลที่จะตามมา เป็นมือเป็นไม้ให้แล้วเขี่ยข้าราชการที่ไม่ยอมไปให้พ้นทางด้วย  แทนที่คนพวกนี้จะยอมสำนึกผิดกลับออกมาโต้แย้งอ้างข้อมูลจากดำเป็นขาว ผิดเป็นถูกเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากมลทิน   หากยังจำกันได้พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยที่มีข้อครหาในเรื่องการเข้าไปลงทุนทำธุรกิจด้านพลังงานรวมไปถึงการเช่าเกาะกงเป็นเวลา 99 ปีของทักษิณ ชินวัตรกอรปกับนายกรัฐมนตรีฮุนเซนที่มีความสัมพันธ์สนิทสนมส่วนตัวทำให้ข่าวคราวในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ในยุครัฐบาลทักษิณมาจนถึงรัฐบาลสมัครและสมชายกระโปรง   เมื่อพิจารณาตามลำดับแล้วยิ่งทำให้การสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเพียงฝ่ายเดียวแล้วแถมพื้นที่โดยรอบให้อีก 4.6 ตารางกิโลกเมตรเนื้อที่ 3 พันไร่เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจด้านพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยและการเช่าเกาะกงมันก็เป็นเรื่องเดียวกันและมีน้ำหนักสูงในความเป็นจริง   การที่ฮุนเซนบังอาจออกมาขย่มไทยในช่วงนี้พอดีก็น่าจะเป็นการรับสัญญาณบางอย่างจากเพื่อนร่วมผลประโยชน์

 

เมื่อพลิกประวัติศาสตร์ขุดโคตรรากเหง้าบรรพบุรุษของเขมรตามพุทธประวัติ จาก"ราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา" รวมรวบโดยนักองนพรัตน์หริรักษ์ราชภูบดีเมื่อพ.ศ.2420 ย้ำไว้ว่าบรรพชนของกัมพูชามีชาติกำเนิดมาจากตะกวด สัตว์ลิ้นสองแฉก (Varanus bengalensis) ข้อมูลนี้อ่านได้ที่หอสมุดแห่งชาติ "เรื่องลับของเขมรที่คนไทยควรรู้"โดยอาทิตย์ ทรงกลด ISBN-978-611-7180-03-3เพื่อจะได้จัดการกับตะกวดพวกนี้ให้อยูหมัด

 

1 ต.ค. 52 น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพลกรรมการป.ป.ช.กล่าวกรณีที่มีเสียงวิจารณ์ว่าป.ป.ช.จงใจเอาผิดเฉพาะสองตัวเอ้ว่าคนเราก็คิดไปได้แต่หากมีธงจริง เหตุใดป.ป.ช.ต้องใช้เวลาพิจารณาถึง 7 ชั่วโมงและมีการถกเถียงเหตุผลกันในที่ประชุมอย่างหนัก  การชี้มูลความผิดทั้ง 2 คนก็มาจากมติที่มาจากเสียงข้างมาก  การแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งรวมถึงม.190ด้วยนั้นตามหลักกฎหมายอาญาโทษทางอาญาจะย้อนหลังไม่ได้โดยย้อนหลังได้เฉพาะกฎหมายที่แก้แล้วเป็นคุณเท่านั้น หากแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จระหว่างที่ยังไม่มีคำพิพากษาก็เชื่อว่าศาลฎีกาฯจะนำไปพิจารณาด้วย แต่ถ้าแก้เสร็จหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาไปแล้วก็มีหลักเกณฑ์ที่จะใช้ในการอุทธรณ์อยู่ 

บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงาเมื่อชาวภูมิซรอลที่บริเวณบ้านภูมิซรอล หลายครอบครัวได้พากันอพยพหนีลูกปืน อพยพหนีภัยสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นได้ไปอยู่กับญาติพี่น้องซึ่งอยู่ห่างไกลจากบริเวณเขาพระวิหารเพื่อต้องการให้พ้นจากรัศมีปืนใหญ่ของทหารกัมพูชา

 

3 ต.ค. 52  อึ้งกิมกี่  พูดไม่ออก  บอกไม่ถูก กันไปทั้งประเทศเมื่อร.ต.อ.เฉลิม อยู่ทำไม - ด.ร. เยสโนโอเคโคคาโคล่า ผู้ที่เคยมีระดับฐานะตำแหน่งเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือหนึ่งในจตุสดมภ์อันเป็นเสาหลักในการค้ำยันราชอาณาจักรไทยแท้ๆ จะทำไปได้     ประธานส.ส.เพื่อไทยกล่าวว่าหากทักษิณ ชินวัตรยังเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงแค่โทรศัพท์ไปหาสมเด็จฮุนเซนพูดฮัลโหล 3 ครั้งก็เรียบร้อยแล้วเพราะทักษิณมีความสัมพันธ์อันดีกับกัมพูชา ที่กัมพูชาแสดงปฏิกิริยากับประเทศไทยอย่างนี้ เป็นเพราะกัมพูชาเกลียดนายกษิต ภิรมย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ไปด่าฮุนเซ็นซึ่งตนเป็นคนส่งเทปของนายกษิตไปให้ฮุนเซนผ่านลูกสาวเขาเอง    นี่ ถึงแม้สม  รังษีจะเหม็นหน้าเกลียดขี้หน้าฮุนเซนปานใดแต่ก็ยังพอมีวุฒิภาวะหรือยังไม่โง่พอที่จะคิดยั่วยุให้ประเทศไทยบุกเข้าไปเล่นงานกัมพูชาที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองแท้ๆ, ฮุนเซนให้การต้อนรับนาายกษิต ภริมย์รมว.ต่างประเทศของไทยด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสที่เมืองเสียมราฐระหว่างไปเป็นประธานกล่าวเปิดประชุมรัฐมนตรีกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง   ภาพและบรรยายกาศเช่นนี้อาจจะพลิกความคาดหมายของเฉลิม อยู่ทำไมแห่งพรรคเพื่อไทย

 

4 ต.ค. 52  นายกฯ ถามเฉลิม อยู่ทำไมทำเพื่ออะไรประกาศส่งเทปกษิตวิจารณ์ฮุนเซ็นไปให้กัมพูชา  สอนเฉลิม อยู่ทำไม  "ไม่ทราบว่าทำเพื่ออะไร คุณเฉลิมก็ต้องตอบเองว่าทำเพื่ออะไร แต่เข้าใจว่าเทปที่ส่งไปก็เป็นเทปเก่าแต่ในส่วนของรัฐบาลก็ได้ทำความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ก็อยากจะขอร้องเพราะรัฐบาลฟังเสียงทุกฝ่าย และพยายามเดินหน้าแก้ไขปัญหา และในทางการเมืองเรื่องรัฐธรรมนูญอย่างนี้แล้วก็น่าจะมาร่วมกันทำงานมากกว่า"  นายสาธิต ปิตุเตชะส.ส.ระยองกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์แถลงว่าร.ต.อ.เฉลิมมักจะวิจารณ์คนอื่นเสมอ โดยเฉพาะวิจารณ์นายกรัฐมนตรีว่า มีวัยวุฒิเป็นเด็ก แต่กรณีดังกล่าวทำให้เห็นได้ชัดว่าร.ต.อ.เฉลิมมีอายุมากเป็นคนแก่แต่มีความคิดไม่เกินเด็ก ป.6 เพราะฟ้องได้แม้แต่กับคนนอกประเทศทำให้ประเทศเสียหายมาก   นายเทพไท เสนพงศ์ส.ส.นครศรีธรรมราชกล่าวว่า อยากถามว่าร.ต.อ.เฉลิมกำลังนำประโยชน์ของประเทศชาติมาสนองตัณหาทางการเมืองของตนเองหรือ   ประวัติศาสตร์ไทยที่กรุงศรีอยุธยาแตกเพราะคนไทยเป็นไส้ศึก ร.ต.อ.เฉลิมกำลังกระทำการดังกล่าวใช่หรือไม่ ขอถามว่าร.ต.อ.เฉลิมยังรักประเทศอยู่หรือไม่และเป็นคนไทยหรือเปล่า

 

พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อปีพ.ศ. 2112  โดยบุเรงนองใช้กลยุทธ์ให้ไทยแตกเป็น 2 ฝ่าย จึงส่งพระมหาธรรมราชามาเกลี้ยกล่อมให้ยอมแพ้ แต่ถูกทหารไทยเอาปืนไล่ยิงจนต้องหนีกลับไป แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ของพระเจ้าหงสาวดีจึงคิดอุบายจะใช้พระยาจักรีหรือออกญาจักรีที่จับตัวได้ตอนสงครามช้างเผือกเป็นไส้ศึก โดยวางแผนจำคุกพระยาจักรีแล้วแกล้งปล่อยให้หนีโดยมีเครื่องพันธนาการมาด้วยสมเด็จพระมหินทราธิราชจึงทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับบัญชาการรบพระยาจักรีจึงย้ายแม่ทัพที่รบเก่งไปไว้ในตำแหน่งที่ไม่สำคัญ ทำให้การป้องกันพระนครอ่อนแอ เมื่อเห็นว่าได้เวลาอันควรจึงให้สัญญาณแก่พม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยาทุกด้าน ในที่สุดไทยจึงเสียกรุงแก่พม่าเพราะมีไส้ศึกคนขายชาติ    บุเรงนองได้มอบทรัพย์สมบัติให้กับพระยาจักรี 1 หีบตามคำขอจากนั้นก็ให้ทหารตอกหมุดที่มือพระยาจักรีติดไว้กับหีบแล้วจับไปถ่วงน้ำทั้งเป็น  ตามพงศาวดารระบุว่าพระยาจักรีนั้นพระเจ้าบุเรงนองเลี้ยงไว้ไม่นานก็หาความผิดเพื่อประหารชีวิตเพราะแม้แต่แผ่นดินเกิดยังกล้าทรยศ ก็ไม่ควรเลี้ยงไว้  ทรยศหักหลังได้แม้แผ่นดินเกิด คนอย่างนี้อยู่แผ่นดินไหนก็ไม่ควรเลี้ยงไว้

 

5 ต.ค. 52   สุเทพ เทือกหลอกยำเฉลิม อยู่ทำไมถามคนไทยหรือเปล่า  ระบุฮุนเซนเป็นผู้ใหญ่เป็นนายกฯมานานมากก็คงเข้าใจการเมืองดีคิดว่าคงแยกแยะได้

 

6 .. 52   เกิดข่าวสะพัดสมัคร สุนทรราชตาย  นายเคารพ วงศ์ประเสริฐผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลเปิดเผยว่าขณะนี้นายสมัครยังไม่เสียชีวิตและพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลซึ่งตัวนายสมัครเองไม่อยากเปิดเผยเรื่องการรักษาตัวและทางคณะแพทย์ยังไม่มีนโยบายเปิดแถลงข่าว    รายงานเพิ่มเติมว่าหลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัครเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ระหว่างวันที่ 3 ต.ค.-3 พ.ย. 51 เนื่องจากป่วยเป็นโรคมะเร็งตับโดยไม่เป็นที่เปิดเผยจนกระทั่งนายกฤษณะ ไชยรัตน์พิธีกรโทรทัศน์เดินทางไปถ่ายทำรายการถึงโรงพยาบาล  อาการป่วยของสมัครจึงเป็นที่เปิดเผยในวงกว้าง  ต่อมาสมัครจึงเดินทางไปรักษาต่อที่สหรัฐอเมริกากระทั่งกลับมาเมืองไทยและพักฟื้นที่บ้านซึ่งต่อมาเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลจนกระทั่งเกิดข่าวลือว่าถึงตายในวันนี้   ตายแล้วเอาเครื่องราชย์ไปได้ไหม  ตายแล้ว เอาทรัพย์สินที่โกงจากรถดับเพลิงไปได้ไหม ตายแล้ว เอาอะไรไปได้บ้าง   ไม่มี ไม่มีเลย สมัครเอ้ย

 

7 ต.. 52   คลิปเสียงที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่ทำไมแห่งพรรคเพื่อไทยส่งถึงฮุนเซนนายกรัฐมนตรีกัมพูชาแต่ไม่ได้รับความสนใจจากโฆษกรัฐบาลเขมรที่ถือว่าทั้งหมดเป็นกิจการภายในของไทยไม่ขอออกความเห็นและถือเป็นเรื่องเก่่า ผ่านมาแล้วแต่บรรดาสื่อกลับพุ่งเป้ากลับไปที่การสร้างข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับรวมทั้งเกาะสันติภาพ (Koh Santepheap) กับดืมอัมปึล (Deum Ampil) ได้ให้ความสนใจตีพิมพ์เผยแพร่ข่าวการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเฉลิมซึ่งโฆษกของฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์เรียกว่าเป็นการกระทำ "แบบเด็กประถม". คุณวีระ สมความคิดกล่าวว่าหากรัฐบาลไม่สามารถทวงคืนปราสาทพระวิหารคืนมาได้ภายในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ตนเองพร้อมด้วยพันธมิตรฯ จะเดินทางไปทวงคืนพร้อมระบุว่าตนเองยินดีและมีความพร้อมในการดีเบตกับนายกษิต ภิรมย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโดยอยากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีมาร่วมดีเบตด้วยเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงต่อประชาชน

 

9 ต.ค. 52   พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ลงพื้นที่จ.ศรีสะเกษแจงนโยบายชายแดนและแลกเปลี่ยนแนวทางแก้ไขปัญหาสำหรับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในขณะนี้ยังอยู่ในความสงบเรียบร้อย และทหารสามารถควบคุมได้โดยได้มีการพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้นำทางด้านกัมพูชา ในทุกๆระดับ ไม่ว่าจะเป็นในระดับพื้นที่ ระดับภูมิภาค โดยตนจะได้มีการเดินทางไปเยี่ยมทางผู้บังคับบัญชาในส่วนภูมิภาคทางฝั่งกัมพูชาเพื่อแนะนำตัว  พัฒนาความสัมพันธ์ รวมทั้งจะได้มีการเชิญมาเยี่ยมฝ่ายไทยด้วย

 

สมชายกระโปรง วงศ์สวัสดิ์หิ้วนพดล ปัสสาวะพร้อมบริวารทาสทักษิณโผล่เยี่ยมแจกเงินสดตบรางวัลพบปะกับชาวบ้านภูมิซรอลและชาวบ้านในเขต ต.เสาธงชัยซึ่งส่วนมากแล้วเป็นชาวบ้านกลุ่มม็อบเถื่อนที่รวมตัวสกัดกั้นและไล่ทำร้ายทุบตีขบวนภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนแผ่นดินไทยรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรเมื่อวันที่ 19 ก.ย. สมชายกระโปรงได้พูดคุยกับชาวบ้านพร้อมกล่าวหาว่าคณะผู้เดินทางมาทวงคืนพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นผู้บุกรุกที่เข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนในพื้นที่ทั้งนี้   ฟังที่สมชายกระโปรงพูดแล้วถึงกลับอึ้งเพราะไม่ว่าคำพูดเหล่านี้จะหลุดมาจากปากคนที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาการกระทำของสมชายกระโปรงและลิ่วล้อแสดงให้เห็นว่าเห็นด้วยกับพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรกระทำทั้งที่คนกลุ่มคนไม่มีสิทธิ์จะไปทำร้ายผู้อื่นตามอำเภอใจเนื่องจากถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายและไร้มนุษยธรรม

 

ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์มีข้อมูลใหม่ประเด็นใหม่กรณีพฤติกรรมของรัฐบาลที่อาจทำให้ไทยเสียดินแดนให้กัมพูชา  ที่ประชุมสภายุครัฐบาลสมชายกระโปรงผ่านมติรับรองแผนที่ 1:2 แสนซึ่งความหมายคือการเปลี่ยนอาณาเขตระหว่างประเทศไทย และกัมพูชาทำเขตแดนไทย-เขมรหาย หากรัฐบาลชุดนี้นำผ่านสภาเท่ากับรับรองใช้แผนที่ฝรั่งเศสที่ไทยเสียเปรียบอาจเสียพื้นที่หลายแสนไร่ บอกว่าเรายอมรับแผนที่ ANNEX 1 ที่ทำให้เราเจ็บปวดทั้งประเทศมาแล้วในปี 2505 ก่อนหน้านั้นแล้ว  ลั่นล่ารายชื่อถอนมติรัฐสภา 28 ต.ค.51 ขณะที่นายประพันธ์ คูณมี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ระบุหากข้อตกลง JBC ผ่านสภาฯ เส้นเขตุแดนเปลี่ยนทั้งหมดจ.ศรีสะเกษเกือบครึ่งจะตกเป็นของเขมร แนะทางแก้อย่าปล่อยให้ผ่านสภา   ข้อมูลที่ออกจากรัฐบาลส่วนมากประชาชนจะเชื่อและให้ความไว้วางใจเพราะอย่างน้อยก็มีศักดิ์ศรีเป็นตัวแทนประชาชนซึ่งน่าจะทำเพื่อประเทศ "ข้อเท็จจริงหรือการวิเคราะห์การนำเสนอข้อมูลต่อสังคม ต่อสถานะของเรา รู้ดีว่ามันยากเย็นเข็ญใจในการยอมรับนะคะ เพราะว่าข้อเท็จจริงต่างๆ ถ้าออกมาจากทางฝ่ายรัฐบาลแล้ว จะเป็นข้อมูล หรือข้อเท็จจริงที่เป็นทางการนะคะ มีคนเชื่อถือเยอะแยะ" แต่ข้อมูลที่ม.ล.วัลย์วิภาได้มาล่าสุดพบเอกสารที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยยอมรับแผนที่ 1:2 แสน เรียบร้อยแล้ว อันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเขตุแดนระหว่างไทย- กัมพูชา ทั้งหมด ทั้งนี้เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2551 ในขณะนั้นมีการประชุมร่วมสมัยสามัญนิติบัญญัติของ ส.ส.และส.ว.เกี่ยวกับกรอบการเจรจาปักปันเขตุแดนโดยมีการแจกเอกสารประกอบการพิจารณามีเนื้อหาเกี่ยวกับ 1.มีการตั้งคณะกรรมการจัดทำเขตุแดนร่วม 2.สนธิสัญญาสยาม 1904 2.อนุสัญญา 1907 และ3. แผนที่ที่จัดทำขึ้นระหว่างสยามและอินโดจีน ตรงนี้เท่ากับว่าเรารู้แล้วว่า ต้องใช้เอกสารสามตัวนี้ เป็นหลักในการเจรจาเรื่องเขตแดน  อย่างไรก็ตามการจัดตั้งคณะกรรมการปักปันเขตุแดนจะต้องมีการลงนามรับรองและก็ได้รับรองโดยผ่านสภา ในสมัยรัฐบาลสมชายกระโปรงด้วยคะแนนสียง 409 ต่อ 7 เสียงที่สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่อาจจะยังไม่ได้รับรู้ข้อมูลทั้งหมด  นอกเหนือจากประเด็นถอนทหารทั้ง 2 ฝ่ายออกจากบริเวณวัดแก้วสิขาคีรีสะวาราซึ่งเป็นดินแดนไทยอันดูเหมือนดีแต่จะเป็นผลให้ไทยต้องถอนทหารแต่กัมพูชาแม้ถอนทหารก็ยังมีวัด ชุมชน และทหารคงอยู่แล้วก็คือประเด็นการจัดทำหลักเขตแดนภายใต้สิ่งที่เรียกในกรอบ 1 ว่า "แผนแม่บท..." และในกรอบ 2 ให้เป็นไปตามแนวทางเอกสาร 3 รายการคือสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904, สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 และ....ตรงนี้สำคัญ "แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนที่จัดทำขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส"   โดยมีข้อน่าสังเกตในเอกสารนี้ในข้อ 4 ว่าด้วยข้อกำหนดในการจัดทำเขตุแดนมีเอกสารที่แนบเป็นภาษาอังกฤษซึ่งมีวรรคหนึ่งระบุให้แผนที่ที่จะใช้ปักปันเขตุแดนเป็นแผนที่ 1:2 แสนซึ่งเป็นแผนที่ที่เราคัดค้านมาตลอด เพราะแผนที่ดังกล่าวเป็นแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำขึ้น ดังนั้นการที่เรายอมรับ ก็เท่ากับยอมรับแผนที่ 1:2 แสนที่กัมพูชาใช้อ้างสิทธิอาณาเขตจนได้จดทะเบียนตัวปราสาทเขาวิหาร  การดำเนินการต่อจากวันที่ 28 ต.ค.51 ได้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชาโดยมีการเจรจากันถึง 3 ครั้ง   ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ก.ค.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีนำข้อตกลงนี้เข้าสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ม. 190 ที่สำคัญได้บอกว่าให้รัฐสภาผ่านบันทึกข้อตกลงนี้พร้อมกับแนบร้างข้อตกลงชั่วคราวเพื่อยืนยันอีกครั้งว่าให้ใช้แผนที่ 1:2 แสน  ดังนั้นหากนายกฯนำเสนอเร่งให้ผ่านสภาก็เท่ากับสภาชุดปัจจุบันกำลังประทับรับรองการขายชาติให้เกิดความสมบูรณ์ขึ้น เข้าเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนมรดกโลก เพราะประเทศคู่เจรจารับรองว่าความผูกพันระหว่างไทย-กัมพูชาเป็นไปอย่างสงบสุข ทำให้กัมพูชาจะเอาใบรับรองนี้ไปขึ้นทะเบียนแต่เพียงฝ่ายเดียวได้ในทันที  เนื้อความที่กำกับไว้ในวงเล็บให้ใช้แผนที่ 1:2 แสนอย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่ทำให้ผ่านสภาครั้งนั้นตนไม่ทราบว่าเป็นการจงใจหรือไม่เพราะขัดแย้งกับที่เคยประกาศว่าไทยใช้เขตสันปันน้ำ  ไม่ใช่แค่สูญเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม แต่จะรุกคืบเป็นหลายแสนไร่  ปัญหาต่างๆนี้เป็นมาตั้งแต่สมั้ยรัฐบาลทักษิณแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาข้อ 13 ระบุว่าต้องตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนถึงจะจัดทำผลประโยชน์ทางทะเลต่อมารัฐบาลสมชายกระโปรงก็มาเร่งเรื่องนี้อีกและรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ยังเร่งให้ข้อตกลงนี้ผ่านสภาทั้งที่นักวิชาการจากหลายฝ่ายก็ออกมายืนยันแล้วว่าข้อตกลงนี้ไทยเสียเปรียบจนทำให้ประชาชนอดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องนี้จะต้องมีความเชื่อมโยงกับผลประโยชน์  แนวทางแก้ไขมีสองทาง คือ 1 ไม่ให้ข้อตกลงผ่านสภา 2. คัดค้านรัฐบาลต่อศาลฎีกาเหมือนเช่นการคัดค้านเรื่องแถลงการณ์ร่วมที่ศาลเคยวินิจฉัยไปแล้วให้การลงนามในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นโมฆะ  เอกสารประกอบที่ม.ล.วัลย์วิภากล่าวถึงหาอ่านได้ที่ http://www.15thmove.net/ และ http://www.praviharn.net/ ส่วนในรายละเอียดการสนทนานี้รับชมได้ที่mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/PAD_091009.wmv ณ จุดนี้นายคำนูณ สิทธิสมานได้เติมเต็มไว้อย่างน่าสนใจดังนี้กล่าวคือแผนแม่บทและ TOR ปี 2546 (2003) สมัยรัฐบาลทักษิณซึ่งเป็นเอกสารประอบหมายเลข 4 เป็นภาษาอังกฤษแจกจ่ายในวันที่ 28 ตุลาคม 2551 โดยในเอกสารนี้ที่ยังเก็บไว้ถึงขนาดมีวงเล็บไว้ด้วยว่าแผนที่นี้คืออะไร...เขาวงเล็บไว้ในข้อ 1.1.3 ว่า  "...hereinafter referred to as the Maps of 1 : 200,000"    จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องของทักษิณที่ทำขึ้นในปี 2546 และสมชายกระโปรงโดยมีสมพงษ์ อมรวิวัฒน์รมว.ต่างประเทศในขณะนั้นนำมาเสนอเป็นกรอบเจรจาต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2551 หรอกมันเป็น เรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ด้วยตั้งแต่ปี 2543 เพราะแผนแม่บทและ TOR ปี 2546 (2003) ที่มีชื่อเต็ม ๆ ว่า "Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between the Kingdom of Thailand and the Kingdom of Cambodia" มีระบุประโยคเชิงยอมรับ "the Maps of 1 : 200,000" ไม่ได้ลอยลงมาจากฟากฟ้าหรือทักษิณคิดขึ้นมาเอง  มาจากเอกสารชื่อเต็ม "บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก" ที่เรียกย่อ ๆ ว่า MOU ปี 2000 ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ทำกับกัมพูชาในปี 2543 ที่มีข้อ 1 (ค) หรือ Article 1 (c) ที่เป็นปัญหาใหญ่   ข้อความในฉบับภาษาอังกฤษ Article 1 (c) ของ MOU 2000 ก็จะพบข้อความที่เหมือนกันเป๊ะกับ TOR 2003 ข้อ 1.1.3 ซึ่งก็เป็นคำแปลมาจากภาษาไทยแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยตรงที่ใน TOR 2003 ก่อนประโยค ", and other documents relating to the..." (แปลมาจาก "...กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง...") ทะลึ่งใส่วงเล็บแทรกไว้ให้ม.ล.วัลย์วิภาจับได้ ...(hereinafter referred to as the Maps of 1 : 200,000)... แต่ผิดมาตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2543 ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยุคท่านชวน หลีกภัย โดยม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ไปทำ MOU 2000 กับกัมพูชาแล้ว    แค่กัมพูชาขู่ในวันนั้นว่าหากเจรจาไม่สำเร็จใน 6 เดือน จะนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลกอีกครั้งคนไทยเราก็ต้องเร่งร้อนจนลนลานหรือ  ถึงขนาดต้องนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อขอมติใหม่ให้ใช้แผนที่ ANNEX 1 อัตราส่วน 1 : 200,000 ได้โดยถือว่าเป็นการกลับหลักมติคณะรัฐมนตรีปี 2505     เรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศบอกว่าไม่ต้องห่วงเพราะแม้จะเขียนยอมรับแผนที่แต่ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศนี่ถือเป็นเพียงส่วนเดียวที่จะต้องพิจารณาร่วมกับสนธิสัญญาและหลักฐานอื่นและตอนแรกไม่ได้คิดจะจัดทำหลักเขตแดนที่บริเวณพระวิหารก่อนที่อื่นแต่จะทำในส่วนที่เคยมีหลักเขตแดนแล้ว 73 หลักก่อนแต่สถานการณ์ในกาลต่อมาผันแปร  รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยุคนี้ต้องหาเหตุผลที่ดีกว่านี้มาชี้แจงเพราะเท่าที่พยายามเข้าใจและเห็นใจกระทรวงการต่างประเทศมาเป็นเดือน ๆ ในการชี้แจงกันหลายครั้งพบว่ากระทรวงการต่างประเทศตอบคำถามจนดูเหมือนบางกรณีกัดลิ้นตัวเอง   กระทรวงการต่างประเทศมองว่าคำพิพากษาศาลโลกปี 2505 ยอมรับแผนที่ ถ้ามีเหตุให้ขึ้นศาลโลกอีกครั้งไทยจะเสียเปรียบไทยจึงพยายามยึดหลักเจรจา ไม่ควรให้เป็นกรณีพิพาทแต่ครั้นเมื่อยึดหลักเจรจา   เมื่อกัมพูชาขู่ว่าจะนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลกกระทรวงการต่างประเทศก็กลับไปยอมเขียนเรื่องแผนที่ที่ทำให้คนไทยช้ำใจทั้งประเทศมาแล้วเมื่อปี 2505 เข้าไว้ในบันทึกความเข้าใจปี 2543 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบันก่อนจะชี้แจงอะไรออกมาควรทำความเข้าใจให้ถ่องแท้กับตรรกะของกระทรวงการต่างประเทศที่ยิ่งรับฟังยิ่งไม่ชอบด้วยหลักเหตุผลยิ่งขึ้นทุกที

 

12 ต.ค. 52  ภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทเขาพระวิหารเดินทางมายื่นหนังสือต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล ยกเลิกเพิกถอนมติรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 ต.ค.51 เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก เพิกถอน การพิจารณาบันทึกการประชุม JBC 3 ฉบับที่บรรจุร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา ฉบับ 6 เม.ย. 52 ที่กรุงพนมเปญซึ่งมีเจตนารมณ์ยืนยันการใช้แผนแม่บท พ.ศ. 2546 พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลให้ข้อมูลกับยูเนสโก และคณะกรรมการมรดกโลก เรื่องการชี้มูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)และขอให้รัฐบาล รัฐสภาหน่วยงานทีเกี่ยวข้อง ไม่ว่าคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(ฝ่ายไทย) กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม เลิกกีดกันประชาชนและให้ข้อมูลกับประชาชนที่ทันต่อเหตุการณ์  มติที่ประชุมสภาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2551 นั้นถือเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะมติดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 เนื่องจากมีผลต่อการแบ่งแยกราชอาณาจักรไทยอย่างชัดเจนนอกจากนี้มติดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจำนวนมากแต่ประชาชนไม่เคยได้รับรู้ข้อมูลเลย  ตัวแทนภาคีเครือข่ายยังประณามรัฐบาลที่ปล่อยให้สมชายกระโปรงอดีตนายกฯ และนพดล ปัสสาวะอดีตรมว.ต่างประเทศไปให้ข้อมูลผิดๆ ต่อชาวบ้านภูมิซรอลอ.กันทราลักษ์ จ.ศรีสะเกษ แทนที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีหรือนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศจะเดินทางไปให้ข้อมูลที่ถูกต้อง   นายคำนูณ สิทธิสมานระบุว่าไทยควรจะมีการตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาโดยนำทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาหารือกันเพื่อแก้ปัญหารวมถึงยกระดับคณะกรรมการชายแดนขึ้นมาเป็นปัญหาระดับชาติให้พ้นมือกระทรวงการต่างประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพกรมสนธิสัญญา ยกระดับงานพระวิหารเป็นโต๊ะเจรจาขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ตนเชื่อว่าจะเป็นปัญหาใหญ่มากในอนาคตซึ่งกระทรวงการต่างประเทศก็เชื่อว่ากัมพูชาจะต้องนำประเด็นเขตแดนพระวิหารเข้าสู่การเจรจาระดับพหุพาคีของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติซึ่งอาจจนำกลับขึ้นไปสู่ศาลโลกอีกครั้งจึงเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไข    ด้านนายปราโมทย์ นาครทรรพนักวิชาการกล่าวว่าตนคิดว่ายังมีทางแก้ไข โดยยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งเรื่องนี้รัฐสภาจะทำตามลำพังไม่ได้ต้องให้ภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม ขณะเดียวกันตนก็มีความเป็นห่วงข้อเสนอของ ส.ว.คำนูณโดยเกรงว่ากว่าถั่วจะสุกงาก็จะไหม้เพราะไม่ทราบว่ารัฐบาลจะทำตามที่เสนอหรือไม่เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความเขลาของผู้นำและกลไกรัฐรวมถึงผู้นำทางทหาร ฝ่ายปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัด ตลอดจนนักธุรกิจการค้าที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนซึ่งเป็นการทำลายอธิปไตยของไทย

 

 

 

 

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น: