การปกครองตามระบอบเสรีประชาธิปไตยกำหนดไว้ชัดเจนว่า ประชาชนพลเมืองคือผู้มีอำนาจคัดสรรผู้อาสาเข้ามาเป็นผู้ปกครองและมีสิทธิปลดผู้ปกครองที่ฉ้อฉลได้โดยทันที อำนาจอันสูงส่งที่กล่าวมานี้ช่างเป็นนามธรรมเสียเหลือเกิน เพราะในความเป็นจริงแล้วคนไทยมิเคยตระหนักในอำนาจ หน้าที่ สิทธิและเสรีภาพของตนเอง นักการเมืองไทยประเภทฉ้อฉลโกงกินและไม่หวังดีกับประชาชนจะพูดปดตลอดเวลา นักเลือกตั้งตีค่าประชาชนเป็นแค่เพียงหมากตัวเล็กๆบนกระดานแห่งอำนาจ นักเลือกตั้งจงใจละเลยและไม่เคยให้ความสำคัญกับประชาชนพลเมือง หลายต่อหลายครั้งเรามักจะได้ยินคำหวานจากนักเลือกตั้งที่กล่าวยกย่องสรรเสริญประชาชน แต่คำกล่าวแค่เพียงลมปากของนักเลือกตั้งมิได้แสดงความจริงใจว่าเขาตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของประชาชนเขาใช้ประชาชนเป็นสะพานเพื่อเหยียบแล้วก้าวไปสู่ยอดพีระมิดแห่งอำนาจและผลประโยชน์เท่านั้น และอีกหลายต่อหลายครั้งที่ประชาชนถูกแอบอ้างชื่อเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการสร้างความชอบธรรมหรือล้างรอยมลทินของนักเลือกตั้ง ดังนั้นจึงไม่ต้องประหลาดใจที่นักการเมืองจำพวกนี้จะพูดความจริงแค่เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้นเพราะเขาขาดความเข้าใจที่แท้จริงว่าประชาธิปไตยคืออะไรแต่ที่สำคัญที่สุดคือคนเช่นนี้มีเจตนาบิดเบือนความจริงเพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์สูงสุด คนไทยถูกล้างสมองโดยนักเลือกตั้งตลอดเวลาว่าเรื่องของการบ้านการเมืองการปกครองประเทศชาติและการกำหนดนโยบายสาธารณะเป็นเรื่องของนักการเมืองเท่านั้น ประชาชนมีหน้าที่แค่เพียงไปลงคะแนนเลือกตั้งคนไทยกลายเป็นคนที่จะได้รับการยกย่องว่ามีความสำคัญก็แค่เพียงช่วงก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น เมื่อพ้นวันเลือกตั้งไปแล้วอำนาจทุกอย่างก็หลุดจากมือประชาชนไปเป็นของนักเลือกตั้ง
เรื่องที่น่าเจ็บปวด น่าสังเวชเช่นนี้คนไทยผู้เป็นเจ้าของอำนาจต่างซาบซึ้งเป็นอย่างดี (แต่ทุกคนก็ไม่พูดหรือบางคนอยากจะพูดแต่สุดท้ายก็ถูกห้ามพูดห้ามเรียกร้อง ประชาชนรู้ดีว่านักการเมืองยึดอำนาจทั้งหมดไปจากตนเองเจ้าของอำนาจกลายเป็นผู้ถูกกระทำแต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือผู้กระทำย่ำยีประชาชนคือผู้ที่ประชาชนเลือกเขาไปเป็นผู้แทนนั่นเองแม้จะรู้ดีว่าตนเองถูกกระทำแต่ประชาชนก็ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ) เกิดขึ้นในเมืองไทยมาตั้งแต่บ้านเมืองของเราเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อพ.ศ. 2475 การออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งเปรียบเสมือนการยินยอมยกอำนาจอธิปไตยทั้งหมดให้กับคนเพียงหยิบมือเดียวแล้วคนเพียงน้อยนิดกลุ่มนี้ก็อ้างแบบหน้าไม่อายว่าเป็นตัวแทนของประชาชนที่ให้อำนาจตัดสินใจแทนประชาชนได้ทุกเรื่องโดยไม่เคยหันไปถามประชาชนว่าต้องการหรือไม่ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนไทยต้องตระหนักในอำนาจ-หน้าที่-สิทธิและเสรีภาพของตนเอง เราต้องบอกตัวเองและสอนลูกหลานของเราให้รู้ว่าอำนาจของประชาชนมิใช่นามธรรมแต่เป็นความจริงที่เราสัมผัสได้เราทุกคนต้องพิทักษ์รักษาอำนาจสูงสุดของประชาชนไว้
... ตัวอย่างหนึ่ง ...
.....ในวันวาน .....
เมื่อเวลา 13.30น.วันที่ 28ตุลาคม ที่รัฐสภามีการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาประเด็นกรอบเจรจาข้อตกลงชั่วคราวเขตแดนพิพาทไทย-กัมพูชาโดยมี นายชัย ชิดชอบประธานสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่ประธานที่ประชุมมีสมาชิกเข้าร่วมประชุม 399 คน ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล สส.เชียงใหม่พรรคพลังประชาชนจุดไฟป่วนสภาขอหารือให้ตรวจสอบการที่สมาชิกรัฐสภาพาบุคคลภายนอกเข้าร่วมประชุมในวันแถลงนโยบายของรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมาจนเกิดเหตุการณ์ตำรวจเข้าสลายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงระบบการรักษาความ
ปลอดภัยของรัฐสภาที่หย่อนยานมากขอให้ประธานกำชับให้ สส.และสว.เท่านั้น ที่สามารถเข้า-ออก บริเวณชั้น 2 ของอาคารรัฐสภาได้ สิ้นเสียงขอหารือเรื่องดังกล่าวทำให้น.ส.รสนา โตสิตระกูล สว.กทม.ลุกขึ้นประท้วงทันทีว่าสภาของผู้ทรงเกียรติควรพิจารณาในส่วนของตัวปัญหาการเกิดเหตุขึ้นมาตนก็ได้ร้องเรียนไปเช่นกัน ขอให้ประธานบอก สส.มาล้อมตัวตนเพราะสภาไม่ใช่ศาลเตี้ยจะตัดสินทุกอย่างด้วยตัวเองและขอเรียนว่าตนไม่เคยพาผู้ติดตามเข้ามาในห้องประชุมสภาแม้แต่ครั้งเดียวแต่ในเหตุการณ์วันนั้นเมื่อตนถูกส.ส.รัฐบาลรุมล้อมผู้ติดตามของตนจึงเข้ามาภายในห้องประชุม สส.พลังประชาชนรุมกินโต๊ะโห่ร้องด้วยความไม่พอใจจากบริเวณที่นั่งของสส.พรรคพลังประชาชน ประธานในที่ประชุมพยายามไกล่เกลี่ยนายชัยถึงกับวิงวอนว่า"ขอความกรุณาสงสารผมที่นั่งอยู่ที่นี้บ้างเถิด"
นายวรินทร์ เทียมจรัสสว.สรรหากล่าวว่าตนได้ยินเสียงคุกคามมาจากส.ส.ที่นั่งด้านหลังว่า เดี๋ยวจะมาเตะ สว. ซึ่งนส.รสนาได้ยืนยันคำพูดของนายวรินทร์ คนที่พูดคือนายการุณ โหสกุลสส.กทม.พรรคพลังประชาชน ปรากฏว่าบรรยากาศเริ่มเข้มข้นมากยิ่งขึ้น นายนิพนธ์ วิสิษฐยุทธศาสตร์ ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ลุกประท้วงว่าการพูดในสภามีการถ่ายทอดเสียงออกไปถ้ามีการพูดว่าเตะกันในสภาจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียมากซึ่งสภาต้องเป็นแบบอย่างให้กับการประชุมต้องเอาความจริงมาพูดกัน
นายสมชาย แสวงการสว.สรรหากล่าวยืนยันว่าตนนั่งอยู่ข้าง นส.รสนาได้ยินและเห็นพฤติกรรมของ ส.ส.คนดังกล่าวขอให้ประธานชี้แจงข้อเท็จจริงด้วยเพราะ ส.ว.จำนวน 150 คนเป็นผู้มีเกียรติและยืนยันว่านายการุณเป็นคนพูด
นายอดุลย์ วันไชยธนวงศ์สส.แม่ฮ่องสอนพรรคพลังประชาชนกล่าวว่า ไม่มีใครคุกคามสว.ในที่นี้ คุณรสนาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ใครจะทำอะไรได้ สามารถเดินเข้า-ออกสภาได้สบายๆในขณะที่พวกเราจะเข้า-ออกสภาก็ไม่ได้จึงต้องมีการสลายการชุมนุม
นายการุณชี้แจงว่าเนื่องจากมีผู้อภิปรายในการประชุมวันดังกล่าวแต่น.ส.รสนาลุกขึ้นมาพูดทะลุกลางปล้อง ตนจึงได้พูดกับเพื่อน สส.ที่นั่งอยู่ข้างๆว่ามายุ่งอะไรด้วย ตนพูดคุยกันในกลุ่มไม่ทราบว่าน.ส.รสนา แว่วเสียงหรือกลัวเงาตัวเองหรือเปล่า
นายสมชาย สว.สรรหาลุกขึ้นย้ำว่า"ผมได้ยินจริงๆว่า นายการุณพูดเดี๋ยวจะเตะสว.และสว.ที่ถูกคุกคามก็เป็นผู้หญิงด้วย"พร้อมทั้งหันมาถามเพื่อนสมาชิกสว.ที่นั่งอยู่ใกล้กันว่าใครได้ยินบ้างปรากฎว่ากลุ่ม สว.ที่นั่งตรงนั้นสว.นำโดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน สว.สรรหาได้ยกมือขึ้นพร้อมกับเพื่อนสว.อีกหลายสิบคน
นายอดุลย์ ส.ส.แม่ฮ่องสอนได้พยายามชี้แจงแทนนายการุณ ว่านายการุณพูดจริง แต่พูดว่าทำไมสว.ต้องมาพูดพาดพิงแบบนี้น่าเตะจริงๆ
นายสมชาย สว.สรรหาได้ตะโกนด้วยเสียงดังว่า สภาไม่ปลอดภัยแล้ว
นายชัยพูดตัดบทด้วยความไม่พอใจว่า"ขอให้ที่ประชุมยุติในเรื่องนี้คุณการุณก็เลิกใจร้อนได้แล้วเพราะถ้าคุณใจร้อนแบบนี้ สภาคงให้คุณร่วมประชุมด้วยต่อไปไม่ได้"
ด้านนายการุณ พยายามขอชี้แจงอีกครั้งว่าถ้าไม่ติดว่าประธานวิปฝ่ายค้านพูดพาดพิงให้ประธานตำหนิตน เมื่อถูกพาดพิงตนก็มีสิทธิพูด เพราะตนพูดอยู่ในหมู่เพื่อนพ้องแต่มาถูกก้าวล่วง
นายชัย เกรงสถานการณ์จะบานปลายได้ขอให้นายการุณนั่งลงพร้อมกับกล่าวว่าสภาจะมาเตะกันไม่ได้ ทำไมทำเรื่องเล็กๆให้เป็นเรื่องใหญ่จากนั้นเหตุการณ์จึงสงบลง
สำหรับนายการุณนั้นก่อนหน้านี้เคยสร้างความอื้อฉาวหลายคดีเกี่ยวกับการใช้กำลังความรุนแรงเข้าตัดสินปัญหาโดยเฉพาะเคยมีเรื่องโดดถีบนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์สส.สัดส่วนพรรคประชาธปัตย์หลังจากไม่พอใจที่นายสมเกียรติไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯจนมีการแจ้งความดำเนินคดีกันมาแล้ว กลุ่มชมรมสมาชิกรัฐสภาสตรีไทยนำโดย นส.ทัศนา บุญทองรองประธานวุฒิสภาคนที่สองนำสส.และสว.หญิงจำนวนกว่า 12 คนร่วมแถลงข่าวประกาศเจตนารมณ์ยุติความรุนแรงทุกรูปแบบทั้งคำพูดและการกระทำโดยขอให้ทุกฝ่ายเคารพและตระหนักในสิทธิของตนเองและผู้อื่นพร้อมไม่ลบหลู่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทุกรูปแบบ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเสียเวลาถกเถียงกันในเรื่องนี้นานประมาณ 30นาทีก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมกรอบการเจราข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทยบริเวณเขาพระวิหาร
นายไชยยศ จิรเมธากร ส.ส.อุดรธานี โฆษกพรรคเพื่อแผ่นดิน(พด.) พร้อมด้วย สส.กลุ่มวังพญานาคร่วมแถลงข่าวว่านายประสงค์ โฆษิตานนท์เป็น รมช. มหาดไทย (มท.3) ได้ขอลาออกจากจำตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคมนี้เป็นต้นไปโดยให้เหตุผลว่ามีปัญหาด้านสุขภาพไม่สามารถปฏิบัติราชการได้เต็มประสิทธิภาพ และได้แสดงใบลาออกจากตำแหน่งของนายประสงค์ที่เขียนด้วยลายมือด้วยโดยลงวันที่ 28 ตุลาคม นพ.อลงกต กล่าวเสริมว่าหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคได้ประชุมและมีมติเสนอชื่อนายไชยยศเป็นรมช.มหาดไทยแทนนายประสงค์ซึ่งไม่ได้ถูกกดดันจากพรรคแต่อย่างใดทั้งนี้หัวหน้าพรรคได้ทำหนังสือเสนอชื่อตนขึ้นเป็นรมช.มหาดไทยแล้ว
นายประสงค์ให้สัมภาษณ์ความจริงจากปากเรื่องการลาออกจากตำแหน่ง ยังสับสนกับข่าวที่เกิดขึ้นเพราะตนไม่มีปัญหาด้านสุขภาพเลยและไม่เคยคิดจะลาออกจากตำแหน่ง เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าถูกนายไชยยศตีหัวเข้าบ้านใช่หรือไม่ รมช. มหาดไทยยอมรับทันทีว่าใช่
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงผลประชุมครม.ว่าอนุมัติแต่งตั้งนายเฉลิมชัย มหากิจศิริเป็นรองเลขาธิการนายกฯฝ่ายการเมืองโดยมีตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกฯพร้อมอนุมัติแต่งตั้งนายวัน อยู่บำรุงเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
จากเรื่องเล่าข้างบน เราพบว่า ...
- กิริยาส่อสถุล
- พวกมากลากไป
- อันธพาล กร่างทั้ง ใน และ นอก สภา
- ยื้อแย้ง วิ่งราวตำแหน่งแห่งหนกันเอง
- พวกกันปันเก้าอี้ให้ พวกอื่นยืนกันไปเหอะ
- เจ้าของอำนาจที่แท้จริงได้แต่นั่งดูความริยำตำบอนที่ปรากฏเป็นเกียรติ เป็นศรีแก่รัฐสภาของผู้ทรงเกือกกันต่อไป
เฮ้อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น