16 กรกฎาคม 2552

อย่าให้รัฐบาลกลายเป็นวิกฤติของประเทศชาติ


ขนาดตายยังไม่กลัว บาดเจ็บพิการยังไม่หวั่นแล้วไอ้แค่การยัดข้อหาอันไม่เป็นธรรมของตำรวจจึงไม่ได้สร้างความประหวั่นพรั่งพรึงใดๆให้กับผู้ถูกกล่าวหาในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่วันนี้กำลังถูกอำนาจอธรรมยัดเยียดความผิดให้กลายเป็นผู้ก่อการร้าย ผู้ถูกยัดข้อหาก่อการร้ายทั้งหมดต่างยืนยันพร้อมจะไปรับทราบข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนโดยพร้อมเพรียงกันเพราะบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงเป็นขบวนการก่อการรัก(ชาติ) ซึ่งอาจจะกระทำขัดใจคนโกงชาติ อาจไม่ถูกจริตคนทั่วไปในบางเรื่องหรืออาจจะผิดกฎจราจรบ้างแต่ไม่ใช่ขบวนการก่อการร้ายต่อชาติบ้านเมืองอย่างแน่นอน ที่สำคัญคดีนี้ก็มีความเป็นไปที่น่าสงสัยว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดกั้นการเติบโตของเมล็ดพันธุ์การต่อสู้ของการเมืองภาคประชาชนและพรรคการเมืองใหม่ที่จะกลายเป็นพรรคการเมืองคู่แข่งของพรรคแกนนำรัฐบาลเวลานี้นั่นก็คือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะกว่าคดีทั้งหลายจะชัดเจนนั่นหมายถึงการเลือกตั้งคงจะมาเยือนไปแล้ว

ถ้าพันธมิตรซึ่งไปนั่งชุมนุมกันอย่างสงบที่สนามบินสุวรรณภูมิถ่ายรูปคู่กับตำรวจไว้เป็นที่ระลึกบ้าง ปูเสื่อนั่งทานหมูสะเต๊ะกับขนมปังบ้าง แล้วถูกดำเนินคดีฐานก่อการร้ายมันก็น่าคิดว่าขบวนการเสื้อแดงที่ปฏิบัติการอย่างเป็นขบวนการโดยเฉพาะในช่วงสงกรานต์ มีการสั่งการจากเวทีและนายใหญ่ที่อยู่ต่างประเทศ ทั้งไล่ล่าตัวนายกฯ บุกยึดโรงแรมที่ประชุมอาเซียน ล้มการประชุมผู้นำนานาชาติที่พัทยา ปิดถนนอนุสาวรีย์ชัยและอีกหลายจุด ไล่ทุบรถและพยายามฆ่านายกฯ เลขาธิการนายกฯ (นิพนธ์ พร้อมพันธุ์) ที่กระทรวงมหาดไทย ยึดรถแก๊สออกมาข่มขู่ว่าจะระเบิดในที่ชุมชนแฟลตดินแดงยึดรถเมล์มาเผาทำลาย ขับพุ่งชนเจ้าหน้าที่รัฐ บุกทุบและเผาธนาคาร ฆ่าชาวบ้านนางเลิ้ง ยิงมัสยิด ฯลฯ มันน่าคิดว่าขบวนการเสื้อแดงของทักษิณจะต้องข้อหาอะไร?

เมื่อนักการเมืองไม่คิดจะสร้างบรรทัดฐานการเมืองใหม่ก็อย่าไปฝันว่าตำรวจซึ่งเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรมจะมีมาตฐานในการทำคดี เมื่อหัวยังส่ายอยู่จะห้ามไม่ให้หางกระดิกได้อย่างไร

แต่ก็ใช่ว่าจะละลายลบเลือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ว่าถ้าไม่มีการต่อสู้ของพันธมิตรฯ 193 วันก็ไม่มีรัฐบาลอภิสิทธิ์ แม้จะมีการประดิษฐ์วาทกรรม “ไม่มีเขา (เนวิน) ก็ไม่มีเรา” ขึ้นมากลบเกลื่อนก็ตาม -- เซ็งไปบ่นไป..โดย สำราญ รอดเพชร 14 กรกฎาคม 2552

ความมั่นคงนั้นมันเป็นเรื่องของแนวคิดทางยุทธศาสตร์ที่จะต้องอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในระดับรู้ลึกรู้แจ้งด้วยวิสัยทัศน์กว้างไกล นายกรัฐมนตรีกลับตัดสินใจโยนภาระไปให้อดีตกำนันดูแลรับผิดชอบแบบเบ็ดเสร็จ เมื่อวันจันทร์ 13/7 คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการชุมนุมทางการเมืองที่มีนายสมศักดิ์ บุญทองอดีตรองอัยการสูงสุดเป็นประธานได้ประชุมที่รัฐสภาเพื่อรับฟังผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการฯทั้ง 7 คณะ โดยเบื้องต้นมี 3 คณะที่สรุปข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นคือเหตุการณ์ที่เมืองพัทยา บริเวณมหาดไทยและศาลรัฐธรรมนูญ ศึกษาข้อกฎหมายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องส่วนอีก 4 คณะที่ยังไม่เสนอรายงานนั้นนายสมศักดิ์ได้เน้นย้ำให้ทุกคณะอนุฯ ไม่เกินวันที่ 30 กรกฎาคม

เหตุที่เกิดความผิดพลาดที่เมืองพัทยาขึ้นนั้นเกิดจากตำรวจที่ยังคงรักแม้วไม่รับคำสั่งใดๆใส่เกียร์ว่างทำให้งานด้านการข่าวของรัฐบาลอาทิสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) และครม.มีความบกพร่องอย่างมาก การเตรียมการไม่ครบถ้วนและไม่วางแผนการปฏิบัติอย่างจริงจัง ขาดประสิทธิภาพและขาดการสื่อสารกับผู้ปฏิบัติทุกระดับโดยเฉพาะตำรวจ การปะทะระหว่างคนเสื้อแดงกับเสื้อน้ำเงินไม่ใช่สาเหตุของการล้มการประชุมสุดยอดอาเซียน ส่วนเหตุการณ์ทุบรถนายกฯก่อนหน้านั้นมีคนโยงใยและตั้งใจให้เกิดขึ้น รัฐบาลควรทำเรื่องนี้ให้กระจ่างและดำเนินคดีทางอาญาและทางวินัยกับผู้ที่กระทำความผิดอย่างเร่งด่วน การบุกรุกเข้าไปโรงแรมมีเป้าประสงค์จับกุมนายกรัฐมนตรีและผู้นำประเทศต่างๆ ซึ่งเข้าข่ายการประทุษร้ายต่อเสรีภาพของประชุมแห่งรัฐต่างประเทศมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปีและถ้าเกิดเหตุร้ายผู้กระทำมีโทษถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ถ้าทำเช่นนั้นอีกอาจถึงประหารชีวิต ส่วนการที่มีข้อสังเกตในบริเวณมหาดไทยเกี่ยวกับประเด็นที่ว่านายกฯอยู่ในรถหรือไม่ คนตั้งประเด็นคงหลงผิดอย่างร้ายแรงเพราะไม่ใช่ว่าการไม่คิดว่ามีผู้ที่ตนต้องการไล่ล่าอยู่ในรถในบริเวณมหาดไทยแล้วไม่เป็นการพยายามฆ่า ดูจากการไล่ทุบรถและพยายามฆ่าคุณนิพนธ์ พร้อมพันธุ์เลขาธิการนายกฯก็คงได้ภาพฉายชัด

แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงมีความต้องการตั้งแต่ต้นที่จะอาศัยจังหวะการประชุมสำคัญเช่นนี้เพื่อก่อให้เกิดการจลาจลจนนำไปสู่การลาออกของนายกฯ การประกาศยุบสภาหรือนำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารเพียงแต่ไม่มีอะไรที่เดินไปอย่างที่ทั้งวรนุชตัวพ่อและตัวลูกต้องการเอาสักนิด พอผลการศึกษาปรากฏขึ้นโหวงเหวง โตจิราการรักตัวกลัวตายร้องเลยทันทีว่าใช้แต่ข้อมูลจากสื่อมวลชนในประเทศและจากข้าราชการที่ไม่เป็นกลาง แกนนำม็อบเสื้อแดงที่ใส่แดงทั้งชุดทำตาถลนแบบคางคกโดนรถเหยียบตาปลิ้นพูดดังฟังชัดมีแต่อนุกรรมการหน้าโง่ชุดนี้เท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องว่าพวกมันหลอกลวงชาวบ้านเสื้อแดงไปเท่าไรต่อเท่าไรแล้วดังนั้นหากสรุปเรื่องพวกนี้ให้สาธารณชนรับรู้เป็นมีเรื่อง

คดีทนายสมชาย นีละไพจิตรอันถือเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญในการสร้างเงื่อนไขจุดประกายไฟใต้ คดีบุกสังหารหมู่ชาวไทยมุสลิมในมัศยิดเจาะไอร้อง คดีลอบสังหารบุคคลระดับที่ปรึกษาองค์พระมหากษัตริย์ คดียิงที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญ คดีลอบวางระเบิดซุ้มงานพระราชพิธี คดีการสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 คดียิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่ฝูงชนในทำเนียบรัฐบาลและท่าอากาศยานดอนเมือง... เกมยื้อซื้อเวลาเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในรัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเวลาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ฯขึ้นมาเบรกเกม รวมทั้งความพยายามลอบสังหารสนธิ ลิ้มทองกุลเมื่อเช้าตรู่วันที่ 17 เมษายนที่หน้าวัดเอี่ยมวรนุช ใกล้แยกบางขุนพรหมด้วยอาวุธสงครามนานาชนิดแต่เป้าหมายกลับรอดตายในช่วงเวลาที่กำลังมีการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินมีทหารตำรวจเต็มเมืองและจุดเกิดเหตุก็อยู่กลางกรุงคนลงมือย่อมไม่ธรรมดาแน่ ไม่ว่าสนธิ ลิ้มจะน่ารัก น่าหมั่นใส้ในสายตาใครต่อใครก็ตามแต่มันไม่ใช่คดีอาชญากรรมธรรมดาๆต้องถือเป็นคดีความมั่นคงด้วย ฯลฯ

นอกจากกรณีดังกล่าว การสวนหมัดต่างกรรมต่างวาระกันของประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยการยื้อการอนุมัติโครงการรถเมล์อเวจีวี 4 พันคันที่ครม.ดึงเกมไว้ก่อนที่ผลักไปให้บอร์ดสภาพัฒน์ฯ ช่วยดูต่อลดแรงปะทะจากพรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทย ในขณะที่พรรคร่วมอื่นที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงจากพรรคแกนนำรัฐบาล การขายข้าว ขายข้าวโพดฯลฯก็กลายเป็นภาพปัญหาความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาลเป็นปัญหาความมั่นคงที่เกิดขึ้นในรัฐบาล เมื่อรวมกับปัญหาที่ดำรงอยู่และยังคุกรุ่นในไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ชายแดนไทย-พม่า ชายแดนไทย-มาเลเซีย ทำให้รัฐบาลชุดปัจจุบันมีงานหนักกว่ารัฐบาลในภาวะปกติบนความคาดหวังที่สูงกว่ารัฐบาลในภาวะปกติ

อันที่จริงแค่กรณีความล้มเหลวในการจัดประชุมอาเซียนที่พัทยาเพียงเรื่องเดียวก็น่าจะพอแล้วที่จะต้องตัดสินใจยกเครื่องระบบความมั่นคงใหม่หมด อย่างไรก็ตามระหว่างที่พลตำรวจเอกธานีต้องรับผิดชอบดูแลคดีเด็ดบ่นว่าเจอตอ เจอหนอนบ่อนไส้ไปจนกระทั่งเจอกับตำรวจที่ไม่มีวิญญาณความเป็นตำรวจ ฯลฯ สะท้อนได้ดีว่ากระบวนการยุติธรรมขั้นต้นนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ปัญหามากมาย ปล่อยเลยตามเลยไม่ได้โดยเด็ดขาด การโยนภาระมอบหมายไปให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติเป็นผู้ดูแลแล้วไม่ต้องทำอะไรต่อไปอีกเลยเพียงเพื่อไม่ให้ถูกกล่าวหาว่าแทรกแซงคงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ความยุติธรรมปรากฏขึ้นจริง รัฐบาลน่าจะต้องทำอะไรกับกระบวนการยุติธรรมขั้นต้นนี้อย่างไรและจะจัดการกับยาสามัญประจำบ้านที่เคยเป็นกำนันเก่าอย่างไร ไม่ให้การงานต่างๆเป็นคอขวดกระจุกที่กำนัน ประชาธิปัตย์เหมือนลิงแก้แหอยู่ในภาวะยักตื้นติดงึกยักลึกติดกักกับการสร้างความกระจ่างของปมปัญหาในสังคม อย่าให้รัฐบาลกลายเป็นวิกฤติของประเทศชาติไปด้วย

ไม่มีความคิดเห็น: