05 พฤศจิกายน 2551

กับดักของ PPP / .Poor, Pressure and Prefer not tyran.

หลังจากมีมือปาระเบิดเข้าใส่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปักหลักอยู่ในทำเนียบรัฐบาลหลายต่อหลายครั้ง แต่ตำรวจไม่สามารถจับกุมใครได้พันธมิตรฯจึงนำป้ายมาติดประกาศว่าเป็นเขตห้ามปาระเบิด


"คนผู้หนึ่งที่แท้เป็นคนเยี่ยงไร


ที่แท้สมควรประพฤติตนอย่างไร


ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวเอง"


(โกวเล้ง จากซาเสียวเอี้ย)




---------------------------------------------------------------------------------


ความเคลื่อนไหวของฝ่ายรัฐบาลและพรรคพลังประชาชนที่จะเกิดขึ้นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการหาช่องทางช่วยเหลือน.ท.ช.ทักษิณทั้งทางตรงและทางอ้อม ลำดับแรกคือการหาทางลดแรงกดดันจากการเมือง
นอกสภาจากกลุ่มพันธมิตรฯและกลุ่มต่างๆให้ได้มากที่สุด ลำดับต่อมาหากย้อนกลับไปในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดส.ส.พรรคพลังประชาชนก็หาเสียงด้วยการชูกระแสว่าจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อช่วยน.ท.ช.ทักษิณจน
สำเร็จมาแล้ว แต่ก็ยังปรากฏว่าในสังคมมีความคิดแตกต่างกันบ้างซึ่งฝ่ายพันธมิตรฯเองก็ได้ประเมินเกมและไม่ดึงดันอย่างสุดโต่งซึ่งกระแสต่อต้านจะเริ่มรุนแรงอีกครั้งเมื่อมีความชัดเจนว่ารัฐบาลจะเสนอให้มีการ
แก้ไขในประเด็นใดกันทั้งกรณีที่มาของส.ส.ร.3 ชอบธรรมมากน้อยแค่ไหน ในขณะที่สังคมเรียกร้อง"สานเสวนาเพื่อสันติ"ได้รับการตอบรับกล่าวขานไปทั่วก็เพราะหลักการประชาธิปไตยยอมรับความเห็นต่างและใช้
ความเห็นต่างในทาง "กำกับดูแล" และ "ตรวจสอบ" ความคิดกันโดยการเสวนาบน "ความจริง" แทนที่จะเป็นการปล่อยหรือกระพือ "ความแตกต่าง" จนเป็น "ความแตกแยก" ด้วย "ความเท็จ" สำคัญที่จะต้อง "สาน
เสวนา" ให้โปร่งใสให้ผู้คนเห็นมากมายเพราะถ้าไม่ "สานเสวนา"ให้โปร่งใสให้เป็นที่รู้กัน ด้วยผู้ที่เสวนาย่อมต้องพูดด้วยกันกับผู้ที่เห็นต่างไม่ใช่พูดคนเดียวเพราะเป็นที่รู้กันว่าคนเราอาจ "โกหก" ได้ แต่ยากที่จะโกหกต่อหน้า "คนรู้ทัน" ลำดับต่อมาคือการเคลื่อนไหวของส.ส.พรรคพลังประชาชนตั้งแต่หลังวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมาโดยประสานกับเครือข่ายอย่างนปก.และแนวร่วมต่างๆเพื่อการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับน.ท.ช.ทักษิณที่ไม่เพียงคำปราศรัยของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้อื้อฉาวเท่านั้นที่เป็นการดึงฟ้าลงต่ำแต่ในการชุมนุมแสดงพลังม็อบเสื้อแดงครั้งนี้ยังมีการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อประชาชนที่มาร่วมชุมนุมเพื่อรวบรวมเตรียมยื่นถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษแก่น.ท.ช.ทักษิณและนายสมัครในคดีหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ การเตรียมถวายฎีกาเพื่อขอให้พระราชทานอภัยโทษแก่น.ท.ช.ทักษิณนอกจากจะเป็นการทำให้เกิดความสับสนว่าปัญหาทางการเมืองถูกกำหนดโดยสถาบันอันเป็นที่สักการะของปวงชนชาวไทยแล้วยังเป็นการทำให้ระคายเบื้องพระยุคลบาทและทำให้ต้องหนักพระราชหฤทัยที่ต้องถูกดึงเข้ามาสู่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองโดยไม่จำเป็น ยิ่งกรณีของนายสมัครก็ยิ่งไม่บังควรอย่างยิ่งที่จะทำให้ระคายเบื้องพระยุคลบาทเพราะเป็นคดีความส่วนตัว




โดยเนื้อแท้แล้วนั้นราชประชาสมาสัยที่แท้จริงย่อมไม่ใช่เรื่องที่นักโทษหนีคุกไปปลุกระดมมวลชนขึ้นมากดดันพระราชอำนาจเพื่อมุ่งหวังให้ตนเองรอดพ้นความผิด ไม่ใช่เรื่องที่นักการเมืองทรราชจะร่วมกับขบวนการ
ของคณะบุคคลที่มีประวัติโดดเด่นในการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมาเคลื่อนไหวต่อรองทางการเมืองเพื่อล้มล้างอำนาจตุลาการในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การลงโทษนักการเมืองผู้กระทำผิดตามคำพิพากษาของศาลตลอดจนการใช้อำนาจตุลาการในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่างหากเล่าคือราชประชาสมาสัย ! ราชประชาสมาสัยเป็นเรื่องของพระราชอำนาจในการที่จะปกป้องคุ้มครองประชาชนร่วมกับประชาชนและอำนวยประโยชน์แก่ส่วนรวม ราชประชาสมาสัยสอดผสานอยู่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งตรงกันข้ามกับระบอบทักษิณที่เป็นปฏิปักษ์ร้ายแรงโดยตรงต่อราชประชาสมาสัย !



ผู้ที่อยู่ตรงกลางและกลุ่มต้องการศานติเสวนาควรจะรู้ไว้ว่าเป้าหมายของท่านคือยุติความรุนแรงนั้นอาจจะทำได้หากเป็นการห้ามเด็กประถมตีกันแต่สำหรับการเมืองไทยเวลานี้จะเป็นแค่การพยายามซุกขยะไว้ไต้พรม
เพราะเงื่อนไขของความรุนแรงนั้นเป็นระดับโครงสร้างเพราะเงื่อนไขสำคัญ อาทิ การไม่ยอมรับการจำกัดอำนาจของฝ่ายการเมืองให้อยู่ในกรอบ, การไม่ยอมรับเงื่อนไขธรรมาภิบาล, การไม่ยอมรับมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองใหม่ให้เท่ากับอารยะประเทศ, การยอมไม่รับว่าจะต้องมีความรับผิดชอบทางการเมือง, โครงสร้างการเมืองแบบใช้เงินเพื่อเข้าสู่อำนาจโดยไม่ตั้งอยู่บนฐานประชาชนก็ยังคงอยู่, การบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม, การไม่ยอมรับสิทธิเสรีภาพพื้นที่ฐานของประชาชนอย่างแท้จริง, การไม่เข้าใจเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน, การไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ฯลฯ ยังคงดำรงอยู่




รัฐบาลโดยพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมตกลงร่วมกันที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 291 เพื่อตั้ง ส.ส.ร.3 ในการประชุมครม.เบื้องต้นได้กำหนดเงื่อนเวลาการยกร่างรัฐธรรมนูญของ ส.ส.ร.3 ที่เบื้องต้น
กำหนดไว้ถึง 240 วัน ประเด็นคือที่ผ่านมาพยายามจะเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขข้อกำหนดบางอย่างก่อนจะต้องถูกยุบพรรครวมถึงการรับรองการกระทำของคปค. ในช่วงรัฐประหาร แต่ตอนนี้หลายๆอย่างดู
เหมือนจะไม่ทันแล้ว การตั้งส.ส.ร. จึงกลายเป็นการทอดเวลารัฐบาลให้นานออกไปซึ่งนอกจากจะสามารถแก้บทบัญญัติให้เป็นที่พอใจของตนเองแล้วอาจถูกมองว่ารัฐบาลพยายามซื้อเวลาต่ออายุให้ตนเอง เนื่องจากตอนนี้หลายฝ่ายต่างต่อต้านรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน กระบวนการลดกระแสรวมถึงการเบี่ยงเบนประเด็นจึงถูกงัดมาใช้ทุกวิถีทาง





ยุทธศาสตร์หลักของพรรคพลังประชาชนเวลานี้เป้าหมายปลายทางอยู่ที่ป้องปรามการรัฐประหารลากสถานการณ์ไปถึงยุบสภาเลือกตั้งใหม่ให้ได้เพราะปฏิทินการเมืองกำหนดวันชี้ชะตาตัดสินยุบพรรคพลังประชาชนใกล้เข้ามาทุกขณะ ระหว่างทาง หากสามารถแก้รัฐธรรมนูญได้ถือเป็นบำเหน็จติดมือ ละหากจูงให้สังคมยอมรับแนวทาง สสร. 3 ได้จะยิ่งเป็นผลดีเพราะสามารถลากสถานการณ์ให้ไกลออกออกอีกไปอย่างน้อย 5 เดือนแต่ที่สุดแล้วเป้าหมายขั้นต่ำเบื้องต้นก็คือการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ในปลายปีนี้ ! โดยสร้างการเคลื่อนไหวของมวลชนเสื้อแดงภายใต้การนำของกุนซือสายเหนือทั้งแผงระยะสองสัปดาห์มานี้ อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวทั้งสิ้นมีเป้าหมายเพื่อ




1. ตัดกำลัง/สกัดพลังของพันธมิตรประชาชนฯ รบกวนการสื่อสาร ASTV 97.75MHz 98.25MHz 99.25MHz ในก.ท.ม.ที่เป็นอาวุธหลัก ประกาศสงครามประชาชนที่แม้จะไม่มีสงครามเต็มรูปแต่ก็เริ่มปะทะประปรายเพราะรู้ว่าใช้มาตรการอื่นไม่เป็นผลต้องใช้ลูกตอบโต้แรงเพื่อที่จะหยุดหรือทำให้ชะงัก คนเสื้อแดงเหิมเกริมขนาดไปตบหน้าคนใส่เสื้อเหลืองเสียเฉยๆ ที่ตลาดสันป่าข่อย เชียงใหม่, ใช้วิธีอันธพาลถึงขนาดยกพวกไปยึดมือตบแม่ค้าที่ตลาดวโรรสแสดงท่าทีพร้อมรบแบบตาต่อตาให้สังคมรับรู้-กังวล – และสุดท้ายคือหน่วยรบจรยุทธ์ใช้กำลังน้อยแต่สร้างความเสียหายสูงไปรบกวนการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล




2. เสริมแนวรบด้านการสื่อสารเพราะที่ผ่านมาเป็นจุดบอดมีการลงทุนขยายเครือข่ายวิทยุชุมชนเสริมความเข้มข้นของรายการจากเดิมปล่อยดี.เจ.บ้านนอกให้พ่นน้ำลายแตกฟองก็เปลี่ยนมาใช้เทปเสียงรายการ
ความจริงวันนี้และสดจากคลื่น 105 ช่วงนายปลื้ม เทวกุล จัดรายการ ฯลฯ




3. รายการความจริงวันนี้เป็นฮับของการเคลื่อนไหวมวลชน การระดมคนแต่ละครั้งมีความหมายต่อเนื่องไปถึงแกนนำหัวคะแนนในพื้นที่ช่วงเลือกตั้งเป็นช่องทางหาเสียงล่วงหน้าก่อนมีพระราชกฤษฎีกายุบสภา โดยเฉพาะการปล่อยอาวุธหนักการโฟนอินของน.ท.ช.ทักษิณก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ เพื่อฟื้นขวัญกำลังใจของมวลชนที่หดหู่อึดอัดที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้รายทางมาทุกสมรภูมิ 4. เกมทางการเมือง ประกาศสมานฉันท์ยุติความรุนแรง / เสนอแนวทาง สสร.3 / ซื้อเวลาด้วยเกมการเมืองวันต่อวัน เช่น ประกาศหนุนแนวทางของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองชิงความได้เปรียบ ฯลฯ พร้อมกันนั้นก็สร้างความได้เปรียบผ่านช่องทางระบบราชการโยกย้ายข้าราชการใกล้ชิดเข้าพื้นที่ปูฐานรองรับการเลือกตั้ง รวมไปถึงโครงการใหญ่เพื่อสะสมทุน ซึ่งแท้จริงแล้วพรรคพลังประชาชนหาได้มั่นใจเต็มที่ในการเลือกตั้งรอบต่อไปเลยใครที่บอกว่าเลือกเมื่อไหร่ก็ชนะอีกเมื่อนั้นเป็นพวกที่หลงอยู่กับความสำเร็จในอดีต




5. ขณะเดียวกันสามเกลอหัวขวดกล้าออกมาดับเครื่องชนท้าทายกองทัพแบบไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีสะท้อนให้เห็นถึงความหน่อมแน้มของผู้นำกองทัพยุคนี้ที่ไร้บารมีและความเด็ดขาดเช่นในอดีต เข้าทำนอง "แข็งนอกอ่อนใน" คือชอบออกมาฮึ่มแล้วก็เงียบเป็นเป่าสาก เหมือนก่อนหน้านี้ที่ผู้นำเหล่าทัพนั่งเรียงหน้าออกทีวี.แถลงจุดยืนกดดันให้รัฐบาลทรราชหุ่นเชิดภายใต้การนำของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบต่อโศกนาฏกรรมเลือด 7 ตุลาทมิฬ แต่ นายสมชาย ซึ่งเชื่อว่าได้รับคำสั่งจาก "นายใหญ่ผู้นำตัวจริง" กลับดื้อตาใสเมินท่าทีกดดันของกองทัพอย่างไม่แยใสสนใจ ซึ่งจนบัดนี้กองทัพก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับรัฐบาลทรราชหุ่นเชิดชุดนี้ได้ แต่ที่ต้องจับตาต่อไปด้วยความระทึกก็คือข่าวที่กำลังลือสะพัดว่ามีความพยายามที่จะปลด พล.อ.อนุพงษ์ พ้นเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมทั้งจัดระเบียบกองทัพใหม่เพื่อปูทางไปสู่การฟื้นระบอบทักษิณได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามเดินเกมเชิงรุกของระบอบทักษิณที่หมดความยำเกรงกองทัพแล้วอย่างสิ้นเชิง เพราะเชื่อว่าตัวเองมีกองทัพเสื้อแดงที่ทรงประสิทธิภาพเหนือกว่า ขณะเดียวกันก็เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าศักดิ์ศรีและความเข็มแข็งของกองทัพยุคนี้เข้าลักษณะ"แข็งนอกแต่อ่อนใน"ที่นับวันมีแต่จะถูกท้าทายรุกไล่มากขึ้นทุกขณะ



อ่านเพิ่มเติมบทความ เจ้าหน้าที่หายหัวไปไหนหมด (วารินทร์ พูนศิริวงศ์)



หรือแท้ที่จริงแล้วความเคลื่อนไหวของระบอบทักษิณจะเกิดขึ้นและจบลงในเวลาอันสั้นเพียงแค่หวังเอาใจ"นายใหญ่"เท่านั้น...


---------------------------------------------------------------------------------


มีอยู่วันหนึ่งก็มี ท่านทักษิณ ท่านชวลิต และ ท่านเนวิน ได้นั่งเครื่องบินไปดูสถานการณ์ต่างจังหวัด ชั้น business class ซึ่งจะติดอยู่กับห้องบังคับเครื่องบินแล้วท่านเนวินก็พูดขึ้นมา




"เดี๋ยวผมจะโยนแบงค์พันลงไปหนึ่งใบคนที่เก็บได้จะได้มีความสุข"




ท่านชวลิตก็เลยจะเกทับแล้วบอกว่า




"เดี๋ยวผมจะโยนแบงค์ห้าร้อยลงไปสองใบคนไทยจะได้มีความสุขสองคน"




ท่านทักษิณไม่น้อยหน้าแล้วพูดทันทีว่า"เดี๋ยวผมจะโยนแบงค์ร้อยลงไปสิบใบคนไทยจะได้มีความสุขถึงสิบคน"




ทันใดนั้นก็มีเสียงแว่วมาจากห้องบังคับเครื่องบิน......




"เดี๋ยวกูจะโยน....สามตัวลงไป คนไทยทั้งประเทศจะได้มีความสุข"


---------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น: