08 พฤศจิกายน 2551

มั่นคงของชาติ / Thailand Security (No english version)

คนใดใช้ชื่อไทยอยู่ กายก็ดูเหมือนไทยด้วยกัน
ได้อาศัยโพธิทองแผ่นดินของราชันย์ แต่ใจมันยังเฝ้าคิดทำลาย
คนใดเห็นไทยเป็นทาส ดูถูกชาติเชื้อชนถิ่นไทย
แต่ยังฝังทำกินกอบโกยสินไทยไป เหยียดคนไทยเช่นทาสของมัน
คนใดยุยงปลุกปั่น ไทยด้วยกันหวังให้แตกกระจาย
ปลุกระดมมวลชนให้สับสนวุ่นวาย เพื่อคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง

*=*=*หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน *=*=*

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

บทสรุปอย่างง่ายในการจัดงานที่สนามกีฬาราชมังคลาฯที่ใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมหาศาลนั้นก็เพื่อ       
       1. สร้างภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศว่ามวลชนยังรักในตัวนักโทษหนีอาญาแผ่นดินคนนี้อยู่       
       2. แก้ตัวสร้างภาพใส่ร้ายกระบวนการยุติธรรม เสมือนว่าตัวเองเป็นคนดีที่ถูกรังแกอย่างน่าสงสาร และ
       3.ส่งสัญญาณว่าต้องการกลับมาเมืองไทยโดยเร็วแบบไม่ต้องติดคุกตะราง 
คำกล่าวที่ว่าไม่มีใครนำผมกลับประเทศได้นอกจากพระบารมีที่ทรงเมตตา “หรือ” ไม่ก็พลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น     ถ้าน.ท.ช.ทักษิณหวังจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่ตัวเองกลับไม่มีความสำนึกว่าตัวเองได้ทำผิดแม้แต่น้อย แล้วจะขอพระราชทานอภัยโทษได้อย่างไร?  น.ท.ช.ทักษิณยังไม่ได้ติดคุกจริงๆ ตามโทษที่ได้รับแม้แต่คดีเดียวอีกทั้งยังมีคดีที่ยังไม่สิ้นสุดอีกมากที่กำลังรอการกลับมาของน.ท.ช.ทักษิณเพื่อพิสูจน์ตัวเองซึ่งไม่สามารถพระราชทานอภัยโทษล่วงหน้าได้    ประการสำคัญที่สุดปัญหาของน.ท.ช.ทักษิณและพวกกำลังยกระดับปัญหาของตัวเอง ให้กลายเป็น “ปัญหาความมั่นคงของชาติ” เพราะกำลังสั่นคลอนและท้าทายต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งศาลเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ที่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นตามมาตรา 3 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 

บทบาทของสตช.ที่ผ่านมาถูกตั้งข้อสงสัยมาตลอดถึงความเป็นรัฐตำรวจรับใช้ใต้อุ้งเท้าระบอบทักษิณตั้งแต่ยุคระบอบทักษิณเรืองอำนาจมาจนถึงขณะนี้โดยมีการถ่ายเลือดแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจที่รับใช้ระบอบทักษิณเข้าไปยึดกุมตำแหน่งสำคัญในสตช.จนหมดสิ้น  จึงไม่แปลกที่ผลงานโบดำอีกชิ้นหนึ่งของสตช.ภายใต้ยุครัฐตำรวจก็คือ การปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนที่ต่อต้านระบอบทักษิณในเหตุการณ์ 7 ตุลาทมิฬที่ผ่านมาจนทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 รายและบาดเจ็บอีกเกือบ 500 ราย โดยที่ไม่ได้มีการหารือกองทัพแม้แต่น้อย  ดังนั้นการที่คณะกรรมการของสตช.รีบฟันธงว่าน.ท.ช.ทักษิณไม่ผิดกรณีโฟนอินจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร แต่ที่ทำให้ผู้คนทั่วบ้านทั่วเมืองเคลือบแคลงก็คือก่อนหน้านี้กองทัพเพิ่งจะแถลงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าคำพูดโฟนอินของน.ท.ช.ทักษิณบางตอนเป็นเรื่องมิบังควรเพราะเหมือนเป็นการกดดันสถาบันเบื้องสูง เพราะฉะนั้นเท่ากับว่าผลสรุปของคณะกรรมการรัฐตำรวจสวนทางกับจุดยืนของกองทัพอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดข้อสังเกตว่าหรือรัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณกำลังใช้กองทัพตำรวจเพื่องัดข้อคานกับกองทัพทหารเหมือนที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต 

แต่พันธมิตรฯ ไม่สามารถเป็นผู้เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยตัวเองได้! ทั้งๆที่ได้ชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาลยืดเยื้อมาเป็นเวลา 6-7 เดือนนี้แล้ว รัฐบาลก็หน้าด้านบริหารประเทศย้ายสำนักงานและทำงานต่อไปได้ ชุมนุมหน้ารัฐสภาเพื่อคัดค้านการแถลงนโยบายรัฐบาลก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชน จนแขนขาขาด บาดเจ็บ และล้มตายลง ดังที่ปรากฏ และรัฐบาลก็ยังหน้าด้านทำงานต่อไปอีก    พันธมิตรฯ จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง ยกเว้นว่าจะจับอาวุธขึ้นสู้ฟาดฟันยึดอำนาจรัฐด้วยตัวเอง หรือสามารถชุมนุมขัดขวางการทำงานของรัฐบาลโดยฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอาวุธคอยให้การสนับสนุนและไม่ยับยั้งการขัดขวางการทำงานของรัฐบาลนั้นซึ่งดูจากผู้ชุมนุมที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้สูงวัยแล้ว   แนวทางนี้จึงย่อมเป็นไปได้ยาก   นอกเสียจากว่ามียุทธวิธีปาฏิหาริย์ที่ทำให้ข่าวสารการชุมนุมของพันธมิตรฯ หรือการจัดรายการของ ASTV ผ่านทางอินเตอร์เน็ต (mms://broadcast.manager.co.th/11news1?wmcontentbitrate=120000) คลื่นดาวเทียม คลื่นวิทยุ 97.75 (http://www.managerradio.com/) ที่มีพันธมิตร 98.25 และ 99.25 กระจายไปทั่วประเทศทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์เพิ่มมากขึ้นอย่างฉับพลันจนประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมในการเลือกตั้งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้อีกช่นกัน    ในช่วงระยะเวลานี้ คน 3 กลุ่มต่างหาก ที่จะเป็นตัวจริงในการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้โดยตรง คือ กลุ่มนักการเมือง, กลุ่มตุลาการ, และกลุ่มทหาร
       
       1. เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยกลุ่มนักการเมืองมีทางเลือกในการ พลิกขั้ว, ลาออก, ยุบสภาฯ ซึ่งทั้ง 3 แนวทางที่ว่านี้ เป็นการชะลอบรรยากาศความร้อนแรงทางการเมืองเป็นการชั่วคราว แต่ถ้าการเลือกตั้งยังคงปล่อยให้มีการโกงและใช้เงินเป็นใหญ่ภายใต้ระบบที่เป็นอยู่นี้ การเมืองไทยก็จะกลับมาสู่วังวนที่เป็นวิกฤตเหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าเดิมในที่สุด
       
        2. เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยกลุ่มตุลาการ ศาลสถิตยุติธรรม สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้เหมือนกันด้วยการเร่งรัดคดีทุจริต และเร่งรัดคดีที่กระทำผิดกฎหมายของนักการเมืองทั้งหลาย ตลอดจนการยุบพรรคการเมืองที่โกงการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามขบวนการวิ่งเต้น ติดสินบน หลบ หลีก และหนี การลงโทษทางการเมืองของระบอบทักษิณ ก็สามารถเกิดซ้ำได้อีกผ่านนักการเมืองและพรรคการเมือหุ่นเชิดดังที่ได้เคยทำกันมาแล้ว และอาจทำให้คดีที่คั่งค้างอยู่ไม่สามารถส่งถึงการพิจารณาคดีในชั้นศาลได้และหากการเมืองยังคงเป็นอย่างเดิมต่อไป แทนที่จะเกิดการเปลี่ยนอำนาจรัฐโดยตุลาการ ก็อาจจะกลับกลายเป็นการลดอำนาจตุลาการโดยกลุ่มการเมือง ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การนิรโทษกรรม ซึ่งก็ไม่สามารถทำให้บ้านเมืองได้พ้นจากวิกฤตอยู่ดี       

       3. เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยทหารไม่ว่าจะมีกฎหมายรองรับหรือไม่ก็ตาม หรือจะร่วมกับประชาชนในการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐหรือไม่ก็ตาม    การรัฐประหารคือการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐอย่างฉับพลันและรวดเร็วแต่ก็ยังมีความเสี่ยงว่าอาจจะทำไปเพื่อเอื้อต่อระบอบทักษิณก็ได้หรืออาจจะเข้ามาเพื่อใส่เกียร์ว่างก็ได้หรืออาจจะเข้ามาเป็นเผด็จการทหารที่แสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องก็ได้หรืออาจจะเข้ามาปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริงก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยทหารนั้นทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือผลประโยชน์ส่วนตน 

“เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน” คือคำขวัญของกองทัพและทหารมีหน้าที่พิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550  แต่จากคำสัมภาษณ์ของพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาย้ำอยู่เสมอว่าจะไม่ทำรัฐประหารโดยอ้างว่านักธุรกิจ นักวิชาการ และชาวต่างชาติไม่ยอมรับซึ่งจะทำให้ประเทศชาติเสียหาย      พล.อ.อนุพงษ์มักจะให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเป็นประจำว่าตัวเองไม่มีอำนาจทางกฎหมาย มีข้อจำกัดทางกฎหมาย จึงอ้างว่าทำหน้าที่ได้เพียงแค่เป็นผู้ช่วยพนักงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและส่งคดีความดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีเท่านั้น       ไม่น่าเชื่อว่าพล.อ.อนุพงษ์ผู้ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารบกทำได้เพียงแค่นี้เองหรือ? ในยุคที่ได้รับงบประมาณจากภาษีของประชาชนในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์มากที่สุด   ทหารจะทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ช่วยพนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รอการร้องขอจากตำรวจเท่านั้นได้อย่างไร ยิ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคู่กรณีถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองให้มาเข่นฆ่าประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯอย่างโหดเหี้ยม? จะให้คนไทยที่ใช้สิทธิในการชุมนุมเพื่อปกป้องราชบัลลังก์และผลประโยชน์ของชาติล้มหายตายจากอีกกี่คน จากน้ำมือของอันธพาลและตำรวจของรัฐบาล  

ในโลกแห่งความจริงกองทัพมี “หน้าที่” ของทหาร ตามมาตรา 77 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่บัญญัติเอาไว้ว่า
              “รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร ยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยจำเป็นและเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ” 
ผู้นำเหล่าทัพและกองทัพจึงจะรู้สำนึกในหน้าที่พิทักษ์ความมั่นคงของรัฐ และผลประโยชน์ของชาติ   ผู้นำเหล่าทัพและกองทัพย่อมได้รับผลเสียหายต่อเกียรติภูมิอย่างใหญ่หลวงเมื่อผู้นำเหล่าทัพโดยเฉพาะอย่างยิ่งพล.อ.อนุพงษ์ผู้บัญชาการทหารบกที่ได้ประกาศออกทางโทรทัศน์ส่งสัญญาณให้นายกรัฐมนตรีลาออกเพราะสังคมไม่สามารถยอมรับรัฐบาลที่อยู่บนกองเลือดของประชาชน แล้วนายกรัฐมนตรีไม่ลาออกและไม่มีอะไรเกิดขึ้น   เอาเฉพาะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ได้ส่งเข้ามาบรรจุเข้าวาระการประชุมของสภาฯ ก็เห็นแล้วว่ามีการเตรียมความพร้อมที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิดของตัวเอง ทั้งมาตรา 190, 237, 68 และ 309 อีกทั้งยังไม่รองรับสถาบันองคมนตรีที่เป็นพระราชอำนาจโดยตรงของพระมหากษัตริย์อีกด้วย กองทัพกลับมองเฉยๆ แล้วบอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองได้อย่างไร? ตอนนี้ดูเหมือนว่ากองทัพเพิ่งจะตื่นจากภวังค์ ทำหน้าที่ได้เพียงแค่พูดเตือนกลุ่มที่จาบจ้วงดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือส่งเรื่องให้ตำรวจดำเนินคดีกับแกนนำและแนวร่วมของกลุ่ม “นรกป่วนชาติ” (นปช.) และวิทยุชุมชนที่จาบจ้วงให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้นหรือ? ทั้งๆ ที่นายจักรภพ เพ็ญแข ยังคงลอยนวลต่อไปด้วยการโอบอุ้มจากตำรวจระดับสูง นายสุชาติ นาคบางไทร ก็ยังจับไม่ได้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้จัดรายการบนเวทีที่กลุ่มดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ กลายเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของรัฐบาล   ยังไม่นับเว็บไซต์ที่จาบจ้วงจำนวนมากที่ทำกันอย่างเป็นขบวนการโดยปราศจากการสนใจของกองทัพ ที่มักจะอ้างแต่เพียงว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง ไม่มีกฎหมายรองรับ ทั้งๆ ที่การดูหมิ่นล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นได้ทำกันเป็นขบวนการและให้ท้ายสนับสนุนจากคนในรัฐบาล    ยิ่งถ้าตั้ง ส.ส.ร. 3 โดยฝ่ายรัฐบาลขึ้นมาสำเร็จและนำร่างเหมือนที่รัฐบาลได้เตรียมเอาไว้ผ่านเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภาได้สำเร็จจนไปลดโครงสร้างและพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ได้    รัฐบาลและรัฐสภาส่วนตัวของน.ท.ช.ทักษิณก็สามารถออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่ความผิดทั้งหลายของน.ท.ช.ทักษิณได้     เช่นกันกองทัพยังสามารถจะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของทหารที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์อีกหรือไม่?   พล.อ.อนุพงษ์เคยพูดว่ากองทัพเน้นให้กำลังพลในความเป็นทหารของชาติ เป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมปฏิบัติหน้าที่ในการพิทักษ์ปกป้องและธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ    ในยามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยบ้านเมืองและมีกระแสพระราชดำรัสว่า “บ้านเมืองใกล้ล่มจม เพราะรัฐบาลใช้จ่ายเกินตัว” กองทัพมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็นว่าอะไรคือภัยต่อความมั่นคงของชาติจนถึงขั้นใกล้ล่มจมกันแน่! อย่ามาพูดเลยว่ากองทัพบกไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะดำเนินการใดๆ เอาเรื่องง่ายๆ อย่างเช่น วิทยุในเครือกองทัพบก และสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในวันนี้นำไปทำมาหากินอิ่มหมีพลีมัน ให้สัมปทาน ให้เอกชนเช่า จำนวนเท่าไร แทนที่จะนำไปใช้เพื่อสร้างจิตสำนึกแห่งความรักชาติเพื่อป้องกันภัยต่อความมั่นคงของชาติที่กำลังถาโถมเข้ามาต่อราชบัลลังก์?  กลับปล่อยให้สถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที บิดเบือนและขย่มทำลายความน่าเชื่อถือกระบวนการยุติธรรมอยู่ทุกวัน     ถ้ากองทัพพิทักษ์รักษาหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญไม่เป็น และทำไม่ได้ ก็สมควรพิจารณาสำรวจตัวเองได้แล้วว่ายังคงเหลือศักดิ์ศรีของผู้บัญชาการกองทัพ ทหารเสือพระราชินี และทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไปได้หรือไม่? 

นักวิชาการต่างๆได้แนะทหารให้ใช้ “พ.ร.บ.ความมั่นคง” เพื่อปกป้องสถาบัน-เร่งแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ยันกองทัพสามารถตั้งกองกำลัง “กอ.รมน.” ที่ประกอบด้วย “ภาคประชาชน-องค์กรสิทธิฯ-นักกฎหมาย” เพื่อดูแลพื้นที่ที่มีการชุมนุมได้ ย้ำชัดหาก “ครม.-นายกฯ” ไม่อนุมัติ ต้องโดนข้อหากระทำผิด พ.ร.บ.ความมั่นคง  กองทัพสามารถเข้าไปทำหน้าที่รักษาความมั่นคงทางการเมืองตามมาตรา 77 ในขณะนี้ว่า กองทัพสามารถทำหน้าที่ดังกล่าวได้ โดยใช้ร่างพระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร (พ.ร.บ.ความมั่นคง) ซึ่งเป็นกฎหมายที่เปิดให้มีการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอย่างเป็นระบบมาเป็นเครื่องมือเพื่อปกป้องสถาบัน และรักษาความสงบสุขของบ้านเมืองโดยเฉพาะในมาตรา 3 ที่ให้กองทัพสามารถตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาจักร (กอ.รมน.) ได้ ซึ่งทางกองทัพสามารถยื่นขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ตั้งกอ.รมน.โดยหน่วยงานที่ว่านี้ จะต้องได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชนที่ประกอบด้วย องค์กรสิทธิมนุษยชนและนักกฎหมาย ซึ่งหากทาง ครม. และนายกฯ อนุมัติ ก็สามารถจัดตั้งกองกำลัง โดยทางกองทัพจะต้องทำเรื่องไปขอกองกำลังจากทางตำรวจ เพื่อช่วยกันแบ่งกำลังคุ้มกันในพื้นที่ที่มีการชุมนุมของประชาชน   ส่วนกรณีที่ทาง ครม. และนายกฯ ไม่อนุมัติแล้วทางกองทัพจะทำอย่างไรนั้น    หากว่ากองทัพไม่ได้รับการอนุมัติจากทาง ครม.และนายกฯ แต่ถ้ากองทัพมีข้อมูลหรือมีหลักฐานว่าบ้านเมืองเกิดความไม่สงบสุข ทำให้เกิดความขัดแย้งซึ่งกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ ก็สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปยื่นกับทางครม.และนายกฯ แต่หากยังไม่ได้รับอนุมัติอีกก็ถือว่านายกฯและครม.ทำผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ความมั่นคง   เนื่องจากที่ผ่านมาพันธมิตรฯ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลยุติบทบาทหรือไม่ก็ยุบสภาเพื่อไม่ให้รัฐบาลยืดเยื้ออำนาจอีกต่อไป แต่ทางรัฐบาลกลับไม่มีท่าทีที่อ่อนลง ดังนั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงออกมาเรียกร้องให้ทหารเข้าไปมีบทบาทในสถานการณ์ปัจจุบันว่า กรณีดังกล่าวไม่มีความชัดเจนในเรื่องการเชื้อเชิญให้ทหารปฏิวัติ      อีกทั้งยังคนไทยมิได้อิจฉาคนที่ร่ำรวยเพราะความสุจริตและพร้อมให้อภัยคนที่โกงบ้านกินเมืองหากเขาผู้นั้นสำนึกผิดแล้วคืนของกลางให้แผ่นดิน       แต่โปรดจำใส่หัวไว้ว่าคนไทยไม่นิยมผู้เหิมเกริม หลงลืมตน แยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือบาป บุญ คุณ โทษ ขอให้ทบทวนให้ดีว่าจุดจบของคนจำพวกนี้คืออะไร 

ไม่มีความคิดเห็น: