08 ธันวาคม 2551

ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยจะทำไม่ได้...นอกจาก "พิทักษ์สันติราษฎร์"

“จงรัก” ชี้เอาผิดแกนนำพันธมิตรฯ ลักทรัพย์ในทำเนียบรัฐบาลเป็นเรื่องยาก ทรัพย์สินที่สูญหาย มีตั้งแต่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ทีวี เครื่องคอมพิวเตอร์ รวมถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของหน่วยงานในทำเนียบรัฐบาลแต่หากพิสูจน์ได้ว่ารู้เห็นเป็นใจก็จะมีความผิด พร้อมเตรียมส่งนักประดาน้ำลงงมหาอาวุธสงครามที่พันธมิตรฯ อาจนำไปซุกซ่อนไว้ในคลองผดุงกรุงเกษมด้วย เล่นให้ประดาน้ำลงงมในคลองก็คงจะรายงานพบรถถัง M48-A5 สภาพพร้อมรบกระมัง

เรื่องสร้างหลักฐานเท็จตำรวจไทยถนัดสร้างผลงานเถื่อนอยู่แล้วยัดยาบ้ามันยังทำเลย กล่าวหา สร้างหลักฐาน สอบสวนแล้วส่งอัยการสั่งฟ้อง หรือส่งสำนวนคดีขออำนาจศาลเพื่อ ออกหมายจับ แล้วคงน่าจะเป็นขั้นตอนวางบิล...เก็บเงินค่าดำเนินการจากนายจ้างต่อไป เราเคยใช้อาวุธสงครามไปเข่นฆ่าใครหรือจึงต้องขวนขวายหาหลักฐาน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนฝ่ายพันธมิตรบาดเจ็บและล้มตายไปหลายคนก็เป็นอาวุธที่ยิ่งมาจากภายนอกทั้งสิ้น ทั้งหมดทั้งปวงนั้นแค่ต้องการเล่นงานพันธมิตรแค่นั้นหรือ แล้วไอ้พวกที่เข่นฆ่าประชาชนทำไมจึงไม่ไปค้นที่บ้านมัน ที่ทำงานของมัน อาวุธที่ใช้ในราชการทั้งสิ้น เป็นอาวุธจากส่วนราชการใด ใครเบิกไปใช้ น่าจะมีหลักฐานให้สืบสวนได้ ถ้าหากคิดที่จะทำไม่ใช่หรือ

วันนี้ (8 ธ.ค.) พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ “นายพลหน้าขาว” หน้าแหก พานักประดาน้ำลงงมหาอาวุธสงครามในคลองผดุงกรุงเกษม และรอบทำเนียบฯ ไม่พบอาวุธร้ายแรง หรืออาวุธสงครามตามที่คาดหวังไว้ แต่ยังปากดีสั่งพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดแกนนำพันธมิตรฯ ฐานก่อการร้าย และหาหลักฐานบริษัทที่สนับสนุนพันธมิตรฯ ยึดสนามบินส่งฟ้อง ปปง.ยึดทรัพย์ พอตกบ่าย “เสธ.แดง” ขนชายฉกรรจ์ 7 คน สวมชุดลายพรางทหาร เข้าไปชี้พื้นสนามหญ้าหน้าตึกไทย ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นจุดตกของระเบิดเอ็ม 79 ที่ยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ จนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก พร้อมถ่ายรูป ยิ้มอย่างมีความสุข!

วันนี้( 8 ธ.ค.)เรือนร่างอันไร้วิญญาณของ “กมลวรรณ หมื่นหนู” หรือ “น้องโบ สีน้ำเงิน” ได้ถูกนำขึ้นสู่เชิงตะกอน ณ เมรุวัดทะเลน้อย ต.ทะเลน้อย อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เธอจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพาณิชย์พระนคร เธอทำงานพนักงานบัญชีของบริษัทได้ส่งเงินช่วยเหลือเจือจุนพ่อแม่พี่น้องเดือนละ 5,000 บาททุกเดือน เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่โบได้บริจาคอวัยวะเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยรายอื่นๆ ไว้หลายชีวิต ซึ่งทีมแพทย์ได้ผ่าตัดดวงตา หัวใจ ตับ และไตทั้ง 2 ข้างมอบผ่านสภากาชาดไทยไปช่วยเหลือผู้อื่นแล้วถือเป็นการสร้างกุศลและทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ตราบจนลมหายใจในวาระสุดท้าย

ขณะที่วันพรุ่งนี้ (9 ธ.ค.) จะตามติดมาด้วยการฌาปนกิจร่างไร้วิญญาณของ “รณชัย ไชยศรี” หรือที่คนในครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหายเรียกขานกันว่า “ไข่ดำ” แต่เพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกันเรียกว่า “ชัย” ณ เมรุวัดคูหา ต.คูหา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ไข่ดำผู้พลีชีพเพื่อชาติจากการถูกลอบยิงด้วยระเบิดเอ็ม 79 ดับคาที่ระหว่างทำหน้าที่การ์ดอาสาให้แก่พี่น้องพันธมิตรฯที่สนามบินดอนเมืองในคืนวันที่ 2 ธันวาคม ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำพิพากษาให้ยุบ 3 พรรคการเมืองทาสระบอบทักษิณเพียงไม่กี่ชั่วโมง จบการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลนครศรีธรรมราช ปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่ และกำลังศึกษาปริญญาเอกต่อที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน แม้จะเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยพูดค่อยจา ชอบอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่ในด้านการต่อสู้กับระบอบทักษิณแล้วชัยของเพื่อนๆ ถือว่าอยู่ในแนวหน้า แม่ของนายรณชัยเคยบอกชัยว่าอย่าไปเลย ชัยบอกว่าเขาสงสารในหลวง แม่ได้บอกไปว่าคนคนเดียวช่วยอะไรไม่ได้หรอก เพราะเราไปมือเปล่า แต่พวกรัฐบาลมันมีปืน เราจะไปสู้อะไรเขาได้ แต่ชัยเขาก็บอกว่าถ้าไม่ตายตอนนี้ ตอนหลังก็ต้องตายและถ้าได้ตายเพื่อชาติ เพื่อในหลวงเขาก็ยอม พ่อแม่จะได้ภูมิใจด้วย





หนึ่งภาพ แทน คำ บรรยาย นับ หมื่น นับ พัน


ไม่มีความคิดเห็น: